กินส้ม ชิมชา ฝึกกำลังขาที่เชจู

Story by Editorial Staff

รู้จักเกาะเชจู ครั้งแรกก็เมื่อตอนดูละครเกาหลีเรื่อง My Girl ภาพนางเอก จู ยูริน ขโมยส้มจากสวนของพระเอก โซลกองชาน เพื่อนำไปขาย

jeju-korea 1

และอีกหลายตอนที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่สวยงามของเกาะเชจู หรือจังหวัดเชจู หรือจะเรียกอย่างเป็นทางการว่า จังหวัดปกครองตนเองพิเศษเชจู เป็นหนึ่งในเก้าจังหวัดในเกาหลีใต้ และมีลักษณะเป็นเกาะโดยเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ แต่เป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ ตั้งอยู่บนช่องแคบเกาหลี

jeju-korea 2

วันเวลาผ่านไป จากวันนั้นที่เห็นเชจูเป็นเพียงแต่ภาพในจอโทรทัศน์ วันนี้ฉันมายืนอยู่ที่นี่ รู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมชาติ และความเรียบง่ายของเกาะแห่งนี้ อากาศกำลังสบายด้วยอุณหภูมิ 10 กว่าองศาเซลเซียส ในเดือนมีนาคมเรียกได้ว่า หนีร้อน (จากเมืองไทย) มาพึ่งเย็น (ที่เชจู) ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

Jeju Hallasan National Park Map

ฉันเดินทางมาถึงเชจูด้วยสายการบินในประเทศจากโซลมาเกาะเชจู ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง อารมณ์ประมาณกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตั้งแต่ตอนเย็น ทำให้ช่วงเช้านี้ ฉันเริ่มวันใหม่ด้วยตาม รอยคิม ฮยอนจุง (Kim HyunJoong) กับ ฮวางโบ (Hwang Bo) คู่รักผักกาดหอม จากรายการทีวีของเกาหลี we got married ที่ “ภูเขาฮัลลาซาน (Hallasan National Park)”

Jeju Hallasan National Park 5

ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับไปนานแล้วเป็นต้นกำเนิดของเกาะส่วนใหญ่ในเชจู และเป็นเขาที่สูงที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ โดยเมื่อ ค.ศ. 1975 ที่นี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Natural Heritage Site) สำหรับทางเดินธรรมชาติของเขาฮัลลาซานมีหลากหลายเส้นทางระยะทางตั้งแต่ 1.3 กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 30 นาที จนถึง 10 กิโลเมตร

Jeju Hallasan National Park 3

ฉันเลือกเส้นทาง Yeongsil Trail ระยะทาง 6.1 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 2.30 ชั่วโมง จุดเริ่มต้นจากสถานตากอากาศ Yeongsil และสิ้นสุดลงที่ South Wall Fork เช่นเดียวกับเส้นทางธรรมชาติ Eorimok แหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจในเส้นทาง เช่น Oriental Screen Rocks และที่หลบภัย Witseoreum อีกด้วย

Jeju Hallasan National Park 6

เหตุผลที่เลือกเส้นทางนี้ก็เพราะว่าทางเว็บไซต์ของฮัลลาซานแจ้งว่าเป็นเส้นทางที่สวยติดอันดับ 1 ใน 10 วิวของเกาะเชจู และด้วยระยะทางที่พอด้วยกำลังจะเดินทางไหว ระหว่างทางแม้ต้นไม้ใบไม้จะไม่เขียวสดใส แต่แค่เห็นหิมะไปตลอดสองข้างทาง ก็ทำให้ผู้หญิงเมืองร้อนอย่างฉันยิ้มกริ่มเลยทีเดียว และทำให้รื่นเริงเพิ่มขึ้นไปอีก

Jeju Kitty 1

เมื่อลงจากภูเขาแล้วเราไปต่อกันที่ “พิพิธภัณฑ์ และร้านกาแฟคิตตี้ Hello Kitty Island Jeju”

Jeju Kitty 3

ที่นี่จะจัดแสดงเรื่องราวของคิตตี้แบบต่างๆ และรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเฮลโลคิตตี้ทั้งสินค้าหลากหลายประเภทและภาพยนตร์การตูนเรื่องนี้

Jeju Kitty 6

สำหรับคนที่เป็นสาวกคิตติ้ที่นี่มีของให้คุณช้อปมากมายตลอดทั้ง 3 ชั้นของอาคารเลยทีเดียว งานนี้คนที่ได้กำไรที่สุด เห็นที่จะเป็นบรรดาเด็กเล็กที่ชื่นชอบคิตตี้ เพราะได้ถ่ายรูปจนชุ่มปอดกันเลยทีเดียว

Jeju Kitty 2

แอบกระซิบนิดว่า ถ้าใครใส่เสื้อลายคิตตี้ ไปจะได้ส่วนลดค่าเข้า 5 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้ใหญ่ค่าเข้าชมอยู่ที่ท่านละ 12,000 วอน (ประมาณ 300 บาท) แต่ถ้ามาเป็นกรุ๊ปทัวร์จะท่านละ 10,000 วอน (ประมาณ 260 บาท)

Jeju Kitty 4

หลังจากนอนฝันหวานเป็นสีชมพูกันทั้งคืน และติดใจรสชาติขนมเค้กและเครื่องดื่มจากพิพิธภัณฑ์คิตตี้กันมา เช้านี้จึงเสิร์ฟความหวานพร้อมเอาใจคนรักชากันต่อที่ “พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลล็อค (O’Sulloc Green Tea Farm And Museum)” อยู่ทางตอนใต้
ของภูเขาฮัลลาซานที่เราไปปีนกันมาเมื่อวาน

Jeju Tea 1

สถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์นี้มองดูคล้ายๆ กับถ้วยชา วางอยู่ตรงกลางโดยที่มีทุ่งชาเขียวสุดลูกหูลูกตาโอบล้อมเอาไว้ ที่นี่เป็นแหล่งปลูกชาเขียวคุณภาพเยี่ยม ระดับพรีเมี่ยม เขาใช้วิธีแบบออแกนิคในการปลูก ไม่ใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง อีกทั้งเป็นสถานที่จัดแสดงประวัติความเป็นมา และวัฒนธรรมการผลิตชาเขียวท้องถิ่น ชาพื้นบ้านอันหลากหลาย มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการชงชา พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากชาเขียวนานาชนิดให้ได้ลิ้มลอง

Jeju Tea 4

สำหรับเมนูแนะนำต้องเป็น โรลชาเขียวเนื้อนุ่มเคียงคู่กับเครื่องดื่มร้อนเย็นตามถนัด ปิดท้ายด้วยไอศกรีมชาเขียวเนื้อเนียน รสเข้มข้น และไม่หวานจัดจนเกินไป บอกได้คำเดียวเลยว่า ฟินจริงๆ ที่นี่ช่วงหน้าร้อน เมษายน – กันยายน จะเปิดตั้งแต่ 09:00 – 18:00 น. แต่หน้าหนาวจะเปิดถึง แค่ 17.00 น. เท่านั้น

Jeju Sanbanggulsa Temple 1

แม้บรรยากาศจะขมุกขมัวไปนิดแต่ด้วยอุณหภูมิของอากาศที่กำลังพอดี ทำให้เราไม่ลังเลที่จะเดินทางไปทำบุญกันต่อที่ วัดซันบังซา (Sanbangsa) ซึ่งตั้งอยู่บนเขาซันบัง แม้จะบอกว่าตั้งอยู่บนเขาแต่ใช้เวลาเดินขึ้นไปไม่นาน ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างทาง
ได้ยินเสียงสวดมนต์เป็นระยะๆ

Jeju Sanbanggulsa Temple 2

โดยภายในวัดเราจะเข้าชมได้เฉพาะโซนด้านหน้าและทางขวาเท่านั้น ส่วนโซนด้านในเข้าได้เฉพาะคนเกาหลี ที่นี่คนนิยมมาของเรื่องให้โรคภัยไข้เจ็บหาย จุดเด่นคือที่นี่คงเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีเหลืองทองอร่าม และรูปปั้นพระแม่กวนอิมซึ่งหันหน้าออกสู่ทะเล เรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวทะเลที่ทำให้หายเหนื่อยไปได้มาก

Jeju Waterfall 1

ไม่ไกลจากที่วัดมีน้ำตกชอนเจยอน (Cheonjeyeon Falls) หรือน้ำตก 7 นางฟ้า ตามตำนานเล่าว่า นางไม้เจ็ดตนจะลงมาอาบน้ำที่นี่ในยามกลางคืน เวลาเดียวกับที่ฉันไปถึงแต่ไม่เห็นนางฟ้ามีแต่กลุ่มนักท่องเที่ยวเต็มไปหมดด้วยที่นี่เปิดดึกถึง 23.00 น.

Jeju Waterfall 2

ที่นี่มีในสมัยโบราณ มีความเชื่อว่าหากได้มายืนภายใต้น้ำตกในวันที่ 15 เดือนเจ็ดของปีทางจันทรคติแล้ว จะสามารถปัดเป่าโรคร้ายให้หายไปได้ และปัจจุบันในเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีการจัดเทศกาล Chilseonyeo (เจ็ดนางไม้) ขึ้นที่น้ำตกแห่งนี้ด้วย พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ และเหล่าตุ๊กตาหิน ปิดท้ายด้วยสายน้ำเย็นยามค่ำของน้ำตกชอนเจยอนกันนะคะ

 

– จากประเทศไทย สามารถนั่งไปลงยังสนามบินเชจู (Jeju International Airport) ได้นั้น มี สายการบินไทย, สายการบิน T’way Air ฯลฯ บินจากกรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) ไปลงที่โซล (สนามบินอินชอน) ก่อนจะไปต่อเครื่องที่สนามบินคิมโป ไปเกาะเชจู
– จากโซล (ขึ้นที่สนามบินคิมโป) ไปเกาะเชจู ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยสายการบิน T’way Air โดยสามารถเข้าไปเช็กราคาได้ที่หน้าเว็บของสายการบินได้เลย
– เว็บไซต์ของภูเขาฮัลลาซาน www.hallasan.go.kr/english/ เว็บไซต์ของ Hello Kitty Island Museum & Cafe in Jeju www.hellokittyisland.co.kr

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0