Cruise to Alaska

Story & Photo by Kanjana Hongtong

น่าจะร่วม 10 ปีแล้วสินะ ที่ฉันกับอะแลสกา (Alaska) รู้จักกัน น่าจะกำลังพอดิบพอดี ให้ความคิดถึงได้ก่อตัวขึ้นมา อย่างน้อยฉันก็อยากเห็นละ ว่าน้ำแข็งในอะแลสกาจะน้อยลงเหมือนที่ใครๆ ว่าไว้หรือเปล่า

แผนการเดินทางไปซ้ำรอยอะแลสกาจึงถูกจัดแจงขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่า การเดินทางโดยเรือสำราญน่าจะตอบโจทย์ที่สุด เพราะเรือตึกจะพาซอกแซกลัดเลาะไปตามเมืองต่างๆ ในอะแลสกาได้ดีที่สุดโจทย์การหาเรือสำราญง่ายลงถนัดตา เมื่อยกหูหา 2MorrowExplorer บริษัทที่เป็นตัวแทนของเรือสำราญมากกว่า 10 แบรนด์

เรียกว่าเป็นตัวจริงเรื่องเรือสำราญมาก ไม่ว่าโจทย์ของลูกค้าจะเป็นแบบไหน จะเรือหรู เรือใหม่ เรือใหญ่ เรือสำรวจและผจญภัย หรือเรือที่มากมายไปด้วยกิจกรรมสำหรับครอบครัว 2MorrowExplorer ก็จัดให้ได้หมดแบบนี้ควรจะติดแฮชแท็ก #นึกถึงเรือสำราญนึกถึง2MorrowExplorer

เที่ยวนี้ เมื่อดูจากเส้นทาง ระยะวันเดินทาง พอร์ตที่แวะ และวันที่เรือออก จึงไปจบที่เรือยี่ห้อ Princess Cruise เรือสำราญที่วิ่งให้บริการในอะแลสกาเป็นเจ้าแรกๆ เลย และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันลองใช้บริการเรือยี่ห้อนี้พอเรื่องเรือลงตัว เรื่องตั๋วสำหรับเดินทางก็ต้องจัดการไปพร้อมกัน เพราะเรือที่จะล่องในเขตอะแลสกา ส่วนใหญ่จะออกจากเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver)

สำหรับคนที่มีเวลาจะแวะเที่ยวแวนคูเวอร์สัก 2-3 วันก่อนก็ดี ส่วนฉันต่อเครื่องไปแองเคอเรจ (Anchorage) เลย เพราะเรือจะเริ่มออกสตาร์ตจากที่นั่น แองเคอเรจเป็นเมืองเงียบๆ ถึงแม้ไม่ใช่เมืองหลวง แต่นี่คือเมืองใหญ่สุดของอะแลสกา ที่ห้อมล้อมไว้ด้วยธรรมชาติ

ผู้คนอยู่กันแบบหลวมๆ อากาศในช่วงซัมเมอร์ค่อนข้างเย็นสบาย ทุ่งดอกไม้กำลังผลิบาน สำหรับคนมาล่องเรือเข้าอะแลสกา โดยมากจึงแวะนอนและเที่ยวที่นี่กันสักวันหนึ่ง เพื่อไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป

เที่ยวนี้ ไปเจอบ้านพักของเว็บไซต์ Airbnb ที่น่ารักมากเป็นบ้านเก่าอายุเกิน 100 ปี แต่รีโนเวตให้ทุกอย่างดูไฉไล แถมตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย จะเดินไปเที่ยวหรือหาของกินก็สะดวก พูดถึงอาหารการกิน ไม่น่าเชื่อว่ามีร้านอาหารไทยมาเปิดที่นี่ น่าจะเกือบๆ 10 ร้านได้ เรียกว่าเดินไปทางไหนก็ล้อมหน้าล้อมหลังดักเราไว้ทุกทาง เลยจัดผัดไทยก่อนไปล่องเรือสำราญซะเลย

เรือของ Princess Cruise ลำนี้จอดรอทุกคนอยู่ที่ท่าเรือ เมืองวิทเทียร์ (Whittier) เมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่แค่ราวๆ 200 คนเท่านั้น เรียกว่าอยู่กันแบบหลวมๆ ถึงขั้นสุด พูดเลยว่า ชื่นชมระบบการเช็กอินของเรือ Princess Cruise มาหลายแบรนด์แล้ว แต่ที่นี่ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ทุกอย่างเสร็จ พร้อมขึ้นเรือได้เลย

ทริปนี้เป็นการล่องแบบ 8 วัน 7 คืน เรือออกจากวิทเทียร์ และไปสิ้นสุดที่เมืองแวนคูเวอร์ ตลอดเส้นทางจะผ่านธารน้ำแข็งใหญ่ๆ 2 แห่งคือ ธารน้ำแข็งฮับบาร์ด (Hubbard Glacier) และอุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ (Glacier Bay National Park) และยังแวะเมืองหลวงจูโน (Juneau) เมืองสแกกเวย์ (Skagway) และเมืองคัชชิเกน (Ketchiken)

ที่จริงแค่ออกตัวที่พอร์ตก็สวยเฟี้ยวแล้ว มองไปรอบด้านคือเทือกเขาที่แม้จะเป็นซัมเมอร์ แต่ก็มีหิมะโรยอยู่บนยอดเขาประปราย แน่นอนว่าวันแรกของการถึงเรือทุกคนต้องสำรวจมุมต่างๆ ของเรือ

เพราะชีวิตหลังจากนี้อีก 7 คืนต้องฝากผีฝากไข้ไว้กับเรือและแน่นอนเรื่องปากท้องก็สำคัญ เลยต้อง เดินสายสำรวจห้องอาหารต่างๆ บนเรือก่อนเพราะต้องฝากท้องเอาไว้กับเรือลำนี้ เรื่องอดอยากเลิกพูดถึงไปได้เลย เพราะไม่ว่าจะเดินล้มแผละไปตรงไหนก็มีแต่อาหารรออยู่ เรื่องเดินผอมลงจากเรือ เป็นไปไม่ได้แน่ มีแต่จะแบกน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นลงจากเรือแน่นอน

วันแรกเรือพาแวะที่ธารน้ำแข็งฮับบาร์ด ผู้โดยสารแต่ละคนพากันออกจากห้องมาอยู่ที่หัวเรือ ยิ่งเรือขยับเข้าใกล้ธารน้ำแข็งเสียงชัตเตอร์ยิ่งดังระรัว

ไม่ธรรมดาเลยสำหรับธารน้ำแข็งฮับบาร์ด เพราะเรากำลังขยับตัวเข้าใกล้กับธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ แถมน่าสนใจตรงที่ในขณะที่ ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลาย แต่ธารน้ำแข็งฮับบาร์ดกลับขยับขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ใครอยากจะเข้าใกล้ธารน้ำแข็ง มีเรือเล็กบริการพาชาวเรือตึกลงเรือเล็กไปส่องธารน้ำแข็งใกล้ๆ ด้วย

วันรุ่งขึ้นเรือเริ่มเข้าใกล้อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ ธารน้ำแข็งผืนใหญ่อีกแห่งหนึ่ง กำลังรอชาวเรืออยู่ ว่ากันว่านี่คือหนึ่งใน ธารน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ซ่อนอยู่ในอุทยานแห่งนี้วันถัดมา เรือจอดแวะที่เมืองสแกกเวย์เป็นเมืองที่เคยเป็นชุมทางของบรรดานักขุดทองทั้งหลาย

วันนี้ลงจากเรือตึกเลยได้มีโอกาสนั่งรถไฟสายไวต์ พาส & ยูคอน (White Pass & Yukon Route) รถไฟขบวนที่เคยหอบนักแสวงโชคเรือนหมื่นข้ามเขาหลายลูก เลาะไปตามเส้นทางรถไฟอันคดโค้งและเต็มไปด้วยหุบเหว แต่วันนี้รถไฟขบวนนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้โดยสารจากทั่วทุกมุมโลกของเรือสำราญยี่ห้อต่างๆ ที่มาจอดเทียบท่าเรือที่เมืองสแกกเวย์แห่งนี้

ใช้คำว่าทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ เพราะเมื่อ 100 กว่าปีก่อนบรรดานักขุดทองต่างเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นรถไฟสายนี้มุ่งหน้าไปแสวงโชคที่เหมืองทองในรัฐยูคอนของแคนาดา รางเหล็กสายเก่าแก่แห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคตื่นทองแถวคลอนไดค์เมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา

ไม้หมอนชิ้นแรกถูกวางลงตั้งแต่ปี 1898 จากนั้นรางเหล็กก็ถูกถักทอขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ ท่ามกลางลมหนาวที่กระพือตลอดปี ไม่ใช่แค่ต่อสู้กับความหนาวที่กรีดเฉือนเลือดเนื้อ แต่ยังต้องเจอกับ อุปสรรคความทุรกันดาร ความยากลำบากที่ประเดประดังกันเข้ามา

แต่ในที่สุดในปี 1900 แรงงานชายฉกรรจ์ก็เนรมิตรางเหล็กยาว 110 ไมล์ได้สำเร็จ หลังจากเปิดให้บริการ ไม่เพียงมีชุมชนซ่อนตามรายทาง แต่ธุรกิจหลายประเภทยังเกิดขึ้นตามมา ความจริงถ้าไม่นับ

เรื่องประวัติศาสตร์ต้องบอกว่า แค่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางนี่ก็ทำให้หูตาเบิกโพลงกันแล้ว ก่อนกลับแวะพายเรือคายัคในทะเลสาบตรงสถานีรถไฟ แล้วกลับมาเดินเล่นดูสีสันในตัวเมืองสแกกเวย์ นี่แค่บางส่วนจากการล่องเรือเข้าอะแลสกา

เมื่อมีโอกาสจะเล่าถึงอีกหลายเมืองหลายท่าที่เรือตึกจอดให้ลงไปเที่ยว แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าระยะเวลาจะผ่านไปแค่ไหน อะแลสกายังสวยไม่สร่าง ถ้าเป็นคนก็ต้องพูดว่า เวลาทำอะไรเธอไม่ได้เลย

-จากกรุงเทพฯ ไปอะแลสกา บินกับสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก มีเที่ยวบินไปแวนคูเวอร์วันละ 2-3 ไฟลต์ทุกวัน โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง และในแถบอเมริกาและแคนาดา ยังมี
เที่ยวบิน บินไปโตรอนโต ซานฟรานซิสโก ซีแอทเทิล ลอสแอนเจลิส วอชิงตันดีซี และนิวยอร์กด้วย คลิกไปดู รายละเอียดเที่ยวบินได้ที่ www.cathaypacific.com
-อยากล่องเรือเข้าอะแลสกา ติดต่อบริษัท 2MorrowExplorer มีเรือให้เลือกหลายแบรนด์มาก สอบถามได้ที่ 06 1590 5999 หรือคลิกเข้าไปที่ www.2morrowexplorer.com
-ค้นหาที่พักในแวนคูเวอร์และในแองเคอเรจได้ที่ www.airbnb.com มีให้เลือกหลายแบบและหลายราคา
-คนไทยที่จะไปเที่ยวแคนาดาควรวางแผนทำวีซ่าล่วงหน้า อย่างน้อย 2 เดือน

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0