Charming Wakayama เสน่ห์ของวากายามะ

Story & Photo by Orawan

คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า “การก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ติด 1 ใน 2 เส้นทางจาริกแสวงบุญที่องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลกมันต้องใช้แรงใจและแรงศรัทธามากแค่ไหน ถ้าไม่ได้ลองเอง”

เส้นทางแห่งศรัทธา
เบื้องหน้าของฉันวันนี้คือ เส้นทางจาริก แสวงบุญคุมาโนะโคโด (Kumano Kodo) เป็นหนึ่งในเส้นทางแสวงบุญสองแห่งทั่วโลกที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (อีกหนึ่งแห่งคือ เส้นทางนักบุญยากอบ Way of St. James ในทวีปยุโรปที่ใช้ในการเดินทางไปยัง อาสนวิหารเมืองซานเตียโกเดกอมโปสเตลา ประเทศสเปน)

โดยเส้นทางแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของคาบสมุทรคิอิ (Kii Peninsula) ในเทือกเขาคิอิ เมืองคุมาโนะ จังหวัดวากายาม่า โดยมีความเชื่อว่าพื้นที่ทั้งหมดถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตของเทพเจ้า เส้นทางแสวงบุญนั้นมีหลายเส้นทาง สำหรับนักเดินทางที่มี เวลาจำกัดและต้องการประสบการณ์สำหรับ เส้นทางจาริกแสวงบุญแล้วละก็ ขอแนะนำ ตามเส้นทางนี้เลย เริ่มจากเนินไดมงซะกะ (Daimon-zaka) ผ่านตามแนวต้นสนซีดาร์ขนาดใหญ่อายุกว่า 800 ปี สูงชนิดที่ต้องมองแบบคอตั้งบ่า มีเวลาได้สำรวจตัวเองและ สัมผัสความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและความเงียบสงบตลอดทางเดินแนวบันไดหินแกรนิตกว่า 267 ชั้น

ระยะทางกว่า 600 เมตร ที่ทอดยาวไปสู่ศาลเจ้าคุมาโนะนาจิ ไทชะ (นาจิ คัทซุอุระ) ศาลเจ้าใหญ่หนึ่งในสาม ศาลเจ้าของเส้นทางคุมาโนะซันซัง อีกสอง ศาลเจ้าคือ ศาลเจ้าคุมาโนะ ฮายะทะมะ ไทชะ (ชินงุ) และศาลเจ้าคุมาโนะ ฮอนงุ ไทชะ (ทานาเบะ) เป็นที่ประดิษฐานของฟุซุมิโนะ คามิ (Fusuminokami) รวมทั้งเทพเจ้าและเทพธิดาอื่นๆ ในหลักของศาสนาชินโต ติดกันเป็นวัดนะจิซัง เซกันโตจิ (Nachisan Seiganto-ji Temple) ซึ่งใช้หลักของพุทธศาสนา แม้สองสถานที่นี้ต่างมีความเชื่อและ ศรัทธาที่ต่างกันแต่ก็สามารถรวมกันได้อย่างลงตัว

เดินถัดไปอีกนิดเราก็จะเห็นแลนด์มาร์กของจังหวัดวากายาม่า ภาพเจดีย์สีแดงสูง 3 ชั้น อยู่เบื้องหน้าน้ำตกนะจิ (Nachi-Otaki) น้ำตกสูงที่สุดในญี่ปุ่นซึ่งมีความสูงถึง 133 เมตร

หากใกล้เข้าไปคุณจะได้ยินเสียงน้ำตกดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ เสียงของน้ำตกแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 เสียงที่ไพเราะมากที่สุดของญี่ปุ่น อีกด้วยน้ำตกนะจิเป็นที่ประดิษฐานเทพแห่งศาลเจ้าฮิโระ

ซึ่งเป็นศาลเจ้าย่อยของศาลเจ้ามาโนะ นาจิ ไทชะ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพ สักการะเป็นอย่างมาก สำหรับใครที่มีโอกาสได้มาเดินทางเส้นทางสายนี้จะรู้สึกได้ถึงความสวยงาม ร่มรื่น และสร้างความสงบในจิตใจได้เป็นอย่างดี

ท้องทะเล หินผา หาดทรายขาว
ชายหาดทรายสีขาวงดงามทอดยาวตลอดกว่า 800 เมตรตัดกับสีฟ้าเข้มของน้ำทะเลเป็นตัวแทนที่บ่งบอกความสวยงามระดับเอบวกของชายหาดชิราฮามะ (Shirahama) ที่นี่ห่างจากโอซาก้าทางทิศใต้เพียง 100 กม.เท่านั้น นอกจากจะมีชายหาดที่สวยงามแล้ว ยังมีน้ำพุร้อนที่บันทึกไว้ว่าเก่าแก่กว่า 1,000 ปีติดอันดับ 1 ใน 3 ของออนเซ็นเก่าแก่ของญี่ปุ่น ให้ที่นี่เป็นเสมือนแหล่งที่พักตากอากาศชั้นเยี่ยมของภูมิภาคแห่งนี้

นอกจากนี้เมืองชิราฮามะเองก็มีวิว ทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงามไม่แพ้ใคร อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นหน้าผาหินซันดันเบกิ (Sandanbeki Rock Cliff)

หน้าผาที่มีความทอดยาวไปตลอดแนวชายฝั่งทะลกว่า 2 กิโลเมตร มี ความสูงกว่า 500 เมตร

ความพิเศษของหน้าผาแห่งนี้คือด้านล่างภายในผาแห่งนั้นมี ถ้ำซันดันเบกิ (Sandanbeki Cave) ซึ่งเคยเป็นท่าจอดเรือของโจรสลัดคุมาโนะ

ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนเข้าชม ด้านในก็จะมีการจำลองการอยู่อาศัยของโจรสลัดในสมัยนั้น

มีทางเดินที่สามารถมองเห็นช่องทางเข้าถ้ำที่สามารถออกไปเห็นท้องทะเลกว้างใหญ่ เป็นถ้ำที่กว้างขวาง และน่าอัศจรรย์ใจมาก

อีกจุดที่น่าสนใจ คือ ลานหินเซนโจจิกิ (Senjojiki) เซนโจจิกิ แปลว่าเสื่อทาทามิ 1,000 ผืน

เป็นคำเรียกขานของลานหินที่เกิดจากลาวาที่ปะทุขึ้นมาริมทะเลและเกิดเป็นชั้นหินเรียงทับๆ กัน ราวกับเสื่อทาทามิของญี่ปุ่น

บริเวณนี้เป็น จุดหนึ่งที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม ไม่แพ้กันกับที่ เกาะเอ็งเง็ตสึโตะ (Engetsuto Island) หรือชื่อทางการคือ เกาะทะคะชิมะ (Takashima) เอ็งเง็ตสึโตะ แปลว่าเกาะพระจันทร์เต็มดวง เหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะเกาะนี้มีรูปร่างคล้ายแว่นตา ตรงกลางมีรูทรงกลมที่เกิดจากการกัดเซาะของสายลมและเกลียวคลื่นคล้ายพระจันทร์เต็มดวง ยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีเมฆ เราจะเห็นพระอาทิตย์ เลื่อนมาอยู่กึ่งกลางของวงกลม เป็นภาพที่ สวยงามมากทำให้ที่นี่ติดอันดับ 1 ใน 100 จุดชมพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนติกในญี่ปุ่น มาทะเลแล้วไม่กินอาหารทะเลก็จะดูแปลกไปนิด

ที่เมืองนี้มีตลาดสดขนาดใหญ่ ชื่อ ตลาดโทเระ โทเระ (ToreTore Market) เป็นตลาดที่ใหญ่และมีสินค้าครบครันมากทั้งผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ทั้งอาหารทะเลสดๆ อาหารแปรรูป

ของแห้ง ผลไม้ และสินค้าแทบทุกอย่างในเมืองวากายาม่ามีครบ เราสามารถ ซื้ออาหารสดแล้วให้พ่อครัวปรุงให้ได้ หรือไปย่างบาร์บีคิวได้

ของน่าซื้อที่นี่สำหรับเรา คือ กระเทียมโทนดองบ๊วย บอกได้แค่ว่าต้องลองคุณจะติดใจ หรือขับรถไปสักนิด

ที่นี่มีโรงงานคราฟต์เบียร์ท้องถิ่นที่น่าสนใจ ชื่อโรงเบียร์นะกิสะ (Nagisa Beer)

คุณสามารถชมโรงเบียร์และเรียนรู้กระบวนการหมักบ่มเบียร์ได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย

ไม่ไกลจากเมืองชิราฮามะที่เมืองคุชิโมโตะ (Kushimoto) ก็มีโขดหินติดแนวทะเลที่สวยแปลกตาชื่อว่าโขดหิน ฮะชิงุอิ-อิวะ (Hashigui-iwa Rock)แปลว่าโขดหินเสาสะพาน เป็นโขดหินที่เรียงตัวทอดยาวเป็นเส้นตรงประมาณ 850 เมตร มองดูคล้ายสะพาน

ตำนานเล่าว่ามีนักบวชเข้ามาเผยแผ่ศาสนาพุทธและพยายามจะสร้างสะพานแต่โดนปิศาจขัดขวางไว้สำหรับที่เมืองคุชิโมโตะนี้มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ชื่อ พิพิธภัณฑ์ สัตว์น้ำคุชิโมโตะ (Kushimoto Marine Park Aquarium) ก่อตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลตามธรรมชาตินอกชายฝั่ง

ดูแล้วที่นี่อาจเหมือนพิพิธภัณฑ์ สัตว์น้ำทั่วๆ ไป แต่สำหรับเราแล้วความพิเศษคงอยู่ที่อุโมงค์ที่สามารถเห็นสัตว์ทะเลอย่างใกล้ชิด

และมีเบาะนั่งให้สามารถชื่นชมกับบรรยากาศท้องทะเลได้อย่างเต็มอิ่ม ใกล้กันนั้นมีประภาคารกลางทะเลที่สามารถเดินลงไปใต้ท้องทะเล และมองดูวิถีชีวิตของสัตว์น้ำในท้องทะเลได้

ครบเครื่องที่วากายาม่า
ระหว่างเมืองแห่งท้องทะเลชิราฮามะ กับตัวเมืองวากายาม่านั้น มีเมืองที่น่าสนใจชื่อ เมืองยุอะสะ (Yuasa) ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่น หรือที่เรารู้จักกันในนามของโชยุนั่นเอง

ว่ากันว่าวิธีการทำเต้าเจี้ยวนั้นถูกนำมาจากจีนโดยผู้ที่ไปศึกษาศาสนาที่นั่น อดีตที่นี่มีโรงงานโชยุหลายแห่ง ปัจจุบันมีเพียงโรงงานคะโดะโชะ (Kadocho) ทางโรงงานจะเปิดให้คุณได้เรียนรู้ทุกอย่าง เกี่ยวกับกระบวนการทำซอสถั่วเหลืองและมิโสะคินซันจิ

แนะนำให้ลองชิมซอฟต์ครีม รสโชยุจากที่นี่ ชื่ออาจฟังแปลกแต่รสชาติ น่าประทับใจทีเดียว

สำหรับตัวเมืองวากายาม่า ในครั้งแรกเราคิดว่าเป็นเมืองเล็กไม่น่าสนใจ แต่หลังจากได้สัมผัสแล้วรู้สึกได้ว่าวากายาม่ามีอะไรน่าสนใจและครบเครื่องจริงๆ ปราสาทวากายาม่า (Wakayama Castle) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองวากายาม่า

ความน่าสนใจอยู่ที่กำแพงหินของปราสาทที่มีการบันทึกเรื่องราวที่ยาวนานของปราสาทแห่งนี้ ถ้าคุณสังเกตดีๆ ก้อนหินบางก้อนมีการสลักชื่อของช่าง

ด้านเหนือของปราสาทมีสวนญี่ปุ่นชื่อสวนโมะมิจิดะนิ (Momijidani Teien Garden) ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่สวยงามมากจากสวนจะมองเห็นสะพาน Ohashi Roka ที่ข้ามคูน้ำเชื่อมระหว่างสองส่วนของพื้นที่ปราสาทเป็น สะพานที่มีลักษณะทแยงเฉียงๆ ปกปิดทั้งกำแพงและหลังคามิดชิดกันผู้คนภายนอกเห็น

นอกจากนี้ยังมีร้านชาที่คุณสามารถดื่มชาเขียวพร้อมขนมหวานในราคาเพียง 460 เยน ด้านหลังของปราสาทมีสวนสัตว์ที่เข้าชมฟรี และใกล้กับปราสาทวากายาม่า บริเวณศูนย์บริการการท่องเที่ยวมีศูนย์แสดงประวัติศาสตร์ (Wakayama Historical Center) ที่แสดงให้เราเห็นถึงประวัติความเป็นมาของปราสาทและเมืองวากายาม่า สำหรับคนที่ต้องการเห็นเมืองวากายาม่าในมุมสูง

แนะนำให้ไปที่วัดคิมิอิเดระ (Kimiidera Temple) เป็นหนึ่งวัดที่อยู่ในเส้นทางจาริกแสวงบุญคันนอน

เส้นทางศักดิ์สิทธิ์ที่แต่ละปีมีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ด้านบนประดิษฐานพระพุทธรูปและเจ้าแม่กวนอิมพันมือองค์ใหญ่ ที่พิเศษกว่านั้นคือวัดนี้มีจุดที่กำหนดว่าเป็นจุดที่ซากุระบานเป็นแห่งแรกในแถบคันไซ สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากไม่สามารถเดินทางไปในแถบชายทะเลได้ แต่อยากกินอาหารทะเลสดใหม่ แนะนำให้ไปที่ Wakayama Marina City ซึ่งจะประกอบไปด้วยสวนสนุก Porto Europa ออนเซ็น Kishu Kuroshio Onsen

และตลาดปลาคุโรชิโอ (Kuroshio Market)

นอกจากอาหารทะเลสดแล้วที่นี่ยังมีจัดแสดงโชว์การแล่ปลาวันละ 3 รอบ คือ 11.00 / 12.30 / 15.00 น. หลังจากการแสดงโชว์เราสามารถซื้อเนื้อปลานั้นได้ ทุกคนที่ได้ลองชิมต่างออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่าหวานนุ่มและละลายในปากกันเลย

นอกจากนั้นยังมีอาหารทะเล และอาหารอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ใครชอบแบบไหนเลย

ปิดท้ายวากายาม่าของฉัน แม้ไม่ได้นั่งรถไฟแมวทามะชื่อดังแต่รถไฟปลาอย่างรถไฟเมะเดะไท (Medetai)

รถไฟที่มีชื่อจากคำพ้องเสียงระหว่างชื่อของปลาไท (ปลากะพง) และ “เมเดไท” ที่เป็นประโยคที่ใช้แสดงความยินดีของชาวญี่ปุ่น

รถไฟรูปปลาไทนี้ มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีฟ้าชื่อ Kai สีชมพูชื่อ Sachi สีแดงชื่อ Nana แต่ละคันก็มีการตกแต่งที่น่ารักแตกต่างกันไป

เราสามารถนั่งรถไฟคันนี้ไปสถานีคาดะ

แล้วจิบกาแฟเย็นก่อนไปชมพระอาทิตย์ตกดินแสนสวยที่เมืองคาดะได้

สิ่งที่น่าสนใจ
– เก็บองุ่นที่สวนองุ่นอาริตะเคียวโฮมุระ (Arita Kyoho Grape Village) เมือง Aridagawa ที่
สวนแห่งนี้มีองุ่นมากมายกว่า 20 สายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ Shine Muscat, สายพันธุ์ Kyoho สายพันธุ์ Pione นอกจากนี้ที่สวนยังมีสาลี่อีกด้วย ราคาค่าเข้าเริ่มต้นเพียง 800 เยนเท่านั้น


– ชิมราเม็งหัวหอมเต็มชาม กินไอศกรีมโฮมเมดและจิบกาแฟเก๋ๆ ในร้านตัวเมืองวากายาม่า

ขอบคุณ : การท่องเที่ยวเมืองวากายาม่า (Wakayama Tourism)

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0