ดื่มกินความโรแมนซ์ บน Romantic Road แห่งเยอรมัน

Story & Photo by Kanjana Hongthong

ไม่ใช่ถนนทุกสายที่จะทอดยาวนำพาเราไปกินอยู่กับความโรแมนติกได้ แต่ถ้าจะมีถนนซักหนึ่งสายออกตัวว่าเป็นเส้นทางสายโรแมนติก ที่ใครได้ทอดน่องไปบนเส้นทางสายนี้แล้วหวานแน่ เราควรพาตัวเองไปสัมผัสความหวานที่โรยไว้บนถนนสายนี้มิใช่หรือ

Germany romantic road 1914

ฉันเป็นนักเดินทางประเภทไม่ไว้ตัว และหูเบาเสมอ เขาว่ามีถนนสายโรแมนติก ก็อยากไปใช้ชีวิตโรแมนซ์กับเขาบ้าง จึงออกเดินทางไปตั้งหลักที่เมืองมิวนิค (Munich) ที่จริงมิวนิคไม่ใช่ต้นทางของถนนสายโรแมนติก เพราะเส้นทางนี้เริ่มต้นขึ้นที่เมืองวูร์ซบวร์ก (Wuerzburg) ผ่านเมืองน้อยใหญ่เกือบ 30 เมือง ที่โด่งดังหน่อยก็เป็นโรเธนบวร์ก (Rothenburg ob der Tauber) เอาก์สบวร์ก (Augsburg) แล้วไปจบที่เมืองฟุสเซ่น (Füssen)

Germany romantic road 1748

อาจจะชอบแหกกฎเป็นนิสัย แต่เที่ยวนี้ปฏิบัติตามกฎทุกประการ ไปออกตัวที่เมืองวูร์ซบวร์ก ที่มีสรรพนามเก๋ๆ ประดับเมืองว่า เมืองงามแห่งลุ่มน้ำไมน์ เท่าที่จำได้ สายนั้นวูร์ซบวร์กไม่ได้ส่งแสงแดดมาต้อนรับอาคันตุกะจากขวานทอง เมื่อบวกกับอากาศหนาวฉ่ำเลยยืนอยู่หน้าเรสซิเดนส์ (The Residence Palace) อย่างร่างสั่นพองาม อาคารสไตล์บารอคที่ดูภูมิฐานงดงามสมกับเป็นมรดกโลก ภาพวาดเฟรสโกบนเพดานอันงดงามรอทุกคนอยู่ในนั้น อาจเป็นภาพอีกชิ้นหนึ่งที่ใหญ่และสวยที่สุดของโลก นี่ขนาดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วูร์ซบวร์กโดนระเบิดจนราบเป็นหน้ากลอง เหลือบ้านแค่ไม่กี่หลังคา แต่เรสซิเดนส์ก็ได้รับการบูรณะให้กลับมาวิจิตรได้

Germany romantic road 1823
ต่อให้อากาศเย็นฉ่ำแค่ไหน ฉันไม่มีทางยอมพลาดเมืองเก่า ของวูร์ซบวร์ก ย่านนี้เต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมทั้งในแบบบารอคและรอคโคโค ไม่ได้ชอบดูตึกซักเท่าไหร่ เพราะนิสัยดั้งเดิมชอบดูคนมากกว่า เลยยึดหัวหาดตรงน้ำพุที่อยู่ด้านหน้าศาลาว่าการเมืองวูร์ซบวร์ก นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อมองผู้คนที่แวะเวียน เปลี่ยนหน้ากันเข้ามาเรื่อยอย่างเพลินอารมณ์ มีอีกมุมที่นั่งแล้วเพลินกว่า นั่นคือคอสะพานข้ามแม่น้ำไมน์ที่กว้างขวางพอให้ทั้งเจ้าถิ่นและคนแปลกหน้าได้นั่งทอดอารมณ์ สะพานข้ามแม่น้ำไมน์ ไม่ได้เป็นแค่สะพานเก่าแก่ที่ทอดยาวไปสู่ป้อมปราการประจำเมือง แต่ยังเป็นสะพานแสนเพลิน ที่มีฉากชีวิตของชาววูร์ซบวร์กมาปรุงแต่งให้สะพานแห่งนี้นั่งแล้วเพลินพิลึก

Germany romantic road 1814 Germany romantic road 1819

ป้วนเปี้ยนแถวนี้ เลยมองเห็นป้อมมาเรียนบวร์ก ที่ชาวเมืองยกให้เป็นเครื่องหมายการค้าประจำวูร์ซบวร์ก ค่าที่ว่าเป็นแหล่งกำเนิดประวัติศาสตร์อันเก่าแก่กว่า 1,300 ปีของเมืองนี้ มาถึงวูซบวร์กทั้งที ถ้าไม่ได้เดินเตร็ดเตร่แถวย่านเมืองเก่าคงเสียดายเพราะความสดใสของวูซบวร์กอยู่ที่นี่ ป้วนเปี้ยนอยู่แถวเมืองเก่าได้ครู่ใหญ่ ก็แจ๊คพ็อตเจอตลาดนัดประจำเมือง อย่างที่รู้แหละ ตลาดกับฉันเจอกันได้เสียทีไหนลองได้เจอตลาด คราวนี้แหละ ลืมโมงยามไปถนัดใจ

Germany romantic road 2014

กว่าจะถอนสมอจากเมืองวูซบวร์กได้ก็ใช่ว่าจะง่ายดายเสียเมื่อไหร่ ทั้งตลาด เมืองเก่า และพิพิธภัณฑ์ บอกได้เลยว่าแค่ต้นทางของถนนสายโรแมนติกก็ชุ่มใจเสียแล้ว ออเดิร์ฟด้วยวูร์ซบวร์กแล้ว คราวนี้ลงใต้ต่อไปหาเมืองเล็กแสนน่ารักอย่างเมืองโรเธนบวร์ก (Rothenburg ob der Tauber) กันบ้าง ที่จริงจากวูร์ซบวร์กไปถึงโรเธนบวร์ก ได้ผ่านเมืองเล็กๆ น่ารักอีกหลายเมือง ที่มีปราสาทแบบเรเนซองส์ สวนแบบบารอค มหาวิหารอันงดงาม และกำแพงเมืองเก่า ถ้ามีเวลาเอ้อระเหยหลายวันฉันจะไม่ปล่อยเมืองเหล่านี้เป็นแค่ทางผ่านแน่ตั้งใจจะไปตั้งหลักที่จัตุรัสกลางเมือง แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซะที เมื่อพบว่าโรเธนบวร์กสร้างกับดักความน่ารักของเมืองด้วยป้ายชื่อร้านรูปสัญลักษณ์แบบโบราณแน่นเมืองไปหมด กว่าจะถึงจัตุรัสมาร์ก พลาทซ์ (Markt Platz) ก็กลายเป็นพวกแวะกระปริบกระปรอยเสียแล้ว ศาลาว่าการประจำเมือง (Rathaus) หน้าตาจุ๋มจิ๋มรอทุกคนอยู่ที่นั่น ใครอยากขึ้นไปชมวิวในมุมสูงเขามีหอคอยให้ขึ้นด้วย มีหรือคนเท้าไม่อยู่สุขจะปล่อยผ่าน

Germany romantic road 1965

อาจจะเป็นเมืองเล็ก ที่โรเธนบวร์กก็มีอะไรให้น่าแวะเต็มไปหมด ทั้งวิหารเซนต์จาคอบ (St.Jakob Kirche) โบสถ์โปรแตสแตนท์ที่สำคัญของเมืองนี้ ใช้เวลาสร้างนานถึง 150 ปี หรือแม้แต่คนชอบพิพิธภัณฑ์มาโรเธนบวร์กอาจตาลายได้ เพราะมีพิพิธภัณฑ์เยอะไปหมด เมืองอะไรไม่รู้ น่ารักน่าแวะไปซะทุกตรอกซอกซอย สำหรับคนชอบเมืองเล็ก มาขลุกอยู่กับโรเธนบวร์ก เชื่อเถอะว่าคุณจะเผลอรักเมืองนี้ เพราะขนาดเมืองอาจจะเล็กแต่บรรจุความโรแมนติกเอาไว้แน่นเมือง

Germany romantic road 1594

ถัดจากโรเธนบวร์ก ถ้าลงใต้มาเรื่อยๆ คราวนี้ผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยอีกยุ่บยั่บไปหมด แต่ไฮไลต์ก็อยู่ที่สุดถนนสายโรแมนติกอย่างฟุสเซ่น ฉันพาตัวเองมาถึงฟุสเซ่นในวันที่หิมะกองท่วมเมืองจนแทบไม่มีที่ว่างให้ความโรแมนติก เพราะถูกความหนาวชิงพื้นที่ไปเกือบหมด แต่เมืองที่มีความโรแมนติกเป็นต้นทุนซะอย่าง จะหนาวแค่ไหนความโรแมนติกย่อมอยู่เป็นเสาเข็มเสมอ อย่างที่บอกว่าเมืองทางใต้สุดของเยอรมันแห่งนี้ เป็นเมืองสุดท้ายบนถนนสายโรแมนติก อยู่ติดกับพรมแดนประเทศออสเตรีย ฟุสเซ่นเป็นเมืองเก่ามาแต่ครั้งจักรวรรดิโรมัน เป็นที่ตั้งของปราสาทของกษัตริย์บาวาเรีย แถมยังแวดล้อมไปด้วยทะเลสาบใหญ่น้อยสวยงามร่มรื่น

Germany romantic road 1507 Germany romantic road 1513 Germany romantic road 1506

ตัวเมืองน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่เป็นไฮไลต์ของฟุสเซ่นคือปราสาทนอยชวานสไตน์ (The Neuschwanstein Castle) ถ้าเป็นวันที่อากาศอารมณ์ดี ไม่มีหิมะมากวนใจ จะมีรถม้าวิ่งรับส่งไม่ขาดสาย แต่ในวันที่นอยชวานสไตน์ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยหิมะ ภูเขาทุกลูกเป็นสีขาว ฉันเลยต้องพึ่งเท้าทั้งสองข้างเดินขึ้นปราสาทซึ่งอยู่บนเนินเขา ก็ดีไปอีกแบบ โลกที่ห้อมล้อมไว้ด้วยสีขาวของหิมะ แม้แต่ต้นไม้ยังผลิใบเป็นหิมะ กิ่งก้านและลำต้นเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ก็ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ สวยงามจนเผลอโรแมนติกไปอย่างไม่รู้ตัว

Germany romantic road 1419 Germany romantic road 1509

ปราสาทสีขาวตั้งอยู่โดดเด่นกลางเทือกเขาสูง รูปทรงเหมือนปราสาทในเทพนิยายเหมือนที่หลายคนว่าไว้ จากความงดงามปราสาทแห่งนี้นี่เอง วอล์ทดิสนีย์ จึงได้นำเอาปราสาทนี้เป็นต้นแบบของปราสาทในเทพนิยายเรื่องเจ้าหญิงนิทรา และได้จำลองไปสร้างไว้ที่ดิสนีย์แลนด์ทุกแห่งทั่วโลก ไม่ไกลกันยังมีปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา วังที่ประทับของกษัตริย์ ลุดวิกที่ 2 ในวัยเด็ก

Germany romantic road 1887 Germany romantic road 1767

ลงจากปราสาทงามฉันลงมาเดินเตร็ดเตร่ตากหนาวในเมืองฟุสเซ่นอีกซักพัก จึงพบว่า แม้แต่สุดถนนสายโรแมนติกยังเปรอะเปื้อนไปด้วยความโรแมนติก ใครที่คิดว่าชีวิตช่างแห้งแล้งความโรแมนซ์เต็มประดา แนะว่ามาขับรถเที่ยวบนถนนสายโรแมนติกแห่งเยอรมันดูบ้าง เติมชีวิตให้หวาน แล้วออกทัศนศึกษาโลกกันต่อไป

Germany romantic road 1

ข้อมูลเพิ่มเติม
– มีเที่ยวบินไปมิวนิคทุกวัน
– หาที่พักในแต่ละเมืองบนเส้นทางสายโรแมนติกไม่ยาก เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว
– เช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางได้ที่ www.weather.com
– เยอรมันใช้เงินสกุลยูโร
– หากมีวีซ่าเชงเก้นใช้เข้าเยอรมันได้ หรือสอบถามและนัดหมายการทำวีซ่าได้ที่สถานฑูตเยอรมัน

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0