Flower Route อุโมงค์ดอกวิสเตียเรีย ฟุกุโอกะ ญี่ปุ่น

ดอกวิสเตียเรีย มีอายุยืนยาว ฟุกุโอกะ ญี่ปุ่น

ถ้าพูดถึงประเทศญี่ปุ่น ดอกไม้แรกที่คนมักจะนึกถึงน่าจะเป็นภาพสีชมพูของซากุระ จนถือว่าเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจริงๆ แล้วดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น คือ ดอกเบญจมาศก็ตาม สำหรับที่ญี่ปุ่นเองมีเส้นทางดอกไม้หรือทุ่งดอกไม้สวยงามหลายจุดมากเลือกไม่ถูกกันทีเดียว

แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ สำหรับเราคือ อุโมงค์ดอกวิสเตียเรีย ของจังหวัดฟุกุโอกะ นั่นเอง ดอกวิสเตียเรีย (Wisteria, Wistaria หรือ Wysteria) มีความหมายถึง ความมีอายุยืนยาว ดูแล้วก็น่าจะสอดคล้องกับความเป็นพุ่มระย้าที่ทอดตัวยาวลงมาของดอกไม้ชนิดนี้

อุโมงค์ดอกวิสเตียเรียที่มีชื่อเสียงมากที่สุดจนได้รับการยกย่องในโลกออนไลน์ ปี 2012 ว่าเป็น 1 ใน 10 สถานที่ที่สวยงามราวกับเทพนิยายที่มีอยู่จริงบนโลก และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่นโดย CNN นั้นอยู่ที่ สวนคาราชิฟูจิ (Karachi Fuji Garden) เมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1977 ซึ่งที่นี่มีดอกวิสเตียเรียกว่า 22 สายพันธุ์ รวมกว่า 150 ต้น ครอบคลุมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร

จุดเด่นของสวนนี้คือ อุโมงค์ของดอกวิสเตียเรียที่ไล่เฉด ทั้งสีม่วงเข้ม ม่วงอ่อน ขาว และชมพู ไล่เฉดสีห้อยลงมาจากอุโมงค์ไม้ที่คลุมตลอดแนวทางเดิน 80 เมตร และ 220 เมตร และสุดปลายทางเดินก็มีต้นวิสเตียเรียอายุกว่า 100 ปีอยู่ ช่วงเวลาที่บานในช่วงปลายเดือนเมษายน-กลางเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปีด้วย ทางสวนมีเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมนิดหน่อยสำหรับ ผู้ใหญ่ 900 – 1,700 เยน และเด็ก 500 – 800 เยน เราสามารถเดินทางโดยรถไฟ ไปลงที่สถานี JR Yahata จากนั้นต่อรถบัส Nishitetsu สาย 56 แล้วลงที่ป้าย Kawachi Elementary School เดินอีก 10-15 นาทีจะถึงสวน

สำหรับใครที่มาเมืองคิตะคิวชูแล้ว สามารถเที่ยวชมเมืองฟุกุโอกะได้ด้วย หรือจะข้ามไปเที่ยว ชิโมะโนะเซกิ จังหวัดยะมะกุจิ บนเกาะฮอนชู ก็ได้ ไม่ต้องนั่งเรือ มีรถบัส รถประจำทางวิ่งผ่าน สำหรับตัวเมืองคิตะคิวชู ฟุกุโอกะเองก็มีที่เที่ยวหลายจุดที่น่าสนใจ อย่างเช่น ปราสาทโคคุระ (Kokura Castle) เปรียบเสมือนประตูสู่คิวชู ประกอบไปด้วยโซนในตัวปราสาทสำหรับเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม รวมถึงโซนสังเกตการณ์ 360° ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองได้

ตัวปราสาทชั้น 5 มีขนาดใหญ่กว่าชั้น 4 และมีลักษณะพิเศษที่โครงสร้างภายนอกซึ่งเรียกว่า คาระซึคุริ ในช่วงที่ก่อสร้างนั้นเป็นการออกแบบที่แปลกเพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่น แต่เนื่องจากเกิดเพลิงไหม้เพราะสงครามจนเสียหายหมดในปี 1866 ตัวปราสาทที่เห็นในปัจจุบันจึงถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 1959 จากนั้น ในปี 1990 ได้ปรับปรุงใหม่ทั้งหมด เมืองโมจิ (Moji) ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญที่ค้าขายกับชาวต่างชาติ ในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ติด 1 ใน 3 ของเมืองท่าใหญ่ของญี่ปุ่นเลย (อีกสองเมืองโกเบและโยโกฮาม่า) มีอาคารเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่มาก อย่างโมจิโค เรโทร (Mojiko Retro) เคยใช้เป็นที่ทำการเขตชั่วคราว

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0