เชียงใหม่ ชิล ชิล

Story & Photo by Luck

ผลจากค่ำคืนที่ผ่านมา พระพิรุณได้เปิดถุงน้ำเทลงมาโปรยพรมเป็นฝนสู่ผืนโลก ทำให้เช้าวันหยุดของการท่องเที่ยวอย่างเมืองเชียงใหม่ของฉันเต็มไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า และกลิ่นหอมอบอวลของดิน เป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่บริสุทธิ์ สดใส และสดชื่นเป็นที่สุดสมกับคำพูดที่ว่า “ฟ้าหลังฝน สดใสเสมอ”

อุทยานหลวงราชพฤกษ์ (Royal Park Rajapruek) ไม่ไกลจากที่พักในครั้งนี้ของฉันนัก ยิ่งช่วงเช้าอากาศดีแบบนี้ ฉันจึงมีเพื่อนร่วมก๊วนจักรยานปั่นออกกำลังกายมายังบริเวณอุทยานกันอย่างมากมาย หลายคนปั่นมาจากในตัวเมืองเชียงใหม่เลาะเลียบถนนสายที่เรียกว่าเลียบคันคลองกันมา หลายคนก็เอาจักรยานใส่รถมุ่งหน้ามาปั่นที่ลานจอดรถเพราะกว้างขวาง เพื่อมาสูดอากาศดีๆ เช่นนี้โดยเฉพาะ

สำหรับที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ สิ่งที่ห้ามพลาดนอกจากการมาชมพืชพรรณที่มีหลากหลายชนิดแล้วก็คือ การขึ้นไปบนเนินราชพฤกษ์ เนินเขาเล็กๆ ที่มีต้นดอกคูนไ หรือต้นราชพฤกษ์ต้นไม้ประจำสวนแห่งนี้ปลูกอยู่ตรงกลางของเนิน รางวัลสำหรับผู้ที่ค่อยก้าวเดินขึ้นไปด้านบน คือภาพทิวทัศน์ที่สวยงามในมุมสูงของอุทยาน ยิ่งยามหลังฝนเช่นนี้แล้ว คุณจะเห็นสายหมอกบางที่ลอยละล่องเคล้าเคลียอยู่กับขุนเขาที่อยู่ด้านหลัง สวยงามเป็นที่สุด

ไม่ไกลจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุดอยคำ ด้วยความเชื่อและศรัทธาต่อพระเจ้าทันใจของคนหลายคนทำให้วัดนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ

สังเกตได้จากจำนวนดอกมะลิที่คนนำมาแก้บนมีจำนวนมากมายทั่วบริเวณ หากเดินไปรอบวิหารเราจะพบทางออกสู่จุดชมวิว ที่จริงแล้วทางนี้เป็นประตูหน้าวัดในสมัยก่อน หากจะมากราบพระที่วัดดอยคำก็ต้องเดินขึ้นทางนี้ วิวที่นี่สวยไม่แพ้จุดชมวิวที่วัดพระธาตุดอยสุเทพเลยทีเดียว

อีกวัดที่ถือว่าเป็นวัดเก่าคู่เมืองเชียงใหม่อย่าง วัดต้นเกว๋น (วัดอินทราวาส) วัดที่มีศิลปกรรมล้านนาดั้งเดิมภายในวัดที่ยังจัดว่าเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์และมีคุณค่ามาก จนสมาคมสถาปนิกสยามประกาศให้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นเมื่อปี พ.ศ. 2532 จุดเด่นที่สุดอยู่ที่ศาลาจัตุรมุขที่เป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมล้านนา ซึ่งพบเพียงหลังเดียวในภาคเหนือ

ที่ดูเหมือนจะคุ้นตากันอย่างมาก คือวิหารไม้โบราณของที่นี่ ซึ่งนำไปเป็นต้นแบบของหอคำหลวงที่ตั้งอยู่ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์นั่นเอง การเดินทางมาที่นี่ไม่ยาก เลยสี่แยกสะเมิง (สี่แยกข้ามคลองชลประทาน) ไปสัก 100 เมตร มองหาป้ายวัดอยู่ทางซ้ายมือ ชื่อวัด “วัดอินทราวาส” (วัดต้นเกว๋น) เข้าไปในซอยไม่ไกลมากก็จะเจอวัดแล้ว หรือจะสังเกตได้ว่าวัดจะอยู่หลัง อบต.หนองควาย

สวนกุหลาบหลวง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริง เป็นจุดหมายปลายทางอีกแห่งที่อยากแนะนำ หากได้เดินทางมาตามถนนสายเชียงใหม่-สะเมิงแห่งนี้ ที่สำคัญที่นี่เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดทุกวัน เวลาทำการ 08.00-17.00 น.

สวนกุหลาบแห่งนี้ก่อตั้งขึ้น ปี พ.ศ. 2521 เพื่อดำเนินการตามกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ถูกต้องให้เกษตรกรมีความรู้ความชำนาญและมีรายได้ที่เหมาะสม ภาพกุหลาบหลากหลายพันธุ์กว่า 20,000 ต้น กระจายอยู่เต็มพื้นที่โรงเรือนโปร่งเเสงที่มีพื้นที่กว่า 1 งาน (1/4 ไร่) เเถมทุกต้นออกดอกบานสะพรั่งสวยงามมาก

ประกอบกับอากาศที่ไม่ร้อนมากนักของวันนี้ ทำให้เราได้แต่ร้องว้าวๆ ไปทั่วทั้งบริเวณสวน หากเหนื่อยก็สามารถนั่งพักตามม้านั่งที่มีจัดแทรกไว้ให้ แถมโครงการหลวงแห่งนี้มีบริการร้านอาหารอีกด้วย ได้ทั้งอาหารปาก อาหารตา ดีต่อใจเสียจริง ทำให้ไม่อยากไปไหนต่อเลยทีเดียว

หากใครได้ผ่านเส้นทางสี่แยกสะเมิง (สี่แยกข้ามคลองชลประทาน) ก็จะเห็นคนโทขนาดใหญ่วางอยู่ไม่ไกล อยู่บริเวณสี่แยก คนโทแบบนี้ทางเหนือเรียกว่า น้ำต้น น้ำต้นยักษ์แห่งนี้ เป็นจุดหมายแหล่งจับจ่ายซื้อของที่น่าสนใจ ที่น่าแวะอีกแห่ง เรียกว่า หมู่บ้านหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา บ้านเหมืองกุง

ที่หมู่บ้านแห่งนี้เขาทำเครื่องปั้นดินเผามาตั้งแต่บรรพบุรุษ สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์คือน้ำต้นหรือคนโท เป็นงานที่มีรูปแบบเฉพาะของที่นี่ วิธีการปั้นเครื่องปั้นดินเผาของบ้านเหมืองกุง จะมีทั้งแบบโบราณที่ใช้แท่นหมุนมือที่เรียกว่า จ้าก และแบบประยุกต์ที่ใช้แท่นหมุนด้วยไฟฟ้า ซึ่งมีการสาธิตการปั้นอยู่ด้วย

เรียกได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ได้ทั้งออกกำลังกาย ได้ทั้งบุญ อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มตา อิ่มท้อง แถมได้ของฝากไปฝากคนอื่นให้อิ่มเอมอีกด้วย ครบถ้วนในทริปเดียว

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0