2 Days in Hiroshima

ฮิโรชิมะ (Hiroshima) แปลว่า เกาะกว้าง ในภาษาญี่ปุ่นสำหรับเมืองฮิโรชิมะนั้นเป็นเมืองเอกของจังหวัดฮิโรชิมะ และยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชูโงกุทางตะวันตกของเกาะฮนชู และถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ ด้วยเพราะมีแม่น้ำไหลผ่านถึง 6 สายด้วยกัน ในอดีตถูกปกครองด้วยตระกูลซามูไรอย่างตระกูล โมริ เทรุโมโตะ ผู้สร้างปราสาทฮิโรชิมะ หรือปราสาทปลาคาร์ป และในเวลาต่อมาก็มีตระกูลฟุคุชิมะ และตระกูลอาซาโนะ ดูแลต่อกันมา

การเดินทางมาฮิโรชิมะสามารถเดินทางมาจากเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างโอซาก้า (Osaka) ได้อย่างง่ายดาย ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น ด้วยรถไฟทั้งแบบ Nozomi, Hikari, Kodama และรถไฟที่วิ่งให้บริการเฉพาะอย่างเส้น Sakura และ Mizuho จึงสามารถนั่งรถไปเที่ยว 1 วันแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือจะพักค้างคืนก็ย่อมได้ ส่วนการเดินทางภายในเมืองฮิโรชิมะ สามารถใช้ตั๋ว Visit Hiroshima Tourist Pass 2 Day SMALL Area Tourist Pass ได้ ราคาอยู่ที่ 1,500 เยนประมาณ 450 บาทแต่ก็สามารถใช้เดินทางด้วยระบบรถสาธารณะทั้งรถบัส รถราง รวมไปถึงเรือเฟอร์รี่ที่จะพาไปยังเกาะมิยาจิมะได้ ไม่หมดแค่นี้ยังมีส่วนลดในการเข้าชม หรือส่วนลดร้านอาหารอีกด้วย

เที่ยวชมเมือง
เมื่อพูดถึงฮิโรชิมะ หลายคนย่อมคิดถึงชื่อและภาพเมืองที่ครั้งหนึ่ง ในสมัยสงครามโลกครั้ง 2 เคยโดนระเบิดปรมาณูที่สร้างความสูญเสียอันใหญ่หลวง ย้อนไปเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ระเบิดปรมาณูลูกแรกในประวัติศาสตร์โลก ถูกทิ้งลงมาที่ฮิโรชิมะ คร่าชีวิตผู้คนกว่า 140,000 คน แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ด้วยความเข้มแข็งของผู้คนฮิโรชิมะได้ก้าวผ่านความเจ็บปวดและฟื้นฟูตัวเอง จนกลายเป็นเมืองแห่งสันติภาพที่น่าทึ่งของโลก

จากสถานีรถไฟ JR ฮิโรชิมะ (Hiroshima) เราสามารถนั่งรถราง #2 ที่มุ่งหน้าไปมิยาจิมะ-กุจิ หรือ #6 ที่มุ่งหน้าไปเอบะ แล้วลงรถที่เก็งบะคุ-โดม มาเอะ (เดิน 10 นาทีจากสถานี) หรือจะนั่งรถเมล์ฮิโรชิมะ #24 ที่มุ่งหน้าไปโยชิจิมะ แล้วลงรถที่สวนเฮวะคิเนนโคเอน หรือขึ้นรถบัสวิ่งวนรอบเมืองชื่อ ฮิโรชิมะ เมปุรุ~ปุ (“Hiroshima Meipuru~pu”) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็จะเดินทางมาถึง พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ (Hiroshima Peace Memorial Museum) ออกแบบโดย เคนโซ ทันเงะ

สร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดความเป็นจริงเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากระเบิดปรมาณูให้ผู้คนทั่วโลกได้รับรู้ และสนับสนุนการล้มล้างอาวุธนิวเคลียร์ และตระหนักถึงสันติภาพของโลก ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงภาพถ่ายความเสียหาย ที่เกิดจากการทิ้งระเบิดปรมาณูในฮิโรชิมะ เมื่อเวลา 08.15 น. ในวันที่ 6 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งระเบิดครั้งนั้นได้ทำลายพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองและคร่าชีวิตของผู้คนจำนวนมากมาย หลายคนสูญเสีย ครอบครัว หลายคนทรมานจากพิษของสารเคมีในครั้งนั้น เราสามารถรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและสูญเสียผ่านภาพถ่ายและข้าวของเครื่องใช้ที่มีการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

นอกจากนี้ ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดการบรรยายโดยให้ผู้รอดชีวิตมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับระเบิดปรมาณู และมีการให้ยืมสื่อและเอกสารต่างๆ สำหรับการศึกษาเรื่องสันติภาพ และมีไกด์อาสาอธิบายรายละเอียดต่างๆ ทุกวันตั้งแต่เวลา 10.30-15.30 น. มีอุปกรณ์แปลฟังคำบรรยายได้ในราคา 300 เยน/เครื่อง มีให้เลือกถึง 16 ภาษา การเดินชมพร้อมไกด์จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งไกด์จะนำเที่ยวจนทั่วพิพิธภัณฑ์ไปจนถึงสวนสันติภาพด้านนอก

สวนสันติภาพฮิโรชิมะ (Hiroshima Peace Memorial Park) สวนขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ถึง 120,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ เดิมพื้นที่บริเวณสวนแห่งนี้รวมไปถึงตรงบริเวณพิพิธภัณฑ์ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเมืองของฮิโรชิมะทำให้ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายการโจมตีของสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากการโดนทำร้ายในครั้งนั้น พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นย่านเศรษฐกิจเช่นเดิมแต่อนุรักษ์เอาไว้เป็นอนุสรณ์แห่งเสรีภาพ โดยในวันที่ 6 สิงหาคมของทุกปีจะมีการจัดพิธีรำลึกสันติภาพฮิโรชิมะขึ้นที่นี่

ภายในสวนนอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะแล้ว เราจะเห็นอนุสาวรีย์เหยื่อปรมาณู ออกแบบเป็นโค้งให้คล้ายกับบ้านที่มีหลังคาแบบสมัยโบราณ จากจุดนี้จะเชื่อมต่อไปยังสระแห่งสันติภาพ ซึ่งที่ปลายสระจะเป็นที่ตั้งของ “เปลวไฟแห่งสันติภาพ” เป็นสัญลักษณ์ที่ต้องการให้โลกของเราปราศจากอาวุธนิวเคลียร์โดยเปลวไฟนี้ถูกจุดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 และจะโชติช่วงไปจนถึงวันที่ระเบิดนิวเคลียร์ รวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำลายล้างกันหมดไปจากโลกใบนี้

หากมองออกไปรอบๆ สวน เราจะเห็นอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ (Hiroshima Peace Memorial) หรือโดมปรมาณู (Atomic Bomb Dome) อาคารทรงโดมแห่งนี้เริ่มสร้างในสมัยปี ค.ศ. 1914 แล้วเสร็จปี ค.ศ. 1915 เพื่อเป็นศูนย์จัดแสดงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมประจำจังหวัดฮิโรชิมะ สถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปซึ่งมีโดมรูปกลมรีขนาดมหึมาที่ทำจากทองแดงตั้งสูงตระหง่านอยู่ตรงกลาง ต่อมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ศูนย์ฯ แห่งนี้ได้รับความเสียหายจากระเบิดปรมาณูซึ่งถูกทิ้งอยู่ในระยะห่างออกไปเพียง 160 เมตร เนื่องจากโดมถูกแรงระเบิดในแนวเกือบตั้งฉาก ผนังบางส่วนจึงไม่ถูกทำลาย ปัจจุบันที่นี่ได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพหลังจากถูกระเบิด และกลายเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงพลังทำลายล้างของระเบิดปรมาณู และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในสันติภาพ ต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู พร้อมกันนั้นที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1996

อีกหนึ่งสถานที่ที่เรียกน้ำตาให้กับเราเสมอเวลามาที่นี่คือ อนุสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ (Children’s Peace Monument) สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักถึงพิษภัยของสงครามที่ไม่เพียงแต่คร่าชีวิตผู้คนแต่ได้พรากความหวังไปจากเด็กๆ ที่ได้รับผลพวงจากสงคราม ที่มาของอนุสาวรีย์มาจากเรื่องราวของเด็กหญิง ซาดาโกะ ซาซากิ (Sadako Sasaki) เด็กหญิงซึ่งรอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูในครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นเธออายุเพียง 2 ขวบ เธอเติบโตมาตามปกติ แต่เมื่อเธออายุ 11 ปี เธอก็ประสบกับโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย ซึ่งผลกระทบจากพิษของระเบิดนิวเคลียร์เมื่อ 9 ปีก่อน ทำให้ความหวังที่จะเป็นนักกีฬาของเธอดับสูญ แต่เธอไม่ได้หมดหวัง เธอเชื่อว่าถ้าเธอถ้าพับนกกระเรียนกระดาษให้ครบ 1 พันตัว จะสามารถขอพรให้เธอหายป่วยจากโรคร้ายได้ แต่แล้วเธอก็เสียชีวิตก่อนที่จะพับครบตามจำนวน และในวันฝังศพของเธอ เพื่อนๆ จึงช่วยกันพับนกกระเรียนใส่ในโลงศพจนครบ 1 พันตัว

ปัจจุบันอนุสาวรีย์ซาดาโกะในลักษณะยืนชูแขนทั้งสองยื่นไปข้างหน้าและมีนกกระเรียนกระดาษอยู่ในมือนั้น ด้านล่างมีนกกระเรียนกว่าร้อยกว่าพันกว่าล้านตัว เพื่อเรียกร้องและแสดงถึงความหวังที่จะให้โลกมีสันติภาพดังข้อความที่สลักไว้ใต้ฐานอนุสาวรีย์ที่กล่าวว่า “นี่คือคำร้องขอของเรา นี่คือคำภาวนาของเรา สันติภาพจงบังเกิดขึ้นบนโลก”

จากบริเวณสวนสันติภาพฮิโรชิมะเราเดินทางต่อไปอีกหนึ่งสวนแต่เป็นสวนแบบญี่ปุ่น ที่ชื่อสวนชูเคอิเอน (Shukkeien Garden) สวนแห่งนี้สร้างเป็นเรือนพักตากอากาศของผู้ครองเมือง ในสมัยก่อน เจ้าของปราสาทฮิโรชิมะชื่อ นางาอากิระ อาซาโนะ ในปี ค.ศ. 1619 สร้างแบบลักษณะไคยูซิคิ นั่นก็คือ สวนที่ออกแบบมาให้ มีสวนสน สวนหิน และบ่อน้ำกลางสวน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางภูเขา และสามารถเดินชมสวนรอบสระน้ำกลางสวนได้ ต่อมายุคสมัยเปลี่ยน สวนชูเคอิเอน ได้ถูกส่งมอบให้นักชงชามืออาชีพ อุเอะดะ โซโค ว่ากันว่าบ่อน้ำที่สวยงามของสวนนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากทะเลสาบตะวันตก ในเมืองฮังโซว ประเทศจีน

ภายในสวนมีทางเดินทอดยาวลัดเลาะไปตามต้นไม้มากมาย มี Tea House หรือร้านน้ำชาอยู่หลายร้าน แต่ละร้านก็จะมีชาที่ชงตามวิธีการชงชาแบบดั้งเดิม และมีขนมญี่ปุ่นที่นิยมเอาไว้กินคู่กับชา สวนนี้เดินมาจากสถานีฮิโรชิมะได้ประมาณ 15 นาที หรือจะนั่งรถรางหมายเลข 9 มาลงที่ป้าย “Shukkeien-mae” ค่าโดยสาร 190 เยน และมีค่าเข้าชมสวน อยู่ที่ ผู้ใหญ่ 260 เยน นักเรียนม.ปลาย นักศึกษา 150 นักเรียน 100 เยน

เราปิดท้ายวันแรกกันที่ปราสาทฮิโรชิมะ (Hiroshima Castle) หรือเรียกอีกชื่อคือ “ปราสาทปลาคาร์ป” ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1589 โดยท่านเจ้าเมืองโมริ เทรุโมโตะ ผู้ทรงอำนาจทางภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) ในอดีต ปราสาทฮิโรชิมะต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่เห็นในญี่ปุ่นอย่างหนึ่งคือ ปราสาทสร้างบนพื้นที่ราบ ในขณะที่ที่อื่นๆ นั้นสร้างบนเนินเขาหรือยอดเขาสูง ตัวประสาทสูงประมาณ 5 ชั้น ล้อมรอบด้วยคูน้ำ ถึงแม้จะรอดพ้นจากยุคเมจิที่มีสงครามภายในประเทศ แต่ก็ต้องถูกทำลายลงเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาได้มีการสร้างบูรณะขึ้นมาใหม่ประมาณปี ค.ศ. 1945 เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในการบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของฮิโรชิมะผ่านสื่อข้อมูลจัดแสดงต่างๆ และแบบจำลองตามมาตราส่วน ในปัจจุบัน ทางพิพิธภัณฑ์จัดนิทรรศการพิเศษขึ้นประมาณ 7 ครั้งต่อปีและจัดกิจกรรมอื่นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับฮิโรชิมะและประวัติศาสตร์ของฮิโรชิมะ ด้านบนสุดเป็นจุดที่เหมาะสำหรับชมเมืองฮิโรชิมะ แบบ 360 องศาได้เป็นอย่างดีทีเดียว

เที่ยวเกาะ – เกาะมิยาจิมะ
เช้าวันที่สองเราเดินทางไปเที่ยวเกาะกัน ซึ่งเกาะที่มีชื่อเสียงของฮิโรชิมะ คงหนีไม่พ้นเกาะมิยาจิมะ (Miyajima) ซึ่งมีสัญลักษณ์คือ เสาโทริอิสีแดงตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องทะเล ชื่ออย่างเป็นทางการของเกาะแห่งนี้คือ เกาะอิทสึคุชิมะ (Itsukushima) ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “เกาะแห่งเทพเจ้า” สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะมีหลายจุดมาก แต่เรามีเวลาเพียง 1 วัน จึงเลือกบางสถานที่เริ่มจากศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine) หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกไม่แพ้ภูเขาไฟฟูจิเลย

โดยเฉพาะตัวเสาโทริอิของศาลเจ้าที่ตั้งอยู่กลางท้องทะเล ความสวยงามของที่นี่ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก มิชลินไกด์ ยังให้คะแนนแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ถึงสามดาว และยังเป็นหนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (Three Views of Japan) อีกด้วย

ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อบูชา ลูกสาวทั้งสามคนของ สุซาโนโอะ โนะ มิโคโตะ (Sosano-o no mikoto) ซึ่งเป็นเทพแห่งพายุและท้องทะเล และบูชาเทพเจ้าหญิงแห่งดวงอาทิตย์ อามาเทราสุ (Amaterasu) ในอดีตเกาะมิยาจิมะถือว่าเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์

ชาวบ้านสามัญชนจะถูกห้ามไม่ให้ย่างเท้าขึ้นบนเกาะ เพื่อที่จะรักษาความบริสุทธิ์และต้องเดินทางโดยเรือผ่านเสาประตูที่ลอยอยู่กลางทะเล ซึ่งเสานี้ทำมาจากไม้การบูร มีความสูงประมาณ 16 เมตร มีเสาเล็กๆ เป็นฐานรองอีก 4 เสา เราสามารถเดินเท้าไปยังเสาโทริอิได้ในช่วงเวลาน้ำลง ซึ่งคนที่มาเที่ยวนั้นมักจะนิยมวางเหรียญเงินไว้ที่ขารองเสาแล้วอธิษฐานขอพร

เจดีย์ห้าชั้น (Gojunoto-Five-storied Pagoda) เป็นผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมโบราณสูง 5 ชั้น เป็นหนึ่งในเจดีย์ห้าชั้นจากทั้งหมด 22 แห่งทั่วประเทศ มีความสูง 27.6 เมตร สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1407 เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์แห่งการแพทย์ 2 องค์ คือ Fugen-bosatsu และ Monju-bosatsu

เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและติดต่อค้าขายกับราชวงศ์หมิงของจีน จึงนำองค์ประกอบของการออกแบบแนวพุทธนิกายเซ็นพื้นเมืองมาผสมผสานกับความเจริญของญี่ปุ่นอย่างสง่างาม ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถสัมผัสถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมของจีนจากรายละเอียดอันงดงามของตัวสถาปัตยกรรมได้ ประดับตกแต่งด้วยลวดลายมังกร ลายเถาองุ่น ภาพประดับเคลือบทอง ฯลฯ ภายในเจดีย์ไม่อนุญาตให้ชม แต่เพียงมองจากด้านนอกนั้นก็เห็นได้ถึงความสวยงาม

สุดท้ายสิ่งที่ห้ามพลาดเวลามาเกาะมิยาจิมะคือการจับจ่ายใช้สอยที่ ถนนสายช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Miyajima Omotesando Shopping Street) ถนนที่มีความยาวประมาณ 350 เมตร

สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของฝากของที่ระลึก สังเกตดีๆ คุณจะเห็นทัพพีตักข้าว สัญลักษณ์และผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อ

มีอาหารขึ้นชื่อที่ห้ามพลาดทั้ง โอโคโนมิยากิ (พิซซ่าญี่ปุ่น) ข้าวหน้าปลาไหล ขนมโมมิจิมันจุ และหอยนางรมเผา ฯลฯ

อาหารห้ามพลาด

-โอโคโนมิมุระ (Okonomimura)
โอโคโนมิยากิสไตล์ฮิโรชิมะนั้น แตกต่างจากโอโคโนมิยากิในภูมิภาคอื่นตรงที่เนื้อแป้งบาง กะหล่ำปลีที่หั่นมาผสมจะหั่นหยาบ ด้านบนจะเป็นท็อปปิ้ง เส้นโซบะที่ต้มไว้ต่างหากมาผัดให้กรอบๆ ต่อด้วยเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเล รวมไปถึงเทนคาสุหรือเศษแป้งทอดที่เกิดขึ้นตอนทอดเทมปุระ วางเป็นชั้นๆ แล้วทอดจนสุก ที่ฮิโรชิมะ มีจุดหนึ่งที่เรียกว่า โอโคโนมิมุระ (Okonomimura) หรือ หมู่บ้านโอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) เป็นการรวมตัวกันของร้านโอโคโนมิยากิสไตล์ฮิโรชิมะ (Hiroshima) ชื่อดังในท้องถิ่นทั้งหมด 27 ร้านมาอยู่ในตึกเดียวกันหากไปกินอย่าลืม ชมเป็นภาษาถิ่นว่า ฮิโรชิมะ “บะริอุมะจะเค็ง! (Bari-uma-jaken)” ซึ่งแปลว่าอร่อยมากด้วยนะ

-หอยนางรมอ่าวฮิโรชิมะ
ที่อ่าวฮิโรชิมะ (Hiroshima Bay) ถือได้ว่าเป็นแหล่งผลิตหอยนางรมเป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่นเลย หอยนางรมที่นี่แม้ตัวจะเล็กแต่เนื้อแน่นและเข้มข้นมาก ฤดูหอยนางรมคือช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ แต่บางครั้งในช่วงฤดูร้อนเราก็สามารถหากินได้เช่นกัน

-ขนมโมมิจิมันจุ (Momijimanju)
ขนมมันจุเป็นขนมที่เป็นที่นิยมของญี่ปุ่น ส่วนโมมิจิมันจุของฮิโรชิมะ เป็นรูปใบเมเปิ้ล ตัวแป้งด้านนอกทำจากแป้งสาลีผสมน้ำตาล ไข่และน้ำผึ้ง ไส้ในเป็นถั่วแดงบดผู้คิดค้นโมมิจิมันจุคือ “ทาคาสึ สึเนสุเกะ” ซึ่งเป็นช่างทำขนมญี่ปุ่นส่งโรงแรมอิวาโซ โรงแรมที่เชื้อพระวงศ์ และคนดังนิยมมาพัก ทางโรงแรมขอให้ทำขนมให้ลูกค้าสำคัญเป็นพิเศษ และเขาได้ลองผิดลองถูกอยู่หลายปี จนปี ค.ศ.1906 มันจุอบรูปใบเมเปิ้ลก็สำเร็จและเริ่มจำหน่าย อีก 4 ปีต่อมาก็ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในวันที่ 18 ก.ค. 1910 หลังจากนั้นมันจุอบรูปใบไม้แดงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โมมิจิมันจุ” ปัจจุบันจะมีไส้ขนมหลากหลายมากขึ้น เช่นถั่วแดง ชาเขียว ชีส ครีม และช็อกโกแลต

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0