Touch of Nature Yamagata & Sendai – สัมผัสแห่งธรรมชาติ ที่ยามากาตะ และเซนได ตอน 2

Story & Photo by Orawan

อ่านสัมผัสแห่งธรรมชาติ ที่ยามากาตะ และเซนได ตอน 1 ได้ที่
http://www.vacationistmag.com/yamagataandsendai1

ตอนที่แล้วเราออกจากสถานียามาเดระ รถไฟท้องถิ่นสาย Senzan Line เพื่อไปสถานที่ท่องเที่ยวถัดไประหว่างทางที่นั่งรถไฟไปนั้นก็เห็นได้ถึงความสวยงามของธรรมชาติที่ยามากาตะมีอย่างมากล้น ถึงปลายทาง ที่สถานีซากุนามิ (Sakunami)

ที่สถานีซากุนามิ (Sakunami) เราต่อรถอีกนิดเพื่อไปที่โรงกลั่นวิสกี้นิกกะ มิยางิเคียว (Nikka Whisky Miyagikyo Distillery) สำหรับที่วิสกี้นิกกะถือได้ว่าเป็นวิสกี้อันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Nikka Coffey Grain ที่มีรสหวาน พร้อมกับกลิ่นหอมหวานชวนหลงใหล วิสกี้นิกกะ ก่อตั้งโดย Masataka Taketsuru ผู้เดินทางไปใช้ชีวิตที่สกอตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1918

หากใครที่เคยไปฮอกไกโดอาจจะเคยได้ยินชื่อของโรงกลั่นวิสกี้นิกกะ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองโยอิจิ (Yoichi) กันมาบ้างแล้ว และด้วยสภาวะแวดล้อมของภูมิประเทศ กระแสน้ำอันใสสะอาดของแม่น้ำชินคาวะ อากาศที่บริสุทธิ์ของเมืองเซนได (Sendai) จังหวัดมิยางิ (Miyagi) โรงกลั่นวิสกี้ยี่ห้อนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นที่นี่เมื่อปี ค.ศ. 1999

ปัจจุบันอาคารโรงกลั่นและโรงเก็บที่ก่อด้วยอิฐสีแดงที่เรียงรายบนพื้นที่อันกว้างขวางนี้ได้เปิดให้ผู้ที่สนใจเรียนรู้เข้าชมกระบวนการผลิตอันพิถีพิถัน

มีเจ้าหน้าที่ให้คำบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น (มีหูฟังภาษาอังกฤษให้) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ปิดท้ายด้วยการให้ทดลองชิมวิสกี้ 3 แบบ แบบละ1 แก้วโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็มีน้ำผลไม้เช่นน้ำแอปเปิลหรือน้ำองุ่น น้ำชาให้บริการ

นอกจากจังหวัดยามากาตะ จะเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ที่เป็นโลเคชั่นสำหรับถ่ายละครหลายจุดแล้วที่เมืองเซนได จังหวัดมิยางิเองก็มีโลเคชั่นที่ถูกใช้ในละครไม่ต่างกัน อย่างที่วัดโจกิเนียวไร ไซโฮจิ (Jogi Nyorai Saihoji Temple) เราจะเห็นภาพของบริเวณต่างๆ ภายในวัด อย่างเช่นประตูใหญ่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์โรแมนติกสุดน่ารัก อย่างเรื่องรักแท้…แพ้แรงดึงดูด (Gravity of Love) ของไทยเราเช่นกัน

วัดแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง ให้สมหวังในเรื่องของความรัก จุดที่น่าสนใจคือหอซะดะโยะชิ (Sadayoshi Hall) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นแกะสลักเทพเจ้ารวมถึงเทพเจ้าแห่งลมและเทพเจ้าแห่งสายฟ้า โดยเจดีย์ห้าชั้น (Five-storied Pagoda) สูงตระหง่านงดงามสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่สันติสุขของมวลมนุษยชาติ

และมีต้นเรนริโนะเคะยากิ (Renri no Keyaki) ซึ่งแปลว่าต้นเคะยากิ รักนิรันดร์ที่เชื่อกันว่าให้โชคในเรื่องคู่ครองและความรัก ใครที่มาขอพรที่วัด

อย่าลืมแวะชิมเต้าหู้ทอดแสนอร่อยของขึ้นชื่อของที่นี่ด้วยราคาไม่แพง ชิ้นละ 130 เยนเท่านั้น วิธีรับประทาน จิ้มเอาซอสหรือโซยุใส่เข้าไปให้ชุ่มด้านในหน่อย จากนั้นโรยพริกป่นสักนิด เต้าหู้ด้านนอกกรอบด้านในฉ่ำซอสอร่อยมาก

หลังจากทานเต้าหู้เรียกน้ำย่อยไปแล้วเราไปแวะทานมื้อกลางวันกันที่ ร้าน Akiu-sha ซึ่งหากมองด้านนอกของร้านนี้จะเห็นถึงโครงสร้างหลักและหลังคาที่มาจากบ้านหลังดั้งเดิมที่มีอายุกว่า 160 ปี

เมื่อก้าวเข้าไป ภายในร้านจะเห็นถึงความสวยงามร่วมสมัยที่ได้รับการตกแต่งให้ผสมผสานเข้ากับอาคารเดิมได้อย่างลงตัว

เมนูอาหารของที่นี่เน้นการใช้ผักปลอดสารพิษในท้องถิ่นและจากฟาร์มใกล้เคียง นอกจากการตกแต่งจานที่เก๋ไก๋แล้ว อาหารของที่นี่ยังอร่อยมากอีกด้วย

ตามไปขอพรกันต่อที่วัดอากิอุโอทากิฟุโดซน (Akiu Otaki Fudoson Temple)หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ทาคิโมโตะซัง (Takimotosan)

เล่าขานกันมาว่าที่นี่ในอดีตเคยมีนักบวชระดับสูงได้กระโดดลงไปในน้ำตกอากิอุโอทากิ (Akiu Otaki Waterfall) เพื่ออธิษฐานให้แก่ความทะเยอทะยานของมนุษย์

ต่อมาจึงมีการสร้างรูปปั้นที่แทนการประสบความสำเร็จขึ้นมา ทำให้มีผู้คนมากมายมาขอพรเพื่อให้สมหวัง และประสบความสำเร็จซึ่งน้ำตกที่ว่าก็อยู่ด้านหลังของวัดเดินผ่านทิวต้นสนไปนิดเดียวเท่านั้นก็เห็นจุดชมวิวของน้ำตก ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาว แต่หิมะยังไม่ตก ใบไม้ดูแห้งเป็นสีน้ำตาลไปบ้าง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความแรงของผืนน้ำ ที่มีความกว้างกว่า 6 เมตรและสูงถึง 55 เมตรแห่งนี้

ไม่ไกลจากวัดและน้ำตกนัก เราไปแวะที่ร้าน Akiu Winery ที่นี่เป็นทั้งไวเนอรี และคาเฟ่ ด้วย ภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะกับการทำ ไร่องุ่น

ชาวเมืองจึงเลือกตั้งที่นี่เป็นไวเนอรี เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของไวน์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไวน์แดงค่อนข้างไม่หวาน ไวน์แอปเปิลไซเดอร์ เป็นต้น

และด้วยรูปทรงอาคารที่ทันสมัยและกว้างขวางแต่ก็อบอุ่น ส่วนของหน้าต่างบานใหญ่ก็เปิดให้เห็นไร่องุ่นที่ปลูกไม่ไกลตัวอาคาร

นักท่องเที่ยว แวะเวียนเข้าชมการกลั่นไวน์ รวมถึงจับจ่าย ซื้อสินค้าชุมชนกันที่นี่

มีจุดท่องเที่ยวอีกจุดที่เราคิดว่า น่ารักดี นั่นก็คือ แผ่นหินที่มีแอ่งน้ำรูปหัวใจที่โตรกผาไรไรเคียว (Rairaikyo Gorge) โตรกผาแห่งนี้เชื่อมต่อมาจากน้ำตกอากิอุโอทากิ แวดล้อมไปด้วยป่าไม้ ภูเขาซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำนะโทริกะวะ (Natorigawa)

ตรกแห่งนี้ ยาวกว่า 1 กิโลเมตรบริเวณสะพานโนโซกิ (Nozoki Bridge) มองลงจากสะพานไปจะเห็นหินที่มีแอ่งน้ำเป็นรูปหัวใจซึ่งเราสามารถเดินลงไปตามเส้นทางเดินยาวประมาณ 650 เมตร สู่ด้านล่างของหุบผาได้

คืนนี้เราพักกันที่โรงแรมที่เป็นเรียวกัง ชื่อ Kagaribi No Yu Ryokusuitei ซึ่งอยู่ในเขตของเมืองเซนได ด้านหน้าของโรงแรมจัดเป็นสวนญี่ปุ่นสวยงามมาก

เช้าวันที่ 4 เราตื่นกันแต่เช้า เดินทางไปสักการะเทวรูปใหญ่เจ้าแม่กวนอิมแห่งเซนได (Sendai Daikannon) วันนี้อากาศดีมากภาพขององค์เจ้าแม่กวนอิมสีขาว ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าอย่างสวยงาม

เทวรูปแห่งนี้สูงกว่า 100 เมตรเลยทีเดียว ภายในองค์เทวรูป แบ่งเป็นชั้นๆ สูงกว่า 12 ชั้นซึ่งในแต่ละชั้นจะมีพระพุทธรูปกว่า 108 องค์ องค์เจ้าแม่กวนอิมปางต่างๆ อีก 33 ปาง เทวรูปตามนักษัตร และเทพเจ้าต่างๆ อีกมากมาย

เราสามารถขึ้นลิฟต์ไปด้านบนสุดแล้วค่อยๆ เดินลงมาแต่ละชั้นด้านล่างนอกจากจะเป็นจุดประชาสัมพันธ์แล้วยังมีเครื่องรางต่างๆ จำหน่ายอีกด้วยสักการะเจ้าแม่กวนอิมกันแล้ว

ไปขอพรกันต่อที่ศาลเจ้าชิโองามะ (Shiogama Shrine)ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีความเข้มงวดมากที่สุดในญี่ปุ่นทางเหนือ ที่นี่มีอายุกว่า1,200 ปี มีอาคารสมัยเอโดะกว่า 15 หลังอยู่ในบริเวณศาลเจ้า

ที่นี่เป็นจุดชมวิวซากุระที่สวยที่สุดจุดหนึ่ง ด้วยที่มีซากุระมากถึง 35 สายพันธุ์ กว่า 200 ต้น โดยเฉพาะพันธุ์ชิคาเระที่เป็นพวงย้อยลงมา ขณะที่เรามาเป็นช่วงเดือนมกราคม ยังมีซากุระพันธุ์ดอกเล็กออกดอกให้ชื่นชมกันบ้างแล้ว

นอกจากนี้เนื่องจากวัดตั้งอยู่บนเนินเขา เราสามารถมองลงไปเห็นอ่าวมัตซึชิมะ (Matsushima) และท่าเรือชิโองามะ (Shiogama) ได้อีกด้วย คำว่า “Shiogama” หมายถึงเตาหลอมเกลือ ที่นี่มีการผลิตเกลือเป็นหลัก ดังนั้นผู้คนที่มาขอพรที่นี่ก็มักจะขอให้ประสบความสำเร็จในเรื่องของการงาน

มื้อกลางวันวันนี้ค่อนข้างพิเศษ เพราะเราเลือกไปรับประทานกลางวันกันที่ตลาดปลาชิโองามะ (Shiogama Fish Market) เป็นหนึ่งในตลาดปลาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

ที่ตลาดแห่งนี้มีร้านค้ามากกว่า 120 ร้านเต็มไปด้วยของทะเลและวัตถุดิบสดๆ มากมายและที่พิเศษคือ ที่ตลาดแห่งนี้เราสามารถทำข้าวหน้าเนื้อหรือไคเซ็นด้ง (kaisendon) ของเราเองได้

โดยซื้อข้าวกับซุปมิโสะในราคา400 เยนจากนั้นก็เดินเลือกซื้ออาหารทะเลที่ต้องการกินมากินกับข้าวได้ ไม่ว่าจะเป็นหอยนางรมมัตสึชิมะ (matsushima oysters) หมึกตัวใหญ่ หอยงวงช้าง อุนางิ แซลมอน หอยฮกกิ เยอะมากแล้วแต่ใครชอบแบบไหนก็ไปเลือกมาได้

ตลาดปลาแห่งนี้จะเปิดตั้งแต่ตี 3 จนถึงประมาณ 13.00 น.ของทุกวันยกเว้นวันพุธหยุด และวันเสาร์อาทิตย์เปิดถึง 14.00 น. เช็กเวลาดีๆ ก่อนมา

กินอิ่มเรากลับเข้าเมืองเซนได และนอนหลับฝันดี ค่ำคืนส่งท้าย ที่โรงแรม ANA Holiday inn Sendai เป็นโรงแรมที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเซนไดมากนัก

ซึ่งบริเวณสถานีเซนไดนั้นมีร้านค้ามากมายทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ให้คุณสามารถเดินออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อของฝากของที่ระลึกก่อนกลับได้

หากใครชอบของหวานลองแวะที่ร้าน Cafe MythiQue คาเฟ่แห่งนี้เป็นร้านในเครือของร้านเค้ก “Patisserie MythiQue” ที่เป็นที่นิยมใน เซนได ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของอาคาร Suishodo ภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีที่ให้ความอบอุ่น แต่เก๋

อย่างเช่นสีน้ำตาลจากเฟอร์นิเจอร์ ผนัง ที่สีเทาจากปูนเปลือย แต่ก็แอบสดใสด้วยของ ตกแต่งเช่น ตู้โทรศัพท์สีแดง เมนูเด่นของร้าน เช่นเค้ก Blue Jewel เค้กสีน้ำเงินโดดเด่น เค้ก สีขาวนวลอย่าง Mories Last Letter เป็นต้น

เครื่องดื่มผลไม้ปั่นหลากชนิด เสิร์ฟมาบนฐาน ที่สามารถหมุนได้รอบ ใครที่เป็นคอกาแฟ ที่นี่ มีลาเต้อาร์ตแบบ 3D เป็นแมวน้อยสีขาวละมุน น่ารักมาก

ก่อนจะโบกมืออำลาความสนุก ความสดชื่น และสวยงามของสองเมืองนี้ ฉันนึกถึงหนึ่งในประโยคจากนวนิยายเรื่อง ดั่งดวงหฤทัย ที่เจ้าฟ้าหญิงทรรศิกาแห่งพันธุรัฐ ได้กล่าวกับเจ้าหลวงรังสิมันต์ไว้ว่า…“หม่อมฉันก็จะไม่ทูลว่าจะจำ เพราะสิ่งใดที่จำ แปลว่ามีเวลาลืม หากจะทูลว่าหม่อมฉันรู้ เพราะความ ‘รู้’ไม่มีวันลืม หม่อมฉันรู้…”วันนี้ฉันเองก็ได้รู้ รู้ได้ถึงความงดงามของเมืองเซนไดและยามากาตะ และอยากให้หลายคนได้มารู้เช่นเดียวกันกับฉัน

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0