Norway – The Midnight Sun นอร์เวย์ ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน
จากกรุงเทพเมืองฟ้าอมร ใช้เวลาประมาณ 11-12 ชั่วโมงกรณีคุณเลือกเที่ยวบินแบบบินตรง มุ่งสู่ท่าอากาศยานออสโล การ์เดอร์มอน (Oslo Gardermoen Airport) ตั้งอยู่ที่การ์เดอร์มอน ในเขตยูลเลนแซเกอร์ ประเทศนอร์เวย์ สนามบินนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น The World’s Greenest Aiport หรือ สนามบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดด้วย หลังผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองก็มุ่งตรงเข้าเมืองหลวง กรุงออสโลทันที ครั้งนี้เราจะเที่ยวเมืองธรรมชาติที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงออสโลกัน

ออสโล (Oslo)
สำหรับกรุงออสโลที่อยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 48 กิโลเมตร จะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกแต่ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองสีเขียว การันตีด้วยรางวัล European Green Capital ในปี 2019 ด้วยเหตุที่พื้นที่สวนสาธารณะและป่าในเมือง มากกว่าครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง และยังรณรงค์ให้ผู้คนในเมืองเดินทางด้วยรถสาธารณะซึ่งมีระบบการเชื่อมต่อดีเยี่ยม ในแต่ละปีมีอากาศหนาวเย็น 6 เดือน อุณหภูมิ 0 -ติดลบ 40 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนเพียง 3 เดือน อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส

สถานที่แรกที่จะแวะไปคือ สวนประติมากรรมวิกเกอร์แลนด์ (Vigeland Sculpture Park) ภายในอุทยานฟรอกเนอร์ (Frogner Sculpture Park) สวนประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (The world’s largest sculpture park) มีขนาด 45 เฮคเตอร์ หรือประมาณ 281 ไร่ สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1924 – 1943 ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนชื่นชอบงานศิลป์ โดยเฉพาะงานด้านประติมากรรม

โดยในสวนแห่งนี้ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน ได้แก่ โซนสวน โซนสะพาน และ โซนรูปปั้นที่มีประติมากรรม การแกะสลักรูปเหมือนจากหินแกรนิต และการหล่อรูปคนด้วยสำริดและทองแดง ผลงานทั้งหมดเป็นของกุสตาฟ วิคเกอร์แลนด์ (Gustav Vigeland) ปฏิมากรชื่อดัง ซึ่งที่นี่มีปฎิมากรรมมากกว่า 200 ชิ้นให้ได้ชม และผลงานชิ้นเอกที่อยู่ตรงบริเวณ สวนประติมากรรมวิกเกอร์แลนด์ก็คงหนีไม่พ้น Monolitten เป็นเสากลางอุทยานซึ่งมีควมสูงถึง17 เมตรรอบเสาแกะสลักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฎจักรชีวิตมนุษย์ ลักษณะของเสาโมโนลิท เป็นรูปคนจำนวนมากมายปีนป่ายกันอยู่บนเสาใช้เวลาสร้างรวม22ปีจากหินแกรนิตเพียงแท่งเดียว และยังมีรูปหล่อสำริด ชื่อ Angry Littleboy อันโด่งดัง

แต่ถ้าคนที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง แนะนำให้ไปเดินที่ บริเวณถนนคนเดินคาร์ลโจฮันเทล (Karl Johangen Gate) ถนนสายนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่พระเจ้าคาร์ลที่ 14 โยฮัน (Karl XIV Johan) แห่งนอร์เวย์ ซึ่งทรงมีบทบาทสำคัญในการรวมชาติและพัฒนาประเทศ ถนนสายนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถนนสายนี้ทอดยาวจากสถานีรถไฟกลาง (Oslo Central Station) ไปจนถึงพระราชวังออสโล (Royal Palace) เป็นถนนสายช้อปปิ้งที่มีชีวิตชีวา และ มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของออสโล มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่แวะเวียนมาทานอาหาร และเลือกซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์ไว้ใช้เอง หรือจะซื้อเป็นของฝากให้คนอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน

ตลอดสองข้างทางเรียงรายไปด้วยอาคารสไตล์นีโอคลาสสิกและอาร์ตนูโว ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นร้านค้า มีทั้งแบรนด์ดังระดับโลกและร้านค้าท้องถิ่นให้เลือกช้อปปิ้ง ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง เครื่องครัว และของที่ระลึก รวมไปถึงร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่เก๋ๆ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังหลวง สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ สินค้ายอดฮิตของที่เที่ยวนอร์เวย์ที่คนซื้อฝากกันจะเป็นเทียนหอม, น้ำมันปลา, ขนสัตว์, พวงกุญแจ และสิ่งของหลากหลายอีกมากมาย ราคาสินค้าค่อนข้างสูงตามแบบฉบับย่านท่องเที่ยว แต่ถ้าอยากได้ราคาที่ย่อมเยาให้ช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ และเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เพราะจะมีเทศกาลลดกระหน่ำ 50%-70% เลยทีเดียว

สุดปลายถนนคาร์ล โยฮันส์ เกต ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมืองออสโล คือพระราชวังหลวงออสโล (Royal Palace Oslo – Konggelige Slott) ตั้งอยู่บนเนินเบลล์วิว เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและสวยงามสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 สไตล์นีโอคลาสสิกที่สวยงาม เพื่อเป็นที่ประทับของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 14 โยฮัน แห่งนอร์เวย์ ผู้ซึ่งเกิดในฝรั่งเศสพระองค์ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์และสวีเดน ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการและปฏิบัติงานประจำวันของพระมหากษัตริย์นอร์เวย์พระองค์ปัจจุบัน
พระราชวังที่รายล้อมไปด้วยสวนที่มีสระน้ำรูปปั้นและสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ด้านหน้าของพระราชวังมีอนุสาวรีย์รูปปั้นของกษัตริย์คาร์ลโจฮานนอร์เวย์ชาวสวีเดน รูปปั้นนี้สร้างโดยประติมากรชาวนอร์เวย์ Brynjulf Bergslien พระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าชมในช่วงฤดูร้อน (ปลายเดือนมิถุนายน ถึง กลางเดือนสิงหาคม) ค่าเข้าชมสำหรับเด็กอยู่ที่ 100 โครนนอร์เวย์ ผู้ใหญ่ 135 โครนนอร์เวย์ ภายนอกวังจะมีทหารองครักษ์ที่คอยยืนเฝ้า และ ตรวจตราตลอดทั้งวัน แต่จะมีพิธีเปลี่ยนเวรกันในเวลา 13.30 นาฬิกาของทุกวันนั่นเอง สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากเข้าชมภายในวัง สามารถเลือกเข้าชมได้ทั้งแบบไกด์นำเที่ยว หรือ แบบเข้าชมเองอิสระ ซึ่งห้องที่เปิดให้เข้าชม ได้แก่ ห้องทรงงาน, ห้องประทับรับรองอาคันตุกะ, ห้องรับประทานอาหาร และอีกมากมาย เราสามารถมองเห็นพระราชวังได้จากถนนคนเดินคาร์ลโจฮันเทล

เอาใจคนที่ชอบความบันเทิงยามราตรี ผับบาร์บ้าง ต้องตรงไปย่านนี้เลย ท่าเรือเอเคอร์บรูค (Aker Brygge) ย่านนี้เคยเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ ปัจจุบันมีการปรับปรุงให้ฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งกลายเป็นแหล่งรวมความบันเทิงยอดนิยมที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นผับบาร์ ร้านอาหารเก๋ๆ คาเฟ่ชิลๆ นงโรงหนัง โรงละคร ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวไฮโซออสโล มีบ้านเรือนหรูมากมาย เหมาะสำหรับการพักผ่อนเพลิดเพลินกับมื้อค่ำในบรรยากาศ สุดโรแมนติกของแสงไฟและเสียงดนตรีที่เปิดคลอให้คุณได้ดื่มด่ำค่ำคืนสุดพิเศษกันที่ริมแม่น้ำแห่งนี้ หรือเดินเล่นไปชมนักดนตรีข้างถนนร้องเพลงไปก็ย่อมได้ ทำให้ย่านนี้ของออสโลจึงไม่เคยเงียบเหงา และยังดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่า 12 ล้านคนต่อปีเลย

ที่นี่เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มีระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบคอยอำนวยความสะดวก ทั้งรถไฟ รถราง รถโดยสารประจำทาง เรือ และยังมีที่ลานกว้างไว้เป็นที่สำหรับจอดรถ

ป้อมปราการอาเคร์สฮูส หรือ ปราสาทอาเคร์สฮูส (Akershus Castle) ต้นแบบของปราสาทของเอลซ่า และ แอนนา ในการ์ตูนเรื่อง Frozen ของดิสนีย์ (Disney) แห่งนี้เป็นปราสาทยุคกลางล้อมรอบด้วยหอป้อมปราการ เริ่มก่อสร้างปลายปี ค.ศ.1290 โดยการสนับสนุนจากขุนนางนอร์เวย์ เอิร์ล แอลฟ์ เอลลิงสัน แห่งแซพบวร์ก สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตี และการรุกรานของข้าศึก ซึ่งถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก เพราะตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษ กรุงออสโล เมืองหลวงนอร์เวย์ ไม่เคยถูกข้าศึกรุกรานได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังปฏิบัติการทางทหารยุติลงในปี 1815 และเริ่มดำเนินการต่อในช่วงปี 1820-1850 ก่อนที่จะยกเลิกปฏิบัติการในช่วงปี 1850-1900

ป้อมปราการถูกเปลี่ยนเป็นสำนักงานใหญ่ของทหาร โรงเรียนของข้าราชการ บางส่วนของอาคารยังถูกใช้เป็นคุกและเรือนจำหลังจากปี 1820 นอกจากประวัติศาสตร์ที่น่าประทับใจของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้แล้ว สถาปัตยกรรมสไตล์เรเนซองส์ของปราสาทที่ตั้งอยู่ภายในป้อมปราการก็งดงามเป็นอย่างมาก ปัจจุบันปราสาทอาเคร์สฮูสถูกใช้เป็นที่รับรองแขกวีไอพีของรัฐบาล

ออสโลโอเปร่าเฮาส์ (Oslo Opera House) เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตโอเปร่า การแสดงบัลเลต์ และ ละครเวทีของประเทศนอร์เวย์มากมาย โรงละครแห่งนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์สำคัญของเมืองออสโลเลยทีเดียว ด้วยความเด่นสะดุดตาของอาคารรูปทรงเลขาคณิตที่พื้นผิวนอกของอาคารตกแต่งด้วยหินอ่อนและหินแกรนิตขาว ออกแบบให้ดูเหมือนภูเขาน้ำแข็งยักษ์โผล่ขึ้นมาจากน้ำ โดยมีทางเดินที่ทำเป็นสะพานลาดเอียงสีขาวรอบอาคาร เริ่มก่อสร้างในปี 2003 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2007 ที่นี่ได้รับรางวัล World Architecture Festival Cultural Award 2008 และ Mies van der Rohe award 2009 อีกด้วย

ในช่วงฤดูหนาวที่ทะเลสาบจะกลายเป็นลานน้ำแข็ง ชาวออสโล และนักท่องเที่ยวจะมาเล่นสเกตน้ำแข็งกันที่นี้ สร้างเป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามไม่น้อยเลยทีเดียว ภายในประดับตกแต่งด้วยไม้โอ๊ค สไตล์สแกนดิเนเวียร์ สร้างงบรรยากาศที่อบอุ่น ตัดกับสีโทนเย็นของอาคารภายนอกได้อย่างลงตัวโรงละครหลักมีที่นั่ง 1,364 ที่ และยังมีห้องจัดแสดงต่างๆ ถึง 1,100 ห้อง
เบอร์เกน (Bergen)
เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากออสโล เป็นเมืองท่าที่มีเสน่ห์ริมชายฝั่งของฟยอร์ด อยู่ห่างจากออสโลขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 464 กิโลเมตร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 9 เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ล้อมรอบไปด้วยขุนเขาอันยิ่งใหญ่ของ Seven Mountains (De syv fjell) และธรรมชาติที่งดงาม บวกกับบรรยากาศที่อบอุ่นจากอาคารบ้านเรือนไม้สีสันสดใส ทำให้เมืองนี้คือหนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมของนอร์เวย์

ท่าเรือเบอร์เกน (Port of Bergen) อยู่ห่างจากสถานีรถไฟเบอร์เกน (Bergen Station) 900 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 13 นาที เป็นหนึ่งในท่าเรือใหญ่เป็นอันดับสองของนอร์เวย์ ตั้งอยู่ในเมืองเบอร์เกน ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในฐานะประตูสู่ฟยอร์ดที่งดงามและธรรมชาติอันหลากหลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารแล้ว ท่าเรือแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงจากย่านบริกเกน (Bryggen) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก และตลาดปลาเบอร์เกน

ท่าเรือเบอร์เกนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเมืองเบอร์เกนมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง โดยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของสมาคมพ่อค้าในยุโรปเหนือในอดีต ปัจจุบันท่าเรือเบอร์เกนเป็นจุดเชื่อมต่อของเรือเฟอร์รี่หลายสาย ทั้งเรือเฟอร์รี่ที่แล่นไปยังเมืองต่างๆ ในนอร์เวย์ รวมถึงเรือเฟอร์รี่ที่แล่นไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เดนมาร์ก และอังกฤษด้วย และแน่นอนว่าด้วยทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบาย ท่าเรือแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเที่ยวฟยอร์ดที่มีชื่อเสียงของนอร์เวย์อย่าง Næroyfjord และ Hardangerfjord

ย่านบริกเกน (Bryggen) เป็นย่านประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือของเมืองเบอร์เกน ประเทศนอร์เวย์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปีค.ศ. 1979 ไฮไลท์ของบริกเกนคือ ภาพของอาคารไม้สีสันสดใสเรียงรายกันเป็นแถวยาวริมท่าเรือ มีทั้งโรงแรม ร้านค้า และร้านอาหารให้เลือกมากมาย
เดิมที่นี่เคยเป็นศูนย์การค้าที่สำคัญของสันนิบาตฮันเซอาติก (Hanseatic League)หรือสมาคมพ่อค้าจากเมืองต่างๆ ในยุโรปเหนือ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึงกลางศตวรรษที่ 16 พ่อค้าเหล่านี้ก็ได้สร้างบ้านเรือนและโกดังสินค้าริมท่าเรือเบอร์เกน ทำให้เกิดเป็นย่านการค้าที่คึกคักและร่ำรวย อย่างไรก็ตาม เมืองเบอร์เกนและย่านบริกเกนได้เผชิญกับไฟไหม้ครั้งใหญ่หลายครั้ง ทำให้อาคารไม้ส่วนใหญ่ถูกทำลายไป แต่ชาวเมืองก็ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบเดิม ทำให้บริกเกนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชีวิตชีวา อย่างเช่นปัจจุบัน

ภูเขาเฟลเยน (Mt. Floyen) เป็นภูเขาหนึ่งในเจ็ดลูกที่ล้อมรอบเมืองเบอร์เกน อยู่ห่างจากสถานีรถไฟเบอร์เกน (Bergen Station) 6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีไปยังจุดขึ้นรถรางไฟฟ้า Floibanen เพื่อขึ้นไปยังยอดเขา โดยรถรางมีให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 07.30 – 24.00 น.วันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 24.00 น. ตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 320 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จากยอดเขาเฟลเยน นักท่องเที่ยวจะได้ชมวิวเมืองเบอร์เกนแบบ 360 องศา เห็นอาคารบ้านเรือนสีสันสดใส ท่าเรือ และธรรมชาติที่สวยงามของฟยอร์ด ทำให้กลายเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนอกจากจุดชุมวิวแล้ว บนยอดเขายังมีพื้นที่เล่นสำหรับเด็ก และเส้นทางเดินเล่นที่เหมาะสำหรับครอบครัว รวมถึงมีร้านอาหารและคาเฟ่ที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มอยู่ด้วย
ฟลอม (Flam)

จากเบอร์เกน หากขับรถยนต์จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที กับระยะทาง 168 กิโลเมตร ก็จะเดินทางมาถึงยังหมู่บ้านเล็กๆอย่างฟลอม (Flam) หรือ ถ้าจากเมืองหลวงออสโล (Oslo) ให้นั่งรถไฟสาย F4 ที่สถานีกลางออสโล (Oslo Central Station) ไปลงที่สถานีรถไฟเมียร์ดาล (Myrdal Station) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง แล้วเดินทางต่อด้วยรถไฟฟลอมส์บานา (Flamsbana / Flam Railway) ไปยังหมู่บ้านฟลอม (Flam) ซึ่งรถไฟสายฟลอมส์บานา มีให้บริการจากสถานีเมียร์ดาลไปยังหมู่บ้านฟลอม (Flam) ระหว่างเวลา 9.25 – 19.53 น.
ฟลอม เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาบริเวณส่วนในสุดของ “Sognefjord” ฟยอร์ดที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก ความยาวกว่า 204 กม. จาก North Sea ลึกเข้ามาจนถึงแผ่นดิน เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง จนเว้าแหว่งมีลักษณะแคบและยาว เว้าลึกเข้าไปในฝั่งระหว่างหน้าผาสูงชันตามเชิงเขา

ฟลอมมีความหมายว่า Little Place Between Steep Mountain ตรงตามทัศนียภาพและความสวยงามของธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาสูงชันและฟยอร์ดอันกว้างใหญ่ หนึ่งในกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวฟลอมคือ การนั่งรถไฟ Flamsbana หรือ Flam Railway ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลก ที่จะพานักท่องเที่ยวเดินทางผ่านภูมิประเทศที่งดงาม กับวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในฤดูหนาว บ้านเรือหลังเล็กสีสันสะดุดตา งดงามราวกับเมืองในเทพนิยาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาที่นี่
รถไฟสายฟลอมส์บานา (Flåmsbana The Flam Railway) สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้เวลาก่อสร้างนาน 20 ปี นับเป็นการก่อสร้างที่ท้าทายความสามารถของวิศวกรในยุคนั้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการสร้างทางรถไฟจากที่ราบสูงเมียร์ดาล (Myrdal Plateau) เลาะเลี้ยวไปตามไหล่เขาที่สูงชันและลดหลั่นลงสู่ส่วนลึกของหุบเขาฟลอม ปัจจุบันเส้นทางนี้พานักท่องเที่ยวเดินทางสู่เมืองฟลอมแสนน่ารัก โดยมีการออกแบบรถไฟให้มีหน้าต่างเปิดกว้างให้เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่ราบสูง และน้ำตกที่ไหลจากโตรกผา รถไฟมีให้บริการทุกวัน จากสถานีฟลอม ตั้งแต่เวลา 8.25 น. – 18.45 น. จากสถานีเมียร์ดาล มีตั้งแต่เวลา 9.25 – 19.53 น. ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดในโลก

นาเรยฟยอร์ด (Naeroyfjord) เป็นหนึ่งในฟยอร์ดที่แคบที่สุดและสวยงามที่สุดในโลก และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) นาเรยฟยอร์ดมีความยาวประมาณ 18 กิโลเมตรและมีความลึกถึง 500 เมตร ทัวร์ล่องเรือชมนาเรยฟยอร์ด (Fjord Cruise Naeroyfjord) มีให้บริการทุกวัน เวลา 9.30 -11.30 น. และ 14.45 – 16.45 น.ที่หมู่บ้านฟลอม ซึ่งการล่องเรือชมฟยอร์ด 2 ชั่วโมงจะทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความเงียบสงบและความงดงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่ จากท่าเรือที่หมู่บ้านฟลอม (Flam) ผ่านทิวทัศน์อันน่าทึ่งของภูเขาสูงชันที่ตั้งตระหง่านสองข้างทาง สายน้ำที่ใสสะอาด ม่านน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาหลายแห่ง และไปสิ้นสุดที่หมู่บ้านชาวประมงริมฟยอร์ดอย่างหมู่บ้านกู้ดวาเกน (Gudvangen) โดยในแต่ละฤดูกาลธรรมชาติก็ได้ทิ้งร่องรอยอันสวยงามไว้บนภูมิประเทศของฟยอร์ดให้เราได้ชมไม่ซ้ำกัน
โอเลซุนด์ (Alesund)

ถ้าขับรถยนต์ก็ประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที จากฟลอมมาทางเหนือ337 กิโลเมตร และถ้านั่งเครื่องจากท่าอากาศยานออสโล การ์เดอร์มอน (OSL-Gardermoen) ไปท่าอากาศยานโอเลซุนด์ (Alesund Airport) ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะเจอกับเมืองโอเลซุนด์ (Alesund) ตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันตก มีความงดงามทั้งด้านสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ มีชื่อเสียงในเรื่องของสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว ที่ได้รับการบูรณะหลังเหตุเพลิงไหม้ในปี 1904 ที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสำรวจฟยอร์ดที่สวยงามที่สุดในโลกอย่าง ไกแรงเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) และ ฮยอร์รุนด์ฟยอร์ด (Hjørundfjord)ดังนั้นท่าเรือสำราญโอเลซุนด์ (Alesund Cruise Port) จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยเรือสำราญ

ไกแรงเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) ถือเป็นหนึ่งในฟฟยอร์ดที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศนอร์เวย์ ตั้งอยู่ที่เมืองสตรานดา (Strand) ในเขตซุนโมเร่อ (Sunnmøre) เทศมณฑลเมอเร อ็อก ร็อมสดาล (Møre og Romsdal) ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร มีความลึกถึง 260 เมตร กับภูมิประเทศที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ด้วยหน้าผาสูงชัน น้ำตกที่ตกลงมาจากหน้าผา และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมฟยอร์ด
กิจกรรมที่นิยมกันคือการล่องเรือไปตามฟยอร์ด เริ่มต้นจาก Geiranger ไปจนถึง Hellesylt เพื่อชมธรรมชาติที่สวยงามตระการตาของไกแรงเกอร์ฟยอร์ด โดยส่วนในสุดของฟยอร์ดเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆ นาม Geiranger นอกจากความสมบูรณ์ของฟยอร์ดแห่งนี้ สิ่งที่โดดเด่นก็คือน้ำตก 2 สาย คือ Seven Sisters น้ำตกขนาดใหญ่ที่กล่าวกันว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และ Suitor นักท่องเที่ยวส่วนมากมักจะเดินเขาขึ้นไปด้านบนเพื่อชมความงามของฟยอร์ดในมุมกว้าง ที่เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ
ทัวร์ล่องเรือชมฟยอร์ดไกแรงเกอร์ (Fjord Cruise Geirangerfjord) มีให้บริการทุกวัน เวลา 09.30, 13.00 และ 16.00 น. ช่วงฤดูท่องเที่ยว (กลางเดือนมิถุนายน-กลางเดือนกันยายน) มีรอบเวลา 08.30, 10.00, 11.40, 13.20, 15.00, 16.30 และ 18.00 น.
นอร์เวย์ยิ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายหลากหลาย ตั้งแต่ธรรมชาติอันงดงามอย่าง เกาะโลโฟเทน (Lofoten Islands) หรือสถานที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หากมีโอกาสควรมาเยียนสักครั้ง
เตรียมตัวก่อนเที่ยวนอร์เวย์
– ประเทศนอร์เวย์ หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรนอร์เวย์ เวลาช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง
– ภาษาทางการของประเทศนอร์เวย์คือภาษานอร์เวย์ และปัจจุบันคนส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ไม่มีปัญหาในการสื่อสาร
– สกุลเงิน เรียกว่า โครนนอร์เวย์ (NOK) โดย 1 NOK มีค่าประมาณ 3-5 บาท (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาท ณ เวลานั้นๆ)
– การเดินทาง ต้องยื่นขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen) และ สำหรับการเดินทางภายในนอร์เวย์ สามารถใช้บัตร Eurail Pass ขึ้นรถไฟได้หลายเที่ยว และเลือกจำนวนวันที่ต้องการใช้บัตรได้ตั้งแต่ 3, 4, 5, 6 หรือ 8 วัน




