For Castle Lovers คนรักปราสาท

เรื่องโดยทีมงาน Vacationist

ผมยอมรับได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า เป็นคนที่หลงใหลและหลงรักปราสาทเป็นอย่างมาก หากพูดในเรื่องของแง่นิทานเจ้าหญิง เจ้าชาย ปราสาท พระราชวังถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่หรูหราโอ่อ่าและชวนฝันสุดแสนโรแมนติก แต่ถ้าพูดแง่ของสถาปัตยกรรมแล้ว ปราสาทถือได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการและตกแต่งแต่ละชิ้นงานของแต่ละปราสาท เต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจของช่างในชิ้นงานและขั้นตอนการทำงาน ส่วนถ้าพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์แล้ว ปราสาท พระราชวังเหล่านี้คือตัวแทนของบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ละยุคสมัย แม้ผมจะไม่ได้รอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของแต่ละปราสาทได้ครบถ้วน แต่อยากเรียกตัวเองเป็น Castle Lovers คนหนึ่ง ครั้งนี้เลยอยากจะนำเอาปราสาทในดวงใจสัก 8 ปราสาท มาแบ่งปันเล่าสู่กันฟังเผื่อใครสนใจจะเก็บเป็นตัวเลือกในการเดินทางแล้วมาเป็นคนรักปราสาทด้วยกัน

ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle)

หากพูดถึงปราสาทแล้วละก็ภาพของปราสาทนอยชวานชไตน์ของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี น่าจะ วิ่งฉิวเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งในใจใครหลายคน เพราะความสวยงามของปราสาทส่วนหนึ่ง อีกส่วนหลายคนคงคุ้นตากับรูปลักษณ์ของปราสาทที่ทางดิสนีย์แลนด์เลือกไปเป็นต้นแบบปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทรา ที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ และโตเกียวดิสนีย์แลนด์ นั่นเอง ชื่อของ Neuschwanstein มาจากคำว่า neu = new แปลว่า ใหม่ schwan = swan แปลว่าหงส์ tein = stone แปลว่าหิน Neuschwanstein จึงแปลว่า New Swan Stone Castle หรือปราสาทหินหงส์ใหม่นั่นเอง พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ผู้สร้างปราสาทได้ให้ คริสทีอัน ยังค์ (Christian Jank) นักออกแบบทางการละคร ออกแบบปราสาทตามจินตนาการของพระองค์ โดยอ้างอิงจากปราสาทที่ ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) นักประพันธ์ชื่อดังแห่งยุคและเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าลุดวิก ได้บรรยายเอาไว้ในนิยาย “อัศวินหงส์” (Swan Knight) ซึ่งเป็นที่มาของการเรียกปราสาทแห่งนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า “ปราสาทหงส์” (Swan Castle)

ปราสาทสีขาวตั้งโดดเด่นอยู่บนหินผาขนาดใหญ่ สูงกว่า 200 เมตร เหนือออบแก่งของแม่น้ำพอลลัท ท่ามกลางธรรมชาติของเทือกเขาแอลป์ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและทิวทัศน์ของป่าเขาลำเนาไพรที่สวยงามและมีสีสันแปรเปลี่ยนแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ทำให้ปราสาทแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องสร้างสวน เพราะมีสวนตามธรรมชาติที่สวยงามอยู่แล้ว ปราสาทนอยชวานชไตน์เป็นปราสาทที่ยังสร้างไม่เสร็จ เพราะพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ได้สวรรคต ปราสาทนี้ได้ถูกสร้างไปเพียง 1 ใน 3 ของแผนที่วางไว้เท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมยุคกลางผสานสไตล์กอทิกแห่งนี้ก็เป็นที่นิยมของทั้งคนเยอรมันเองและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ต้องการมาชมปราสาทในเทพนิยายแห่งนี้สักครั้งในชีวิต ตามที่มีการบันทึก ว่ากันว่ามีคนเดินทางไปเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้ถึงปีละ 1.3 ล้านคน มากถึงวันละ 6,000 คนในช่วงฤดูร้อนที่ถือว่าเป็นช่วงอากาศดีของฝั่งยุโรปกันเลยทีเดียว

การเข้าชมภายในตัวปราสาทต้องเข้าชมเปิดเป็นรอบๆ ตามที่ได้มีการจองและระบุเวลาไว้ในตั๋วเข้าชมปราสาท ราคาตั๋วผู้ใหญ่ราคา 13 ยูโร โดยมีไกด์นำชมมีทั้งแบบเป็นภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาอื่นๆ รวมถึงภาษาไทย มีบริการเป็น Audio Guide แทน ใช้เวลาต่อรอบประมาณ 30-35 นาที ภายในตัวปราสาทไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่สามารถถ่ายรูปด้านนอกได้ ภายในปราสาทตอนที่ผมไป มีบางจุดกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง แต่แค่เท่าที่มีก็สวยงาม โออ่าและอลังการมาก ห้องโถงใหญ่ที่มีการแสดงละครระยิบระยับไปด้วยสีทองและน้ำเงินที่เฉิดฉาย ส่วนแผ่นกระเบื้องโมเสกรวมไปถึงภาพวาดที่ประดับประดาก็สวยงามเป็นอย่างมาก และถ้าคุณมีเวลามากพอ จุดที่พลาดไม่ได้คือ การไปยืนชมวิวของปราสาทที่สะพานมาเรียนบรู๊ก (Marienbrucke หรือ Mary’s bridge) จะมองเห็นตัวปราสาททั้งหลังท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม ไม่ว่าคุณจะมาฤดูไหนก็ต้องหลงรักที่นี่แน่นอน

การเดินทาง
ไปปราสาทนอยชวานชไตน์ สามารถซื้อทัวร์แบบ 1 วันไปเที่ยวได้จากเมืองมิวนิก (Munich) ราคาต่อคนอยู่ที่ 1,600 – 2,000 บาทต่อคน หรือจะซื้อตั๋ว Bayern-Ticket แบบ 1 วัน ราคาอยู่ที่ประมาณ 25 ยูโร รถไฟจากเมืองมิวนิกไปเมืองฟุสเซ่น (Füssen) แล้วต่อรถเมล์ไปที่หมู่บ้าน Hohenschwangau เพื่อขึ้นรถบัสขึ้นเขาไปยังตัวปราสาทก็ย่อมได้ ซึ่งตั๋วนี้สามารถใช้เดินทางกลับเข้าเมืองมิวนิกได้อีกด้วย

มงแซ็งมีแชล (Mont Saint Michel)

จะเรียกมงแซ็งมีแชลว่าเป็นปราสาทก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะมงแซ็งมีแชลนั้นเป็นวิหาร ถ้าใครจำเจ้าหญิงราพันเซลจากเรื่อง Tangled ที่มีปราสาทอยู่เหนือเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำก็จะคุ้นๆ เพราะปราสาทในนิทานเรื่องนั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นี่นั่นเอง ความนิยมของมงแซ็งมีแชลนั้นวิ่งเข้ามาเป็นอันดับที่ 3 ของสถานที่ท่องเที่ยวต้องมาของฝรั่งเศส รองจากหอไอเฟล (Eiffel) และพระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles Palace) ในแต่ละปีมีคนแวะเวียนมาเยี่ยมมงแซ็งมีแชลมากถึงปีละ 3 ล้านคนกันทีเดียว ตัววิหารตั้งอยู่บนเกาะหินแกรนิตที่มีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตร และสูง 92 เมตร แล้วถ้าบวกกับความสูงของตัววิหารนั้นแล้วก็จะมีความสูงถึง 155 เมตร เกาะแห่งนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ บริเวณปากแม่น้ำคูสน้อง (Couesnon) ใกล้กับเมืองอาวรองช์ (Avranches) จังหวัดม็องช์ (Manche) แคว้นนอร์มังดี (Normandy) ของประเทศฝรั่งเศส เกาะห่างจากตัวฝั่งประมาณ 600 เมตร

ตามตำนานเล่ากันว่าอัครทูตสวรรค์มิคาเอล (Michael) ได้มาเข้าฝันนักบุญโอแบรต์ (Saint Aubert) บิชอปของเมืองอาวรองช์ ให้สร้างวิหารนี้บนเกาะหิน แต่บิชอปเข้าใจว่าเป็นปิศาจมาเข้าฝัน จนครั้งที่ 3 เทวทูตได้ใช้นิ้วชี้เผาตรงหน้าผากบิชอป บิชอปตื่นมาเห็นมีร่องรอยจริง จึงรีบสร้างวิหารนี้ขึ้น ในช่วงปีค.ศ. 1251 ต่อมาในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 และ 7 ที่นี่ถูกใช้เป็นฐานที่มั่นของชาว Gallo-Roman ก่อนที่จะถูกตีแตกพ่ายไปและเข้ายึดครองโดยชาวแฟรงก์ส (Franks) และเรียกเกาะแห่งนี้ว่า มงตงบ์ (Mont Tombe) ในปี ค.ศ. 1966 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 1,000 ปี ของการก่อตั้งวิหาร คณะสงฆ์และเหล่าผู้แสวงบุญเริ่มกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสในฐานะเป็นสถานที่แห่งการคุมขังนักโทษทางการเมืองอีกด้วย แต่ต่อมาไม่นาน วิกเตอร์ อูโก ได้ยกเลิกการนำวิหารเป็นสถานที่คุมขังและบูรณะซ่อมแซม จนถึงปี 1979 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนให้ที่นี่เป็นมรดกโลกทั้งทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และความสวยงามตามธรรมชาติ

ในอดีตเกาะนี้จะสามารถเข้าถึงได้เมื่อน้ำลดลงเท่านั้น ปัจจุบันมีการสร้างสะพานไปถึงวิหาร โดยนักท่องเที่ยวสามารถจอดรถบนฝั่งแล้วนั่งรถรับส่งที่ให้บริการฟรีไปจากจุดจอดรถที่ต่อไปยังเกาะได้ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 12 นาที อันดับแรกสำหรับการเตรียมตัวมาที่นี่คือ รองเท้า เพราะมงแซ็งมีแชลเป็นเกาะที่มีเส้นทางเดินทางวนขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นทางเดินหิน ดังนั้นควรเตรียมรองเท้าที่ใส่สบายมาเป็นดีที่สุด วิหารเปิดให้เข้าชมเดือนพฤษภาคม เวลา 09.00-18.00 น. เดือนกันยายน-เมษายน เวลา 09.30-17.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมท่านละ 10 ยูโร ในบริเวณวิหารมีร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายของที่ระลึกหลายร้านทีเดียว สิ่งที่โดดเด่นนอกจากสถาปัตยกรรมที่มีการออกแบบผสมผสานระหว่างรูปแบบกอทิกและโรมาเนสก์แล้วประติมากรรมรูปปั้นทูตสวรรค์มิคาเอลที่สร้างโดยประติมากรรมเลื่องชื่ออย่าง เอมานูแอล เฟรมีเยต์ (Emmanuel Frémiet) บนยอดวิหาร ความสวยงามและทรงคุณค่าทั้งหมดจึงทำให้วิหารมงแซ็ง มีแชล (Mont-Saint-Michel) ได้ถูกจัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมโดยองค์การยูเนสโกด้วยเช่นกัน กิจกรรมที่ผมอยากแนะนำคือ การขี่ม้าตอนที่น้ำทะเลลดก็ได้บรรยากาศที่แปลกดี และอีกอย่างคือการเข้าพักโรงแรมภายในวิหารเลย มี 2 โรงแรม ชื่อ Les Terrasses Poulard คืนละประมาณ 9,000 บาท กับอีกโรงแรมชื่อ Le Mouton Blanc คืนละประมาณ 6,000-7,000 บาท จองล่วงหน้าหน่อยก็ดี คุณจะได้สัมผัสบรรยากาศวิหารช่วงกลางคืนสวยมาก ขอบอก

การเดินทาง
นั่งรถไฟความเร็วสูง (TGV) มาลงที่สถานีแรนส์ (rennes) หรือดอลเดอ เบอตราญ (dol de bretagne) ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ แล้วต่อรถโดยสารประจำทางบริการที่ริมหาดแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย

ปราสาทชิยง (Chillon Castle)

หรือ ปราสาทชิลยอง (Château de Chillon) ปราสาทสไตล์กอทิก เก่าแก่ที่สร้างในราวศตวรรษที่สิบสาม ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองมองเทรอซ์ (Montreux) เมืองเล็กๆ แสนน่ารักที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปราสาทแห่งนี้สร้างบนเกาะหินตั้งแต่ยุคกลาง เดิมสร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทางและใช้เพื่อควบคุมการเดินเรือที่สัญจรระหว่างบูร์กอญกับช่องเขากร็อง-แซ็ง-แบร์นาร์ และเป็นที่พักร้อนของราชวงศ์ซาวอย (SAVOY) ต่อมาในศตวรรษที่ 16 ปราสาทถูกใช้เป็นที่คุมขังพระและนักโทษทางการเมืองอย่างฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด (François Bonivard) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับฆราวาสที่ดูแลวิหารเซนต์วิกเตอร์ ในเมืองเจนีวา เป็นทั้งนักบวชและนักการเมืองเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ให้เจนีวาเป็นอิสระจากซาวอย เลยโดนจับขังที่นี่ โดยคุกที่คุมขังนี้เองที่สร้างแรงบันดาลใจให้ลอร์ดไบรอน (Lord Byron) แต่งบทประพันธ์ นักโทษแห่งชิยง (The Prisoner of Chillon) ขึ้น จนทำให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมเป็นอย่างมาก ค่าเข้าชม 12.50 ฟรังก์สวิส แต่ถ้าคุณมีสวิสพาสก็สามารถเข้าชมได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย จ่ายเงินแล้วรับคู่มือและแผนผังภายในปราสาทแล้วตั้งต้นเที่ยวชมห้องกว่า 25 ห้องของปราสาทได้เลย

หากต้องการเจาะลึกรายละเอียดและเรียนรู้ประวัติของปราสาทแห่งนี้ ขอแนะนำให้เช่าหูฟังบรรยายรายละเอียดเพื่อให้ได้อรรถรสในการเข้าชมปราสาทมากขึ้น สำหรับป้อมปราการยังคงสภาพดีอยู่ เห็นช่องหน้าที่เป็นรูเล็กๆ ที่สามารถมองไปภายนอกได้ แต่คนภายนอกจะไม่สามารถมองเข้ามาเห็นด้านในได้ บริเวณห้องโถงใหญ่ที่เดิมใช้เป็นห้องสำหรับจัดเลี้ยงรับรองหรือที่เรียกว่า “ฮอลล์ ออฟ จัสทิส” (Hall of Justic) ความสวยงามของห้องนี้คือ สามารถมองผ่านกระจกออกไปเห็นวิวของทะเลสาบเจนีวา ส่วนห้องนอนก็หรูหราโอ่อ่าด้วยเตียงขนาดสี่เสาใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง นอกจากนั้นก็มีห้องเก็บเสบียงอาหาร ห้องเก็บไวน์ ห้องครัวขนาดใหญ่ที่มีเตาผิง ถ้วยโบราณ และอุปกรณ์ทำอาหารจัดเรียงเอาไว้ อีกห้องที่น่าสนใจคือ ส่วนของหอสวดมนต์เป็นอาคารหลังเล็กที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ที่ดูลึกลับและน่ากลัวสุดคือ ห้องใต้ดินที่เคยเป็นที่คุมขังฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักบวชและนักการเมืองเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ให้เจนีวาเป็นอิสระจากซาวอย จนสร้างแรงบันดาลใจของบทประพันธ์ The Prisoner of Chillon นั่นเอง

การเดินทาง
นั่งรถไฟเริ่มที่เมืองมองเทรอซ์ จากนั้นนั่งรถไฟท้องถิ่นอีกขบวนมาลงที่ Veytaux-Chillon เดินต่ออีกนิดก็ถึงละ หรือล่องเรือมาจากโลซานน์, มองเทรอซ์, เจนีวาหรือเมืองอื่นๆ ที่เลียบทะเลสาบเจนีวา แล้วลงที่ท่าเรือ Château de Chillon ปราสาทจะเปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันที่ 25 ธันวาคมและวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี

พระราชวังอัลฮามบรา (Alhambra Palace)

อัลฮามบรา มาจากคำในภาษาอาหรับว่า “อัลฮัมรออ์” (อาหรับ: الْحَمْرَاء‎, Al-Ḥamrā) แปลว่า “(สิ่ง) ที่มีสีแดง” เนื่องจากตัวป้อมปราการนั้นก่อสร้างด้วยหิน ดิน และอิฐสีแดง ส่วนอาคารอื่นๆ ซึ่งสร้างโดยใช้ปูนขาวเป็นส่วนประกอบก็จะเห็นเป็นสีออกแดงๆ เช่นกัน พระราชวังอัลฮามบราตั้งอยู่บนเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา (Sierra Nevada Mountains) เมืองกรานาดา (Granada) แคว้นอันดาลูซิอา (Andalucía) ประเทศสเปน ซึ่งเทือกเขานี้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดและมีหิมะปกคลุมส่วนยอดตลอดทั้งปี และกลายเป็นฉากหลังอันงดงามให้กับตัวพระราชวัง ที่นี่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ สุลต่านมุฮัมมัดที่ 1 อิบน์ นัสร์แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน เป็นหนึ่งในสิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมรดกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ยิว และคริสต์ ปัจจุบัน เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งสถาปัตยกรรมมุสลิมกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

พระราชวังบนเนินเขาแห่งนี้ครอบคลุม พื้นที่ ราว 81.25 ไร่ ตัวพระราชวังตั้งอยู่บนเนินเขาหินขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยกำแพงและป้อมปราการ 13 ป้อม ด้วยภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้ยากต่อการเข้าโจมตี ซึ่งด้วยเหตุนี้ทำให้กรานาดาสามารถต่อต้านกองทัพคริสเตียนได้กว่า 200 ปี แต่แม้ว่าจะมีที่ตั้งอยู่ บนเนินเขาสูง แต่ก็มีระบบการจัดการเกี่ยวกับน้ำที่ดี มีการทำคูคลองส่งน้ำจากด้านล่างขึ้นมายังพระราชวัง เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคได้ ในแต่ละด้านของพระราชวังมีการแกะสลักลวดลายประดับประดาอย่างสวยงาม ทั้งผนัง เสา เพดาน โค้งซุ้มประตูต่างๆ ล้วนแกะสลักอย่างละเอียด นับเป็นงานศิลป์ชั้นยอดของชาวมัวร์ นอกจากนั้นยังมีห้องเล็ก ห้องนอนมากมาย ทั้งห้องชุด ห้องมุข บริเวณลานดอกไม้ตรงกลางมีน้ำพุที่มีฐานน้ำพุเป็นสิงโตหินอ่อนหมอบอยู่ถึง 12 ตัว แล้วดอกไม้ในสวนก็ส่งกลิ่นหอมตลบไปหมด ด้วยการออกแบบให้มีความลงตัวระหว่างแสง สายน้ำและสายลม ประติมากรรมและการตกแต่งลวดลายที่ละเอียดอ่อนลงบนฝาผนัง มีการเล่นเงาและการสะท้อนของแสงที่งดงาม อิฐแดงที่ใช้ก่อสร้างทำให้อัลฮามบราดูเป็นสีแดงฉานยามต้องแสงแดดยามบ่าย และในตอนกลางคืนแสงไฟก็สวยงามจนมีนักแต่งเพลงคนสำคัญที่เคยเยี่ยมเยียนได้แต่งเพลง “ราตรีที่กรานาดา” ไว้เป็นที่ระลึกของความสวยงามประทับใจกับที่นี่

การเดินทาง
พระราชวังอัลฮามบราอยู่ที่เมืองกรานาดา ที่ตัวเมืองจะมีรถตู้บริการขึ้นไปด้านบนเขาที่เป็นที่ตั้งของพระราชวัง

ปราสาทบราน (Bran Castle)

ปราสาทแห่งนี้ถือได้ว่าติดอันดับต้นๆ ของปราสาทที่ผมชอบ เลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเพราะเคยปรากฏอยู่ในนวนิยายชื่อดังอย่าง แดรกคูลา ทำให้ปราสาทดูขลังไปโดยอัตโนมัติ ปราสาทตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ในเขตเมืองบราน (Bran) ซึ่งอยู่ห่างจากบราชอฟ (Brasov) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 30 กิโลเมตรระหว่าง แคว้นวัลลาเชีย และแคว้นทรานซิลวาเนีย ที่ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนีย สร้างขึ้นในปี 1212 โดยอัศวินชาวเยอรมัน เป็นปราสาทของเจ้าผู้ครองแคว้นทรานซิลวาเนีย อายุเก่าแก่กว่า 600 ปี

ปราสาทหินสีขาวสูงกว่า 200 ฟุต ใช้เป็นป้อมปราการที่ป้องกันการรุกรานจากข้าศึก (พวกเติร์กแห่งอาณาจักรออตโตมาน) ซึ่งขณะนั้น โรมาเนียแบ่งเป็นแคว้นทรานซิลวาเนีย กับวัลลาเชีย ปราสาทแห่งนี้เป็นที่ประชุมพลและโบสถ์ของเหล่าอัศวินในยุคนั้น และในยุคสมัยถัดมาก็ได้ตกทอดมาเป็นที่พำนักของเจ้าเมืองและราชวงศ์ผู้ครองแคว้น โดยในประวัติมีเจ้าชายผู้กล้าคนหนึ่งชื่อ เจ้าชายวลาด เทเปส (Vlad Tepes) ปฏิบัติการรุกรบต่อต้านการโจมตีของพวกเติร์กอย่างกล้าหาญ จนเป็นที่เลื่องลือในความเก่งกล้า บ้าบิ่น และเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกราน จนเป็นเจ้าของตำนานความโหดเหี้ยมดังกล่าว จนพระองค์ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรวัลลาเชีย

อย่างที่เกริ่นไว้ว่าปราสาทนี้โด่งดังขึ้นมาด้วยเพราะนักเขียนชาวไอริชที่ชื่อบราม สโตเกอร์ (Bram Stoker) อ่านประวัติของเจ้าชายวลาด จึงนำมาแต่งเติมใส่จินตนาการของตนเอง ดัดแปลงใช้ปราสาทบราน (Bran Castle) แห่งนี้เป็นฉากของนวนิยายแดรกคูลา (Dracula) ซึ่งในภาษาโรมาเนียแปลว่า ปิศาจ โดยผูกเรื่องว่าท่านเคานต์ แดรกคูลาเจ้าของปราสาทที่กลางวันนอนในโลงศพ กลางคืนลุกขึ้นมาดูดเลือดเหยื่อ ต่อมาฮอลลีวูดได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ทำรายได้อย่างมหาศาล จนทำให้ชื่อเสียงของท่านเคานต์แดรกคูลา ค้างคาวผีดูดเลือดโด่งดังไปทั่วโลก ผู้คนก็ไปผูกกับประวัติความโหดเหี้ยมกับเจ้าชายวลาด เทเปส ว่าท่านดื่มเลือดจากศัตรูด้วยนั่นเอง

ภายในปราสาทแบ่งเป็นห้องต่างๆ คล้ายกับปราสาทอื่น ไม่ว่าจะเป็นห้องโถง ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องกินข้าว ห้องที่เก็บรักษาและจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ว่า อาวุธ ชุดเกราะ และสมบัติเก่าแก่อันทรงคุณค่ามากมาย มีทั้งส่วนของพิพิธภัณฑ์สมบัติของควีนแมรี (Queen Marie) และพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านโบราณกลางแจ้ง แม้ปราสาทจะไม่ได้สวยงามโดดเด่น แต่การร้อยเรื่องราวที่เสริมแต่งขึ้นมาเช่นนี้ส่งผลให้ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นปราสาทที่นักท่องเที่ยว
มาเยี่ยมชมและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ทำเงินอย่างมหาศาลให้ประเทศโรมาเนีย นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมวิวสวยงามอีกแห่งด้วย

การเดินทาง
จากตัวเมืองบราน (Bran) เราสามารถมองเห็นตัวปราสาทสีขาวที่ตั้ง อยู่บนเนินได้อย่างชัดเจน สามารถเดินขึ้นไปด้านบนปราสาทได้ ระหว่างทางก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกเต็มสองข้างทางไปหมด ค่าเข้าปราสาทอยู่ที่ 30 ลิวโรมาเนีย (RON) ประมาณ 220 บาท

ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle)

เป็นปราสาทในยุคกลางมีอายุมามากกว่า 1,000 ปี ซึ่งเมื่อก่อนที่บริเวณนี้คือภูเขาไฟปะทุขึ้นเมื่อประมาณ 350 ล้านปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเอดินบะระ ทำให้สามารถเห็นเมืองเอดินบะระ ได้เเบบรอบทิศทางเลยทีเดียว ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สวยและเป็นไฮไลต์หนึ่งของการมาเที่ยวสกอตแลนด์

ก่อนหน้านี้เริ่มมาตั้งแต่ยุคกลางสร้างโดยคิงเดวิดที่ 1 ปี ค.ศ. 1124 เป็นที่พำนักของราชวงศ์มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 1633 ปราสาทเอดินบะระถูกยึดครองโดยราชวงศ์อังกฤษและเปลี่ยนเป็นราชวงศ์สกอตหลายครั้ง จนสุดท้ายได้ถูกเปลี่ยนเป็นป้อมปราการและฐานทัพทหารเพื่อป้องกันการบุกโจมตีของพวกไวกิ้ง จนกระทั่งปี 1814 ปราสาทแห่งนี้ได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติไป ในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ปราสาทได้รับการบูรณะเรื่อยมา จนกลายมาเป็นพระราชวัง เป็นปราสาทที่เเข็งเเกร่งมากที่สุดของโลก นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นฐานทัพทางทหารที่สำคัญ

ปราสาทเปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นช่วงวันคริสต์มาส 24-26 ธันวาคมของทุกปี ค่าเข้าอยู่ที่ 19.5 ปอนด์ หน้าประตูทางเข้าปราสาท มีรูปปั้น 2 นักรบ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสกอตแลนด์อยู่ซ้ายและขวา โดยด้านซ้ายคือเซอร์ วิลเลียม วอลเลซ (William Wallace) ผู้ซึ่งปกป้องสกอตแลนด์จากอังกฤษในศตวรรษที่ 13 จากภาพยนตร์เรื่อง Brave Heart ที่เราได้ชมกัน ส่วนขวาคือ Robert the Bruce นักรบที่กู้ปราสาทคืนมาจากอังกฤษในปี 1313 ด้านในแบ่งเป็นส่วนของป้อมปราการ กำแพงปราสาทโบราณ ตรงลานปืนใหญ่ ที่คุณจะเห็น One O’Clock Gun ซึ่งเป็นการยิงปืนใหญ่ทุกวันในเวลา 13.00 น. ตลอด 150 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้สัญญาณบอกเวลาเเก่เรือที่ท่าเรือ Leith ให้ทราบเวลา บริเวณนี้ถือเป็นจุดชมวิวเมืองที่สำคัญด้วย มองไปจะเห็นส่วนของ New Town ได้ทั้งหมด

ภายในปราสาทมีพิพิธภัณฑ์เยอะแยะมากมายให้เราแวะชม เช่น บริเวณ Scottish National War Museum จะบอกเล่าประวัติความเป็นมาของการสู้รบของทหารสกอต ส่วนของพระราชวัง มีอาคารหลัก 2 หลัง คือ Royal Palace ที่เป็นหอนาฬิกา และ Great Hall ห้องโถงใหญ่ ขนาด 29 x 12.5 ตร.ม. ใช้เป็นห้องจัดเลี้ยงในพิธีการสำคัญต่างๆ จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นก็มีห้องที่สำคัญเช่น The Birth Chamber or Mary Room เป็นสถานที่ประสูติของพระเจ้าเจมส์ที่ 6 พระโอรสของพระนางแมรี ราชินีแห่งสกอต ซึ่งพระองค์เป็นผู้ที่สามารถรวมบัลลังก์อังกฤษและสกอตแลนด์เข้าด้วยกัน เเละอ้างสิทธิ์เหนือสองบัลลังก์ทำให้ทั้งอังกฤษเเละสกอตเเลนด์ รวมกันตั้งเเต่ปี ค.ศ.1603 อีกห้องคือ ห้อง Crown Room เพราะเป็น ห้องที่เก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป สิ่งของศักดิ์สิทธิ์ 3 อย่าง ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎ คทา และพระแสงดาบ พร้อมด้วยหินสโคน (Stone of Scone) มีการดูแลป้องกันรักษาเป็นอย่างดี ก่อนจะลงจากปราสาท อย่าลืมแวะซื้อหาของที่ระลึกอย่างเช่น วิสกี้มีหลายขนาดมาก หรือถ้าไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ก็ซื้อขนม Shortbread ของขึ้นชื่อของที่นี่ก็ย่อมได้

การเดินทาง
ปราสาทตั้งอยู่ใจกลางเมืองเอดินบะระ สามารถเดินขึ้นตามทางเดินหิน ขึ้นไปบนเนินได้เลย เพราะปราสาทเเห่งนี้จะไม่มีรถประจำทางหรือรถรางที่พาขึ้นมา แต่ถ้ามีรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถนำขึ้นไปจอดที่ลานจอดรถที่จัดไว้ให้ได้

ปราสาทเฟรเดอริกส์บอร์ก (Frederiksborg Castle)

หรือ พระราชวังเฟรเดอริกส์บอร์ก (Frederiksborg Palace) ปราสาทสวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์ (Renaissance) ประเทศเดนมาร์กแห่งนี้ ตั้งอยู่เมืองฮิลเลอรอด (Hillerød) ซึ่งห่างจากกรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen) ประมาณ 40 กิโลเมตร สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1560 โดยพระเจ้าเฟรเดอริก ที่ 2 ซึ่งใช้เป็นที่พักสำหรับล่าสัตว์ของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 ต่อมาได้รับการต่อเติมเป็นที่ประทับของราชวงศ์ในช่วงสมัยของพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ในราวศตวรรษที่ 17 และใช้เป็นที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา และพิธีสำคัญอื่นๆ ของพระมหากษัตริย์อย่างเช่น พิธีปราบดาภิเษก และยังเป็นสถานที่เก็บของสะสม ตลอดจนผลงานศิลปะของเชื้อพระวงศ์อีกด้วย

ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมบางห้องประมาณ 70 ห้อง อาคารสี่เหลี่ยมครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเกาะทางตอนเหนือ สร้างขึ้นจากอิฐสีแดง มีหน้าจั่วเก้ายอดแหลมสูงตระหง่าน ภายในตกแต่งหรูหราวิจิตรตระการตา เน้นสีทองตามแบบเรอเนซองส์ แต่ละห้องตกแต่งด้วยสีที่ต่างกันทำให้ความสวยงามต่างกันไป น้ำพุเนปจูนถือเป็นผลงานประติมากรรมชิ้นเอกของปราสาท มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1620-1622 ตั้งอยู่บริเวณลานหน้าของปราสาท ส่วนวิหารในปราสาท (Castle Chapel) ก็ตกแต่งด้วยเงินและทอง สวยงาม อลังการ ทอดตัวไปตามความยาวทั้งหมดของปีกตะวันตก เพดานปูนปั้นหกเหลี่ยมตกแต่งอย่างหรูหรา

จุดเด่น วิหารนี้คือ ออร์แกนโบราณ (Compenius Organ) แม้จะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1610 แต่ปัจจุบันยังสามารถใช้การได้ ห้องโถงใหญ่ (The Great Hall-Riddersalen) ตั้งอยู่เหนือโบสถ์และขยายไปตามความยาวของปีกตะวันตก มันถูกทำลายด้วยไฟในปี 1859 แต่เกือบจะได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ภาพวาดที่เห็นเป็นผลงานของ Heinrich Hansen and F.C. Lund โคมระย้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องเป็นผลงานของ Meldahl’s pupil ตัวพรมเป็นแบบดั้งเดิมที่แสดงถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของ Christian IV บริเวณโดยรอบพระราชวัง ในปี ค.ศ. 1996 ได้มีการจัดแต่งมีการตกแต่งสวนอันเขียวชอุ่มให้เป็นรูปแบบของบารอกและ English Landscape Park สวนแล้วก็ทะเลสาบล้อมปราสาทอีกรอบ

การเดินทาง
สามารถนั่งรถไฟจาก โคเปนเฮเกน ไปยังสถานี Hilleord จากนั้นต่อรถบัส หรือรถแท็กซี่ไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ไปลงที่พระราชวัง เฟรเดอริกส์บอร์ก สำหรับรถบัสจะพาไปถึงทางเข้าปราสาทเลย ค่าเข้า ปราสาท บัตรนักเรียน นักศึกษา (บัตรจากไทยได้) ราคา 75 Kr

ปราสาทฮลูโบก้า (Hluboka Castle)

หนึ่งในปราสาทที่สวยงามของสาธารณรัฐเช็ก เป็นปราสาทที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยนิยม แต่คนยุโรปนิยมไปมาก สร้างในศตวรรษที่ 13 โดยกษัตริย์เวนเซสลาสที่ 1 (Wenceslas I) เดิมเป็นศิลปะแบบกอทิก (Gothic) ต่อมาในทศวรรษ ที่ 16 ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยศิลปะแบบเรอเนซองส์ (Renaissance) และในทศวรรษที่ 18 ตระกูล Johann Adolf II of Schwarzenberg และภรรยาเจ้าหญิง Eleonora ได้เข้ามาพำนัก ก็เลยได้มีการเปลี่ยนแปลงปราสาทให้มีความโรแมนติกมากขึ้น โดยการซ่อมสร้างต่อเติม ปรับปรุงปราสาทให้มีสไตล์คล้ายกับปราสาท Windsor ในประเทศอังกฤษและตกแต่งด้วยศิลปะแบบ Baroque แล้วในช่วงปี 1839-1871 ก็ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมแบบ English Neo-Gothic หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ปราสาทก็ถูกยึดเป็นของรัฐบาลและเปิดให้ประชาชนเข้าไปชมได้

การเข้าชมภายในปราสาทจะเข้าไปได้ทีละกลุ่ม แล้วก็จะมีไกด์บรรยายไปเรื่อยๆ ที่นี่มีห้องเป็นร้อยห้องทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นห้องมาตรฐานอย่างพวกห้องนอน ห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยง นอกนั้นก็มีห้องหนังสือ ห้องจัดแสดงอาวุธ สวนกระจกฤดูหนาว ห้องโถงขี่ม้า สวน โบสถ์แบบอังกฤษ ในช่วงฤดูร้อนที่ห้องโถงของปราสาท

การเดินทาง
จากปรากมายังจัตุรัสที่ีมีรถโดยสารไปปราสาท ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง และจากจัตุรัสใน Hluboká nad Vltavou ทุก 30 – 60 นาที การเดินทางใช้เวลา 20 นาที ค่าเข้าชมอยู่ที่ 170-250 คราวน์ ขึ้นกับว่าคุณอยากจะชมส่วนไหนบ้าง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0