Cuzco…All time classic – คุซโก เมืองสุดคลาสสิก
เรื่องและภาพโดย…เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
“มาชู ปิกชู” (Machu Picchu) อาณาจักรเร้นลับที่ชาวโลกร่วมกันยกย่องให้เป็น “หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่” นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักเดินทางจากทุกมุมโลกดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาชมความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอินคาสักครั้งในชีวิต จนทำให้เมืองคุซโก (Cuzco) ประเทศเปรู (Peru) กลายเป็นที่รู้จักไปด้วย
เพราะเป็นเมืองต้นทางของนักท่องเที่ยวที่จะไปเยือนมาชูปิกชู ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกเดินทางมาถึงคุซโก สองวันก่อนเทรคกิ้งบนเส้นทางอินคาเทรล (Classic Inca Trail) ไปยังมาชูปิกชูเพื่อปรับตัวกับความสูง แต่เพียงแค่เมียงมองเมื่อเดินทางมาถึง ฉันก็แอบบอกกับตัวเองแล้วว่า “เมืองคุซโกนี่ไม่ธรรมดา” ความสวยงามแปลกตาทำให้อยากออกไปสำรวจคุซโกให้ทั่ว
คุซโกเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาแอนดีส อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลราว 3,400 เมตร ส่งผลให้คุซโกมีวิวทิวทัศน์อันสวยงาม อดีตเป็นถึงเมืองหลวงในประวัติศาสตร์ของประเทศเปรู เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิอินคาที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในดินแดนอเมริกาใต้
หลังจากที่สเปนเข้ามายึดครองและจัดตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ลิมา (Lima) คุซโกก็มีความสำคัญลดลง จนเมื่อมีการค้นพบมาชูปิกชูในปี พ.ศ. 2454 ที่นี่ก็กลับมาคึกคักและมีความสำคัญอีกครั้ง ทั้งยังมีอารยธรรมอินคาหลงเหลือไว้ให้ชมมากมาย จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม
จุดหมายปลายทางแรกที่อยากแนะนำให้ไปเยือนก็คือ พลาซ่า เด อาร์มาส แห่งคุซโก (Plaza de Armas del Cuzco) หรือที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งนักรบ ตรงกลางมีน้ำพุและอนุสาวรีย์ของอดีตกษัตริย์อินคา
จัตุรัสขนาดใหญ่กลางเมืองแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยสถานที่สำคัญของเมืองหลายแห่ง ทั้งมหาวิหารแห่งคุซโก (Cusco Cathedral) ที่ตั้งตระหง่าน และโบสถ์ลา คอมปาญยา (La Compania) สถาปัตยกรรมสไตล์บาร็อคที่ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1550
หนึ่งในคริสตจักรในยุคอาณานิคมสเปนที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ มหาวิหารแห่งคุซโกเดิมทีเป็นพระราชวังของกษัตริย์อินคา ปัจจุบันเป็นแหล่งรวบรวมศิลปะในยุคอาณานิคมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เชื่อมต่อด้วยโบสถ์อีกสองหลัง
คือ โบสถ์เยซูมารีอา (Iglesia de Jesús María) และโบสถ์เอลตรีอุนโฟ (Iglesia de El Triunfo) โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในคุซโก
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1536 เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงชัยชนะของสเปนเหนือชาวอินคา และยังรายล้อมไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ตอนนี้ได้ถูกแปลงสภาพเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และบริษัททัวร์
จากนั้นลองเดินต่อไปยังถนน El So ถนนสายที่คึกคักที่สุดของเมือง ผ่านร้านค้ามากมายทั้งสองฝั่งถนนที่ตั้งอยู่ในตึกโคโลเนียลที่มีระเบียงไม้สวยๆ แบบสเปน
ที่นี่ยังมีตลาดขายของพื้นเมืองและแกลอรี่แสดงงานศิลปะมีอยู่ทั่วไปตามซอกซอย ช่วงนั้นมีการจัดงานเทศกาลอาหารแห่งคุซโกพอดี บรรยากาศเมืองมรดกโลกแห่งนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ
ฉันเพลิดเพลินกับการมองหาอาหารท้องถิ่น เห็นอะไรก็อยากลองกินไปหมด เพราะตั้งแต่เดินทางในทวีปอเมริกาใต้มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ก็ค้นพบว่าอาหารที่เปรูอร่อยกว่าที่ประเทศอื่นๆ เพราะรสจัดจ้านถูกปากคนไทย
แต่ถึงอย่างไรฉันก็ยังใจไม่กล้าพอที่จะลองชิม “หนูตะเภาย่าง (Guinea pig)” อาหารพื้นเมืองอันขึ้นชื่อของเปรู
ได้แต่ชิมเมนูประเทศต่างๆ หรือหมูทอดที่คล้ายๆ อาหารบ้านเราแทน อิ่มแล้วก็เดินกลับมายังพลาซ่า เด อาร์มาส อีกครั้ง ที่นี่เป็นสถานที่ที่เราจะได้เห็นทั้งวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ชาวเมืองมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ
หญิงสูงวัยยังต้องแต่งชุดพื้นเมืองกระโปรงสุ่มปักลวดลายสีสันฉูดฉาด ปนเปไปกับนักท่องเที่ยว ลองเดินเข้าตรอกซอกซอยต่างๆเพื่อชมความอัศจรรย์และเทคนิคการเรียงหินเป็นทางเดิน กำแพง และอาคารต่างๆ ของชาวอินคาสมัยโบราณ
แค่วันเดียวฉันก็เดินวนเวียนอยู่บริเวณนี้และผ่านพลาซ่า เด อาร์มาส ไม่ต่ำกว่า 4-5 รอบ หากอยากเดินชมบ้านเมืองแบบจริงจังก็ต้องออกกำลังน่องกันสักหน่อย เพราะบ้านเรือนที่นี่จะปลูกไล่ขึ้นไปบนเนินเขา ที่พักประเภทโฮสเทลส่วนใหญ่มักจะอยู่บนเนินสูงด้วย
ฉันมีความเชื่อส่วนตัวอย่างหนึ่งว่า การเดินเที่ยวชมตลาดสดเป็นการทำความรู้จักกับเมืองนั้นๆ ได้ดีที่สุด เพราะเราจะได้เห็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง และมักจะได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ที่แตกต่างไปจากการเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมือง
ฉันจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดสด San Pedro ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเมือง นับเป็นการเดินตลาดที่เพลิดเพลินมากอีกครั้งหนึ่งในชีวิตการเดินทาง
สินค้าที่นี่มีความหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นพืชผลทางการเกษตร ผักและผลไม้ก็คล้ายๆ กับบ้านเราเพราะมีภูมิประเทศใกล้เคียงกัน รสชาติก็ไม่แตกต่างนัก
แม้จะแอบลงความเห็นว่า ผลไม้บ้านเรารสหวานอร่อยกว่า แต่คนที่นั่นก็อาจจะบอกว่าผลไม้ของเขาไม่หวานจนเกินไป
ที่น่าสนใจคือ พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ยังวางแผงขายของบนพื้นและริมถนนบนแนวฟุตบาท อีกทั้งยังใช้ตาชั่งโบราณ ทำให้ฉันอดนึกถึงบรรยากาศตลาดสดตามชนบทบ้านเราเมื่อสมัย 10-20 ปีก่อน
ความจริงแล้ว เมืองคุซโกเป็นเมืองต้นทางการท่องเที่ยวที่สามารถเลือกบริการทัวร์ไปเที่ยวชมร่องรอยอารยธรรมอินคาและสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้หลากหลายที่มากๆ เช่น ทัวร์หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Valley) และภูเขาสายรุ้ง (Rainbow Mountain)
แต่ฉันเลือกที่จะพักผ่อนที่นี่หลังจากเดินทางเข้าออกหลายประเทศในอเมริกาใต้เป็นเวลานาน และเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับการเดินเทรคกิ้งไปยัง “มาชูปิกชู” ซึ่งต้องใช้เวลารอนแรมกลางป่าถึง 4 วัน 3 คืน ฉันทอดตัวลงนั่งบนลานด้านหน้ามหาวิหารแห่งคุซโกอีกครั้ง
ยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงตะวันอาบกำแพงโบสถ์และอาคารโคโลเนียลเป็นสีทองอำไพไปทั้งเมือง ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบๆพลาซ่า เด อาร์มาส สวยงามตระการตายิ่งขึ้นไปอีก เป็นบรรยากาศที่สุดแสนคลาสสิคปนมนต์ขลัง จินตนาการย้อนไปถึงอาณาจักรอินคาอันยิ่งใหญ่ที่ต้องมีอันต้องล่มสลายลง ณ จัตุรัสแห่งนี้
ในหนึ่งก็ใจหายกับความไม่จีรังยั่งยืนบนโลกใบนี้ อีกใจหนึ่งก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าฉันกำลังเดินเท้าไปยังนครสาบสูญแห่งอินคา
ข้อมูลเพิ่มเติม
– การเดินทางไปยังเมืองคุซโก แนะนำเส้นทางการบินจากเมืองลิมาหรือเมืองปูโน ด้วยสายการบินท้องถิ่นจะปลอดภัยกว่าการเดินทางระหว่างเมืองด้วยรถประจำทาง ตรวจสอบข้อมูลการเดินทางในประเทศเปรูได้จาก https://www.go2peru.com
– ประเทศเปรู เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ผู้ถือพาสปอร์ตไทยไม่ต้องถือวีซ่า โดยสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้นานถึง 90 วัน