อ้อมกอดของขุนเขา สายน้ำและออนเซ็นที่กิฟุ

Story & Photo Orawan

เมื่อสองสามวันก่อน หลังจากที่สายฝนหน้าหนาวพัดพาเอาทริปอิชิกะวะของฉันสดชื่นกระปรี้กระเปร่าไปด้วยละอองฝน แม้ฟ้าหม่นไปบ้างแต่ภาพความงดงาม ท่ามกลางสายฝนพร่ำก็ยังแจ่มอยู่ในใจ ว่าไปแล้วบัตรเดินทาง Takayama – Hokuriku Area Tourist Pass* ที่นำติดตัวมาครั้งนี้ก็พาฉันไปในที่แจ่มแจ่มอีกหลายที่

จากสถานีคานาซะวะ จังหวัดอิชิกะวะ ฉันนั่งรถไฟชินคันเซ็นฮาคุทากะ (Shinkansen Harut aka) เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาลงที่สถานีโทยามะ (Toyama) ก่อนจะนั่งรถด่วน JR Limited Express ขบวน Wide View Hida เพื่อเดินทางสู่สถานี Hida furukawa เมืองฮิดะฟุรุกาว่า (Hida furukawa) จังหวัดกิฟุ (Gifu) รถไฟขบวนนี้เป็นขบวนที่เรียกว่า Wide Viewสำหรับฉันโดยแท้กับวิวมุมกว้างของ 2 ข้างทางที่บ้างก็เป็นเทือกเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ บ้างก็มีภาพบ้านเรือนน่ารักริมสายน้ำ สลับแทรกเข้ามาทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินทางชั่วโมงกว่านั้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

เมืองฮิดะ ฟุรุกาว่า (Hida furukawa) เป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขา อยู่ก่อนถึงเมืองท่องเที่ยวที่ชื่อ ทะคะยะมะ (Takayama) โดยทั้ง 2 เมืองอยู่ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) ภูมิภาคชูบุ (Chubu) เหมือนกัน สำหรับเมืองฮิดะ ฟุรุกาว่า ถึงแม้จะเป็นเมืองที่คล้ายทะคะยะมะมากทั้งส่วนของโรงเหล้าสาเก, เมืองเก่ารวมไปถึงเทศกาลที่จะมีหลังทะคะยะมะประมาณ 1 สัปดาห์ แต่เมืองนี้มีความพิเศษคือ เรื่องชื่อเสียงของงานไม้คุณภาพสูง

เพราะที่นี่เป็นแหล่งไม้คุณภาพดีของ ประเทศเลยก็ว่าได้ โดยเอกลักษณ์ของช่างฝีมือ (ญี่ปุ่น เรียกว่าทาคุมิ) ที่นี่คือ เมฆ สังเกตเห็นได้จากบรรดาเชิงชายคาของบ้านแต่ละหลังหรือส่วนประกอบไม้ต่างๆ และด้วยความที่ที่นี่มีความเงียบสงบมาก หากใครต้องการมาพักผ่อน สัมผัสธรรมชาติ และวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น เมืองฮิดะ ฟุรุกาว่า น่าจะเหมาะไม่ใช่น้อย

หลังจากฉันเอาสัมภาระไปเก็บที่ห้องพักซึ่งใกล้สถานีรถไฟเพียงไม่กี่ก้าวแล้ว ฉันก็มุ่งต่อไปยังไฮไลต์หลักของเมือง นั่นก็คือ แม่น้ำเซโตะ (Seto River) และตึกกำแพงสีขาวยาวตลอดแนว เรียกว่า Shirakabe dozo เป็นตึกคลังสินค้าสีขาว ว่ากันว่าในสมัยอดีต ครอบครัวทีมี่ฐานะส่วนใหญเ่ ขาจะสร้างตึกที่มีกำแพงหนาๆ แบบนี้ไว้เพื่อเก็บของมีค่าหรือสินค้าต่างๆ ทั้ง ข้าวของ เงินทอง สมบัติ หรือกิโมโน เป็นต้น หากมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในวันที่อากาศแจ่มใส เราจะเห็นเหล่าปลาคาร์ฟมากมายแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเส้นนี้

แต่ฉันมาช่วงหน้าหนาวแบบนี้จึงไม่เห็นปลาสักตัวน่าเศร้าใจนัก แต่ก็ไม่ได้สร้างความผิดหวังมากไปเสียทีเดียว เมื่อพบว่าวันที่เดินทางมานั้นเป็นวันที่ทางเมืองฮิดะ ฟุรุคาวะ มีการจัดงานเทศกาลที่ชื่อว่า “Santera Mairi” คงอารมณ์ประมาณว่างานเทศกาลไหว้พระ 3 วัดของไทยนเอง ซึ่งงานนี้จัดขึ้นเป็น ประจำทุกปีในวันที่ 15 มกราคม

โดยตลอดแนวแม่น้ำจะถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟและเทียนนับร้อยนับพัน และที่สำคัญมีเทียนขนาดใหญ่ ที่ทำจากหิมะวางอยู่เป็นจุดจุดตลอดแนวถนนที่มีการจัดงานอีกด้วย

พอพระอาทิตย์โบกลาลับขอบฟ้า แสงไฟจากเหล่าเทียนและโคมต่างๆ ก็ถูกจุดให้แสงสีนวลตากระจายไปทั่วบริเวณ ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยนเป็นที่สุด

ผู้คนที่มาร่วมงานต่างพร้อมใจกันแต่งกิโมโน โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ หญิงสาวหลายคนที่แต่งกิโมโนกันมานั้นต่างก็สวยงามน่ารักจนต้องออกปากชมว่า คะวะอิ เนะ – น่ารักจัง หรือ คิเรเดสเนะ – สวยจังเลย (ไม่ใช่ ออกเสียงขี้เหร่น่ะ) ไปเสียแทบทุกคน

และในวันที่ต้องโบกมือลาเมืองฮิดะ ฟุรุกาว่า ละออง หิมะโปรยปรายลงมา ฉันรีบตรงรี่ไปยังคลองที่จัดงานเมื่อคืนทันที ทันได้เก็บภาพกำแพง สีขาว สายน้ำและละอองหิมะส่งท้ายพร้อมกับโน้ตไว้ในสมุดบันทึกว่า ปีหน้าอย่าลืมแวะมางาน “Santera Mairi” อีกเพราะเป็นงานที่สวยงามน่าประทับใจเป็นที่สุดและรีบหาตั๋วมางานเทศกาลฟุรุกาว่า (Furukawa Matsuri)* ที่จัดในเดือนเมษายนด้วย

จากเมืองฮิดะ ฟุรุกาว่า ฉันก็มุ่งหน้าต่อสู่เมืองทะคะยะมะ (Takayama) ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เราสามารถนั่งรถด่วน JR Limited Express ขบวน Wide View Hida ไปหรือจะนั่งรถJR Takayama Line ไปก็ย่อมได้ ใช้เวลาเพียงแค่ 13 – 15 นาทีเท่านั้น เราก็มายืนอยู่บริเวณศูนย์บริการรถบัสของเมืองทะคะยะมะ (Takayama Mori Bus Center) ที่นี่เองที่หลายคนมาต่อรถไปเที่ยวเมืองชิรากาวาโกะ (Shirakawa – go) กัน หลายคนเลือกที่จะผ่านเมืองนี้ไป แต่อีกหลายคนเช่นกันที่เลือกที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางอย่างเช่นฉัน เพราะเป็นเมืองที่มีงานเทศกาลทะคะยะมะ* งานเทศกาลสำคัญที่ขึ้นชื่อ ว่าเป็น 1 ใน 3 เทศกาลที่สวยงามของญี่ปุ่น นอกจากนั้นที่ยังมีที่เที่ยว อย่างเช่นเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองหรือ

ตลาดเช้าที่เป็นจุดหมายแรก ของฉันในเช้านี้ ตลาดเช้าของเมืองนี้มี 2 แห่งคือ บริเวณอาคารสำนักงานว่าการเมืองโบราณ (Takayama Jinya) เรียกว่าตลาดจินยะมาเอะ (Jinyamae) และตลาดที่อยู่เลียบแม่น้ำมิยากาว่า (Miyagawa) เรียกว่าตลาดเช้ามิยากาว่า (Miyagawa Morning Market) ทั้ง 2 ตลาดมีสินค้าคล้ายคล้ายกันคือ ผัก ผลไม้, สินค้าแปรรูป, ของกิน, ของใช้ต่างๆ ให้เลือกซื้อหากัน จะเปิดช่วงเช้าถึงเที่ยงโดยประมาณ

จากตลาดฉันไปตั้งหลักอีกครั้งที่สะพานนาคาบาชิ (Nakabashi Bridge) สะพานสีแดงสด ยิ่งในยามที่ท้องฟ้า แจ่มใส่เช่นวันนี้ สีแดงของสะพานช่างตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า วันนี้เสียจริง สะพานนี้สร้างข้ามแม่น้ำมิยางะวะ (Miyagawa) แม่น้ำสายหลักของเมือง

พอข้ามฝั่งไปก็จะไปเจอกับย่านประวัติศาสตร์ของทะคะยะมะ จุดที่หลายคนต้องแวะคงหนีไม่พ้น ถนนคนเดิน “ซังมะจิโดริ” (Sannomachi)

ซึ่งเป็น ถนนสายช้อปปิ้ง บรรยากาศถนนทั้งสายเป็นบ้านโบราณแบบญี่ปุ่นมีระแนงไม้สีน้ำตาลสวยงามอยู่ด้านหน้า เดินเข้าไปรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอดีตกันเลยทีเดียว บ้านแต่ละหลังในย่านนี้เปิดเป็นร้านค้าหลากหลายรูปแบบทั้งร้านของที่ระลึก, ร้านขนม, ร้านอาหาร และอื่นๆ มากมาย

สำหรับฉันร้านแรกที่อยากแนะนำคือ ร้านขายเหล้าสาเก สังเกตง่ายๆ จะมี ลูกบอลที่ทำมาจาก Sugidama หรือสนชนิดหนึ่งเรียกว่า “Sakebayashi” ไว้ที่หน้าร้าน ลูกบอลนี้จะมีการเปลี่ยนลูกใหม่ ทุกๆ ปีประมาณเดือนพฤศจิกายน เมื่อทำสาเกงวดใหม่เสร็จแล้ว เป็นลูกบอลสนแบบเดียวกับที่ฉันเห็นที่โรงเหล้าสาเก ที่เมืองฮิดะ ฟุรุกาว่านั่นเอง ที่ร้านนี้จะมีสาเกจัดบริการไว้ให้ เราได้ชิมกันอย่างเพลิดเพลิน ส่วนใครที่ไม่นิยมดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีสาเกผลไม้รสนุ่มเป็นตัวเลือก

หลังจากดื่มและช้อป เสร็จแล้ว แนะนำให้ไปดื่มซุปมิโซะร้อนๆ กันต่อที่ร้านขายมิโซะที่ไม่ไกลกันมากนักหาไม่ยากให้ตามกลิ่นมิโซะมาแบบฉันทำ มิโซะนั่นทำมาจากถั่วเหลืองและข้าวบาเล่ย์ นำมาผ่านกระบวนการหมัก เมื่อหมักแล้วจะได้สีแตกต่างกันตามระยะเวลาจากสีอ่อนไปจนถึง สีน้ำตาลเข้มตามลำดับ นอกจากจะเอาไปต้มเป็นซุปที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว สามารถนำมาทำเป็นน้ำจิ้มก็ได้

อย่างเช่นเอามาจิ้มกับเนื้อวัวฮิดะ (Hida) เนื้อขึ้นชื่อของแถบนี้ เนื้อนี้รสชาติจะนุ่ม ละลายในปากเลยทีเดียว ในย่านนี้มีร้านที่ขายเนื้อวัว ฮิดะที่ทำเป็นซูซิและย่างเสียบไม้อีกด้วย สามารถทดลองชิมกันได้

ปิดท้ายด้วยการอุดหนุน “สะรุโบะโบะ” (Sarubobo Doll) ของที่ระลึกที่ถือว่าเป็นเครื่องราง ประจำเมืองกันไปคนละตัวสองตัว ว่ากันว่าสะรุโบะโบะจะนำความสุขมาให้กับเรา ในตัวเมืองมีร้านที่เราสามารถทดลองทำสะรุโบะโบะ แบบ DIY เองได้ด้วย

45 นาทีโดยประมาณ รถด่วน JR Limited Express ขบวน Wide View Hida ก็พาฉันมาสู่เมืองเกโระ (Gero) เมืองที่ไม่ค่อยคุ้นชื่อนักสำหรับฉัน แต่พอรู้ว่าเป็น เมืองที่เป็น 1 ใน 3 น้ำพุร้อนที่โด่งดังของญี่ปุ่น จนได้รับการขนานนามว่าเป็นน้ำพุร้อนแห่งหญิงงาม เมืองเกโระก็รู้สึกว่าเป็นเมืองที่น่าแวะไปขึ้นมาทันที

แวบแรกที่เห็นสัญลักษณ์ของกบและภาพนกกระสาเต็มเมืองไปหมดเข้าใจว่า เมือง Gero คงมาจากคำว่า เกโระที่แปลว่ากบ เพิ่งถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็ตอนเจ้าหน้าที่บอกว่า อันที่จริง คำว่า “เก” (Ge) แปลว่า ท้ายหรือ ปลายสุดของแม่น้ำส่วน “โระ” (Ro) แปลว่า อยู่ เมือง “เกโระ” จึงมี ความหมายว่า เมืองที่อยู่ปลายสุดของแม่น้ำนั่นเอง แต่ตัวกบเคโระ ที่อยู่ทั่วเมืองก็เป็นตัวชูโรงโปรโมทได้ดีไม่ใช่น้อย สังเกตได้จากน้องร่วมทริปที่สนุกสนานไปกับถ่ายภาพกบที่ซ่อนอยู่มุมต่างๆ ของเมืองอย่างสนุกสนาน

ที่นี่นอกจากออนเซ็นแล้วยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่บ้านกัสโช (Gero Onsen Gassho Mura)ซึ่งเป็นบ้านหลังคาสูงชันแบบดั้งเดิมมาจากเมืองชิรากาวาโกะ (Shirakawa – go) อยู่ด้วย

ด้านในตัวบ้านจะมีจัดแสดงภาพชีวิตความเป็นอยู่และศิลปะพื้นบ้าน ขนาดบ้านแม้จะหลังย่อมกว่าที่ชิรากาวาโกะแต่ก็ให้ความรู้สึกทึ่งได้ไม่แพ้กัน เปิดทุกวันตั้งแต่ 08.30 – 17.00 น.แต่ช่วงปีใหม่วันที่ 31 ธันวาคม – 2 มกราคมของทุกปี จะเปิดช้าและปิดเร็วหน่อยประมาณ 09.00 – 16.00 น.

สำหรับตัวเมืองเกโระนั้น มีแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองชื่อแม่น้ำฮิดะ (Hida River) น้ำในแม่น้ำใสทีเดียว หากมาในหน้าร้อนคงอยากลงไปสัมผัส แต่สำหรับหน้าหนาวอุณหภูมิติดลบแบบนี้ ขอยืนมองห่างห่างแล้วหลบตัวไป แช่ออนเซ็นดีกว่า ที่นี่มีออนเซ็นแบบกลางแจ้งให้แช่กันฟรีด้วย เรียกว่า Wild Onsen Hotspring หรือ Funsenchi อยู่ริมแม่น้ำเลย สามารถมองเห็นได้จากสะพาน ตอนที่เห็นคิดอยู่ในใจว่าต้องเป็นคนกล้าหาญระดับหนึ่งทีเดียว

แต่มาคิดอีกทีถ้ามาแช่ตอนเย็นหรือค่ำๆ สักหน่อย บรรยากาศคงดีไม่ใช่น้อย อย่างเช่นออนเซ็นแบบกลางแจ้ง (Outdoor) ที่ฉันใช้บริการที่โรงแรม แม้อากาศจะหนาวถึงระดับติดลบ แค่คุณกล้าพอที่จะเปิดประตูกั้นออกมาแล้ว หย่อนตัวลงไปในน้ำแร่

จากนั้นก็เงยหน้ามองดูท้องฟ้า สัมผัสไออุ่นธรรมชาติที่รายล้อมอยู่ คุณจะรู้สึกได้ถึงความสงบและสบาย ราวกับสวรรค์ได้เคลื่อนตัวมาอยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนญี่ปุ่นชอบแช่ออนเซ็นนัก

ฉันส่งท้ายทริปการเดินทางของฉันครั้งนี้ ด้วยจุดหมายปลายทางที่อยู่สูง 329 เมตร กับยอดเขาคินคะซัง ภูเขาที่ตั้งตระหง่านกลางเมืองกิฟุ เพื่อชมวิวทิวทัศน์เมืองกิฟุจากหอคอยบนปราสาทกิฟุ (Gifu Castle) ฐานที่มั่นของโอดะ โนะบุนะกะ (Oda Nobunaga) ไดเมียว และนักรบ 1 ใน 3 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเซงโงะกุ เป็น 1 ใน 3 ผู้รวบรวมญี่ปุ่นจากความแตกแยกในยุคเซงโงะกุ

ปราสาทแหง่ นี้กลา่ วกัน ว่าไม่เคยมีใครทำอันตรายได้ จากพื้นราบบริเวณ สวนกิฟุ เราสามารถนั่งกระเช้าขึ้นมาใกล้ๆ ตัวเมืองปราสาทได้ แต่ยังไม่ถึงตัวปราสาทต้องเดินขึ้นไปอีก (พอเหนื่อย)

แต่พอได้ขึ้นมาเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองกิฟุแล้ว เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับพลังงานที่สูญไปจริงจริง ภาพแม่น้ำนาการะ (Nagara – gawa) แม่น้ำที่ทุกปี ช่วงเดือนพ.ค. – ต.ค. จะมีประเพณี UKAI หรือ ประเพณีการจับปลาอายุ (Ayu) โดยใช้นกกาน้ำ (Cormorant) ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า สิ่งก่อสร้างต่างๆ เป็นเหมือนเลโก้ตัวเล็กตัวน้อย แทรกด้วยภูเขาประปราย เราสามารถเดินดูได้รอบแบบ 360 องศา อารมณ์ราวกับเป็นผู้ครองเมืองอย่างไรอย่างนั้น

และทั้ง 4 ชั้นนั้นก็ประกอบไปด้วยนิทรรศการและการแสดงอาวุธ ของใช้ของโอดะ โนะบุนะกะ และเหล่าทหาร ภาพปราสาทท่ามกลางก้อนเมฆจากแผ่นโปสการ์ดที่จากคุณลุงไกด์ส่งให้ก่อนจากลา สวยงามชวนฝันจริงๆ กลับมาแล้วยังรู้สึกได้ถึงความประทับใจที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้ไปยืนที่จุดนั้นมาแล้ว ปราสาทท่ามกลางมวลเมฆ – ปราสาทกิฟุ

หากคุณชอบความสงบและขุนเขา เมืองฮิดะ ฟุรุกาว่า น่าจะเหมาะกับคุณ หากคุณชอบเมืองเก่า วัฒนธรรม เทศกาลสวยงาม แวะไปที่ทะคะยะมะไม่ผิดหวังแน่ ถ้าคุณชอบแช่ออนเซ็นล่ะก็ เมืองเกโระเป็นคำตอบที่ตรงที่สุด หากต้องมองเมืองในมุมเบิร์ดอาย พร้อมได้ออกกำลังขา ปราสาทกิฟุแน่นอนที่สุด แต่ถ้าคุณชอบทั้งหมดที่ว่ามา ฉันแนะนำ ให้จองตั๋ว ซื้อบัตรเดินทาง Takayama – Hokuriku Area Tourist Pass แล้วเก็บ กระเป๋ามาเที่ยวจังหวัดกิฟุกัน |

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0