Dubrovnik Pearl of the Adriatic

ดูบรอฟนิก (Dubrovnik) เป็นเมืองท่าค้าขายเก่าแก่ประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ทางตอนใต้ของประเทศโครเอเชียถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ ที่ตั้งของเมืองดูบรอฟนิกนี้อยู่ตรงข้ามกับชายฝั่งตะวันตกของอิตาลี

ดังนั้นสภาพภูมิประเทศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป อุณหภูมิระหว่างปีเฉลี่ยอยู่ที่ 17 องศาเซลเซียส ในหน้านาวอากาศประมาณ 10 องศาฯ อาจมีฝนตก แต่หิมะไม่มีบ่อยนัก ด้วยความงามที่ยิ่งใหญ่อลังการของป้อมปราการ และภูมิประเทศที่สวยงามทำให้ที่นี่ได้รับฉายาว่าไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก (The Pearl of the Adriatic)

ตัวเมืองดูบรอฟนิก มีอยู่ 2 ส่วน คือส่วนเมืองเก่า (Old Town) ถูกล้อมรอบดว้ยกำแพง ในส่วนนี้ทางองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเมืองเก่าแห่งนี้เป็นมรดกโลก World UNESCO Heritage ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 และอีกส่วนคือ ตัวเมืองด้านนอกตามแนวชายฝั่งทะเล

สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงที่นี่ คือ การเดินเลาะไปบนกำแพงเมืองดูบรอฟนิก (Walls of Dubrovnik) กำแพงที่สร้างโดยหินปูนสีขาวมีความยาวอยู่ที่ 1,940 เมตร สูง 25 เมตรและหนากว่า 6 เมตร กำแพงโอบล้อมรอบเมืองได้ทั้งเมือง สลับด้วยหอรบ 5 หอ หอคอยทรงกลม 3 หอ และทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสี่เหลี่ยมผืนผ้า 12 หอ สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ได้ชื่อว่าเป็นปราการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงยุคกลาง

ความแข็งแรงของกำแพงนั้นคุ้มกันเมืองโดยไม่เคยถูกกองทัพศัตรูตีแตกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ค่าเข้าอยู่ที่ประมาณ 200 คูนาโครเอเชีย (HRK) กว่าจะเดินครบรอบกำแพงเมืองใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แต่ก็จะมีจุดชมวิวทะเลเอเดรียติกที่สวยงามเป็นระยะๆ เวลาที่เหมาะในการเดินชมแนะนำเป็น ช่วง 14.00 – 15.00 น. กำลังพอดี

นอกจากกำแพงเมืองที่เป็นจุดไฮไลต์สำคัญแล้ว ดูบรอฟนิกมีแลนด์มาร์กที่คุณควรไปเช็กอินอยู่มากมายหลายจุด สำหรับทางเข้าเมืองมี 3 ทาง ได้แก่ทางถนนสตราดัน (Stradun) ประตู Pile Gate ทางตะวันตก เป็นทางเข้าหลัก เส้นทางยอดนิยม นักท่องเที่ยวมักจะเข้าเส้นทางนี้ ทางที่สองคือ ทางเข้าใกล้ๆ Saint John’s Fortress และที่ประตูทางตะวันออก ตรง Ploce Gate (Gate of St.Luka)พอเข้าประตูเมือง (Pile Gate) ที่สร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 เข้าไปจะเห็นรูปปั้นของนักบุญเซนต์เบลส นักบุญประจำเมือง เห็นวิหาร Franciscan Monastery สถาปัตยกรรมแบบกอทิก และจัตุรัสกลางเมือง เป็นแหล่งทำกิจกรรมต่างๆ ของเมืองในอดีต

มีเสาหินอัศวิน (Orlando Column) และหอนาฬิกา (Bell Tower) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1444 ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนโดยถนนสายหลักนี้เรียกว่า ถนนสตราดัน (Stradun) หรือที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการว่าพลาซ่า (Plaza)

เป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่างๆ ของเมืองมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 แล้ว ถนนคนเดินที่ปูด้วยหินปูนมีความยาวประมาณ 300 เมตร

ผ่านย่านเมืองเก่าซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง เดิมที่นี่เคยเป็นคลองมาก่อนเป็นถนน ขณะที่คุณเดินไปตามถนนจะสังเกตเห็นอาคารสไตล์บาโรก ที่มีความสูงและการออกแบบใกล้เคียงกัน เหตุผลก็เพราะอาคารเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในเวลาเดียวกันเมื่อเมืองถูกสร้างขึ้นใหม่หลังจากเกิดแผ่นดินไหวและไฟไหม้ถนนหินปูนสีขาวนี้ทอดยาวจากตะวันออกไปทางตะวันตกแบ่งเมืองเก่าออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน ตลอดสองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านอาหาร ร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก

มีน้ำพุโบราณทรงกลม (Onfrio Fountain) เป็นน้ำพุที่ใช้เป็นเหมือนน้ำประปาในเมือง ขนาดใหญ่จะอยู่ทางตะวันตก และขนาดเล็กจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกที่ปลายด้านตะวันออกของถนนคุณจะพบเสา Orlando’s Column ซึ่งเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 แกะสลักเป็นรูปของออร์ลันโด อัศวินยุคกลางซึ่งกล่าวกันว่าได้ช่วยปลดแอกเมืองดูบรอฟนิกระหว่างการถูกล้อมในศตวรรษที่ 8 เสาสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระของเมือง และคุณจะเห็นหอระฆังเมืองสูง 102 ฟุต (31 เมตร)

ความงามของสถาปัตยกรรมของเมืองนี้ที่เป็นที่พูดถึงคือ พระราชวังเรกเตอร์ส (Rectors Palace) สร้างในปี ค.ศ. 1435 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของเจ้าเมืองรากูซา (Ragusa– ชื่อเดิมของ ดูบรอฟนิก ในสมัยที่ยังเป็นรัฐเอกราชหรือประเทศที่แยกตัวจากโซเวียต)จนกระทั่งปี ค.ศ. 1808 พระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์กอทิก เรอเนซองส์ และบารอก ตึกประตูโค้งมีเสาแกะสลักสวยงามเรียงต่อกันเป็นแนว ตัวตึกเคยถูกระเบิดพังทลายถึงสองครั้ง แต่ก็ได้สร้างและซ่อมขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันเรกเตอร์ส พาเลซ เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงการสร้างเมืองตั้งแต่ครั้งแรก งานศิลปหัตถกรรมมากมายซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของเมืองทั้งสิ้น เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ ค่าเข้าชม 120 คูนาโครเอเชียและใช้เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตสำหรับคอภาพยนตร์ Game of Thrones จะต้องคุ้นๆกับพระราชวังเรกเตอร์ส เป็นแน่ เพราะเป็นฉากของเมืองคาร์ท(Qarth) นั่นเอง และอย่างที่หลายคนน่าจะพอทราบกัน ภาพของอาคารหลังคาสีส้ม ตัดกับท้องทะเลสีคราม ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่ง 7 อาณาจักร King’s Landing ได้ ซึ่งภาพเมืองที่ปรากฏในภาพยนตร์หลายๆ ฉากของภาพยนตร์เรื่อง Game of Thrones ได้ถ่ายทำที่เมืองดูบรอฟนิก แห่งนี้นั่นเอง

ปัจจุบันมีโปรแกรมทัวร์ Game of Thrones Walking Tour ซึ่งจะพาทุกคนเดินตามรอยไปยังจุดที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นป้อมปราการเมืองที่เป็นส่วนของพระราชวัง Red Keepในเรื่อง ภาพของถนน St. dominika ที่เป็นฉากสลัมและตลาดของอาณาจักร King’s Landing ภาพบันไดหน้าโบสถ์ Saint Ignatius ซึ่งเป็นฉากตอนจบของซีซั่น 3 ของภาพยนตร์ ตอนที่เป็นการเดินไถ่บาปของพระราชินี และอ่าว Blackwater Bayเป็นต้น โดยไกด์จะมีภาพเปรียบเทียบให้ดูว่าสถานที่ต่างๆที่เรายืนอยู่นั้นปรากฏในฉากไหนบ้าง ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทัวร์ 2 ชั่วโมงอยู่ที่ 200 คูนาโครเอเชีย สำหรับคนที่เคยชมภาพยนตร์มาจะสนุกสนานและชื่นชอบเป็นพิเศษอย่างแน่นอนหลังจากที่เดินในย่านเมืองเก่าดูศิลปะ สถาปัตยกรรมต่างๆ แล้ว

ตัวเมืองด้านนอกตามแนวชายฝั่งทะเลก็มีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย มีทั้งพายเรือคายัค ลานอาบแดด เล่นน้ำทะเลบริเวณชายหาดอย่างที่หาด Lapad หรือหาด Banje ก็น่าสนใจ มีร้านอาหาร ร้านไอศกรีม ขนมพื้นเมืองอร่อยๆ อย่างโดนัทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ชีสไวน์และของฝากขึ้นชื่อ หรือใครอยากชมวิวเมืองมุมสูง มีกระเช้าลอยฟ้าที่จะพาคุณขึ้นไปบนเขา เพื่อได้เห็นวิวเมืองแบบเต็มๆ ตา ตั๋วอยู่ที่ประมาณ 25 เหรียญต่อคน

สำหรับการท่องเที่ยวดูบรอฟนิก แนะนำว่าควรจะพักสัก 1 คืน เพื่อจะได้เห็นภาพของป้อมปราการยามพระอาทิตย์ตกดิน กระทบกับทะเลเอเดรียติกและสะท้อนกับแนวปราการ เป็นภาพที่สวยงามอย่างยิ่ง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0