เอไอเอส นำคนรุ่นใหม่เรียนรู้ศาสตร์พระราชา ความพอเพียง-เกษตรแบบผสมผสาน ณ บ้านศาลาดิน นครปฐม
นครปฐม 1 ธันวาคม 2563 – ด้วยความตั้งใจที่จะร่วมสืบสานและถ่ายทอดหลักเศรษฐกิจพอเพียงอันทรงคุณค่าของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สู่คนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการการพัฒนาประเทศในอนาคต
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส จึงจัดโครงการ “เอไอเอส ตามรอยพระราชา ถอดรหัสนวัตกรรม ณ บ้านศาลาดิน” นำนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจำนวน 25 คนจากทั่วประเทศมาเรียนรู้ศาสตร์พระราชา การทำเกษตรแบบผสมผสานตามแนวทฤษฎีใหม่ และความพอเพียง ที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านศาลาดิน อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการเอไอเอส ตามรอยพระราชา ถอดรหัสนวัตกรรม ณ บ้านศาลาดิน จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้จากกิจกรรมนอกห้องเรียน พร้อมทั้งร่วมสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา
โดยกิจกรรมจะผสมผสานประสบกาณ์ที่สนุกสนาน พร้อมสอดแทรกการเรียนรู้มิติใหม่ ที่เน้นเรื่องการถอดรหัสพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อให้นักศึกษาได้เข้าใจ และนำหลักคิดดีๆ ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงาน เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองและสังคมต่อไป”
กิจกรรมครั้งนี้ได้นำเหล่านักศึกษามาเยือนบ้านศาลาดิน ซึ่งเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นหลังจากเริ่มมีการขุดคลองมหาสวัสดิ์ ในปี พ.ศ. 2403 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชประสงค์ให้ทางการสร้างศาลาเพื่อสาธารณประโยชน์ริมคลองขุดมหาสวัสดิ์ทุกระยะทาง 4 กิโลเมตร เป็นจำนวนทั้งหมด 7 ศาลา ศาลาหลังสุดท้ายตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลมหาสวัสดิ์ เรียกกันว่าศาลาดิน จึงเป็นที่มาของชื่อ “บ้านศาลาดิน”
เดิมทีชาวบ้านมีอาชีพทำนาเพียงอย่างเดียวปีละครั้ง เป็นเหตุให้มีฐานะยากจน ต้องขายที่ดินทำกินของตัวเอง เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงทราบถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้พระราชทานที่ดินส่วนพระองค์จำนวน 1,009 ไร่ในปี พ.ศ. 2518 โดยมีสำนักงานปฏิรูปที่ดินเป็นผู้ดูแล และจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรแปลงละ 20 ไร่ ให้เกษตรกรเข้าทำกินได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520
พร้อมกับพระราชทานแนวทางการทำเกษตรแบบผสมผสาน ส่งผลให้คนในชุมชนบ้านศาลาดินมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ปัจจุบันบ้านศาลาดินกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติด้านการจัดการน้ำในชุมชนตามแนวพระราชดำริ
ผู้เข้าร่วมโครงการได้เข้าเยี่ยมชมนาบัวลุงแจ่ม พื้นที่ปลูกบัวสัตตบงกชที่มีทิวทัศน์สวยงามและมีศาลากลางน้ำให้ความร่มรื่น
พร้อมทั้งเรียนรู้แนวพระราชดำริการทำเกษตรแบบผสมผสานจากป้าติ๋ว ปราชญ์ชาวบ้านเจ้าของนาบัวลุงแจ่ม และนายวันชัย สวัสดิ์แดง ประธานกลุ่มวิสาหกิจกลุ่มผู้ใช้น้ำบ้านศาลาดิน
ทั้งยังได้ลองพายเรือเก็บบัว หัดพับดอกบัวถวายพระ และร่วมกันสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา
นอกจากนี้ยังได้รับประทานอาหารว่าง
รวมถึงน้ำเกสรดอกบัวที่ให้ความสดชื่นและหาทานได้ไม่ง่ายนัก
จากนั้นเหล่านักศึกษาได้เรียนรู้วิถีชีวิตแบบชาวสวนชาวไร่และการเกษตรผสมผสานที่สวนป้าแจ๋ว
ด้วยการนั่งรถอีแต๋นชมสวนผลไม้และวิวทุ่งนาแบบ 360 องศา
และยังได้ชิมผลไม้สดจากสวนที่มีให้ทานอย่างหลากหลายตลอดทั้งปี
พร้อมเรียนรู้ศาสตร์พระราชาเรื่องความพอเพียง จากการลงมือทำขนมไทยพื้นบ้านคือ ข้าวตู ที่ทำจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานและได้รับความสนใจจากเหล่านักศึกษาเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมโครงการยังได้ฟังแรงบันดาลใจของ ด.ญ. พริมา ธัญญอนันต์ผล เยาวชนผู้ออกแบบภาพปกหนังสือเดินทางตามรอยพระราชา ที่จัดทำโดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) โดยคัดสรร 9 เส้นทาง 81 แหล่งเรียนรู้ตามรอยพระราชา
เพื่อช่วยในการลงพื้นที่ทำกิจกรรมเรียนรู้ศาสตร์พระราชา พร้อมสร้างความเข้าใจและเข้าถึงคุณธรรม 4.0 คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา และเพื่อให้เกิดความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพัฒนา ‘ศาสตร์พระราชา’ ให้ชาวบ้านนำมาปฏิบัติจนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
กิจกรรมในโครงการ “เอไอเอส ตามรอยพระราชา ถอดรหัสนวัตกรรม ณ บ้านศาลาดิน” ยังรวมถึงการบรรยายให้ความรู้เรื่องเคล็ดลับในการตัดต่อวิดีโอให้น่าสนใจ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นมากขึ้นในการเรียนและการทำงานของคนรุ่นใหม่
โดย นายณภัทร ตั้งสง่า ผู้กำกับภาพยนตร์สั้นระดับเอเชีย และกิจกรรมเวิร์กช็อปถอดบทเรียนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงผ่านบอร์ดเกม
โดย อาจารย์อดุลย์ ดาราธรรม วิทยากรจิตอาสา นักเรียนเก่า AFS และกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบกาณ์ที่ได้รับจากโครงการครั้งนี้
โดย ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด
งานนี้เยาวชนได้ทั้งความรู้และประสบการณ์แปลกใหม่ พร้อมทั้งความประทับใจและแนวคิดที่มีประโยชน์ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างแน่นอน