Turkiye :Bridges the continents of Europe and Asia ไปเที่ยวประเทศตุรกี หรือทูร์เคีย

ประเทศตุรกี หรือทูร์เคีย นั่นได้เปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษจาก Turkey เป็น Türkiey ก็เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของประเทศและป้องกันความสับสน เพราะ Turkey ก็หมายถึงไก่งวงได้ด้วย สำหรับภาษาไทยเราสามารถเขียนทับศัพท์ได้ว่า “ตุรกี” หรือ “ทูร์เคีย” ซึ่งเราขอเรียกเป็นทูร์เคียละกัน

สำหรับดินแดนสองทวีป สะพานแห่งวัฒนธรรมระหว่างยุโรปและเอเซียแห่งนี้ สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ที่สำคัญหนังสือเดินทางประเทศไทย สามารถเดินทางไปทูร์เคียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าพร้อมพำนักได้มากถึง 30 วัน จากประเทศไทยมีเที่ยวบินที่บินตรงสู่ทูร์เคีย โดยไปลงที่สนามบินอิสตันบูล (Istanbul Airport) ทั้งสายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ (Turkish Airlines) และสายการบินไทย (Thai Airways) ซึ่งสะดวกมากใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมงเท่านั้นเวลาท้องถิ่นทูร์เคียช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง

จากสนามบินใช้เวลาอีกประมาณ 1ชั่วโมงถ้านั่งรถไฟใต้ดิน ค่าโดยสารไม่เกิน100 บาท รถไฟใต้ดินสาย MXNUMX ให้บริการเชื่อมต่อโดยตรงจากสนามบินไปยังใจกลางเมือง (Kagithane) จาก Kagithane คุณสามารถใช้รถไฟใต้ดินและรถรางเพื่อไปยังเมืองเก่า เขต Beyoglu และเขตอื่นๆ ได้หรือหากใครต้องการใช้บริการรถบัสรับส่ง Havaist ก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน สามารถตรวจสอบตารางเวลาและค่าโดยสารได้ที่เว็บไซต์ทางการของ Havaist หรือที่ เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของสนามบิน นอกจากนี้ E-pass ของอิสตันบูลยังรวมรถรับส่งฟรี เที่ยวเดียวจาก/ไปยังสนามบินอิสตันบูลอีกด้วย

หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าอิสตันบูลเป็นเมืองหลวงของประเทศตุรกี หรือ “สาธารณรัฐทูร์เคีย” (Türkiye) แต่ความจริงแล้ว คือกรุงอังการา (Ankara) ต่างหาก อิสตันบูลเป็นเพียงเมืองหลวงเก่า แต่เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญที่สุดและนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันมากที่สุด เพราะมีบริการขนส่งสาธารณะครบครัน สะดวกสบาย ครั้งนี้เราจะพาเที่ยวทั้งสองเมืองกันเลยทีเดียว

เมืองอิสตันบูล (Istanbul)

หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของอิสตันบูลหนีไม่พ้น มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 (Sultan Ahmet I) หรือที่รู้จักในชื่อมัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque) ตั้งอยู่ในย่านสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultanahmet) เป็นย่านที่มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น วิหารฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) และพระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace)
การเดินทาง สามารถทำได้ง่ายดายด้วยรถรางสาย T1 ลงที่สถานี Sultanahmet

ที่นี่สร้างขึ้นในสมัยสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 (Sultan Ahmed I) ในช่วงปี ค.ศ. 1609-1616 โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นศูนย์กลางของศาสนาและการปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของมัสยิดแห่งนี้คือการผสมผสานกันระหว่างศิลปะออตโตมันและศิลปะแบบไบแซนไทน์ ทำให้ทุกส่วนของมัสยิดเต็มไปด้วยรายละเอียดที่สวยงามและน่าทึ่ง โดมหลักสูงถึง 43 เมตรและเสาหลักที่รองรับน้ำหนักโดมใหญ่ทั้งสี่ต้น ทำให้มีความสมดุลและมั่นคง นอกจากนี้ยังมีหอคอยสูงหกหอ ทำให้มัสยิดสีน้ำเงินมีความพิเศษและแสดงถึงอำนาจของจักรวรรดิฯ ซึ่งโดยปกติแล้วมัสยิดในยุคนั้นจะมีเพียงสี่หอเท่านั้น ถ้ามองจากด้านนอกวิหารจะมองเห็นหอสวดมนต์เป็นหอคอยสูง สำหรับให้ผู้นำศาสนาขึ้นไปตะโกนร้องเรียกจากยอด เพื่อให้ผู้คนเข้ามาสวดมนต์ตามเวลา

กำแพงชั้นในประดับด้วยกระเบื้องอัซนิคสีฟ้า น้ำเงินกว่า 20,000 ชิ้น จนเกิดเป็นลวดลายต่างๆ ที่อ่อนช้อยงดงาม ไม่ว่าจะเป็นลวดลายกุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น ผลไม้ และต้นไซปรัส กระเบื้องเหล่านี้ไม่เพียงแต่สวยงามแต่ยังสะท้อนแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ ทำให้บรรยากาศภายในมัสยิดสว่างไสวและวิจิตรงดงาม ภายในมีที่ให้สุลต่านและนางในฮาเร็มทำละหมาดและสวดมนต์โดยเฉพาะ มีหน้าต่าง 260 บาน สนามด้านหน้าและด้านนอกจะเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์และพระราชวงศ์ ช่วงกลางคืนในฤดูร้อนจะมีการแสดงแสงสีเสียงในทุกค่ำคืนอีกด้วย

ปัจจุบันเปิดให้เข้าไปทำการละหมาดได้ตลอด 24 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้ฟรี แต่ต้องปฏิบัติตามกฎการเยี่ยมชม เช่นการแต่งกายต้องสำรวม ผู้ชายควรใส่กางเกงขายาว ผู้หญิงใส่กางเกง หรือกระโปรงยาวและใส่ผ้าคลุมศรีษะ (ทางมัสยิดจะจัดเตรียมไว้ให้) ถอดรองเท้าก่อนเข้าภายใน

มหาวิหารเซนต์โซเฟีย หรือฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia)

ไม่ไกลกันนั้นคือ ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์อีกแห่งหนึ่ง เป็นจุดหมายแรกๆของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังอิสตันบูล ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกและยังคงดำรงอยู่มาหลายศตวรรษ เซนต์โซเฟีย แปลว่า โบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ คำว่า “Sophia” มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า “ปัญญา” ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับนักบุญที่ชื่อโซเฟียแต่อย่างใด เซนต์โซเฟียนับเป็นสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์ที่มีความสวยงามอลังการได้รับการบูรณะต่อเติมหลักๆ ถึงสามครั้ง เริ่มต้นจากเดิมเป็นวิหารบูชาเทพเจ้าของชาวกรีกโบราณ ก่อนที่จะถูกดัดแปลงมาเป็นโบสถ์ ตามด้วยมัสยิด แล้วถึงลงเอยด้วยการเป็นพิพิธภัณฑ์อันทรงคุณค่าอย่างที่ได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

จุดเด่นคือ โดมทรงกลมขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ที่รับน้ำหนักด้วยผนังรูปสามเหลี่ยมโค้ง (Pendentive) ตั้งอยู่บนเสาสูงจำนวนสี่ต้นเป็นการออกแบบที่ถือว่ามีเทคนิคที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น ภายในวิหารถูกประดับด้วยโมเสก ที่ทำจากกระจก ทองคำ เงิน แก้ว หิน และดินเผา ที่มีสีสันสดใส ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวได้ถึง 3 ล้านคนต่อปี ที่เดินทางมาที่นี่
การเดินทาง ป้ายรถราง Sultanahmet อยู่ห่างจากที่นี่เพียงแค่เดิน 7 นาทีเท่านั้น

พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace)

เดินต่อจากฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) แค่ 3 นาที เป็นพระราชวังทอปกาปีที่เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1459 โดยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 หลังจากที่ทรงพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ เดิมเป็นที่ประทับหลักของสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมันทุกพระองค์จนถึงรัชสมัยของอับดุลเมซิดที่ 1 (ค.ศ. 1839-1860) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเกือบสี่ศตวรรษทีเดียว

หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันล่มสลายลงพระราชวังทอปกาปีก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงและในที่สุดก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1924 พระราชวังมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสไตล์บิซาไทน์และอิสลาม ภายในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของจักรวรรดิไม่ว่าจะเป็นเครื่องราชูปโภค เครื่องประดับและอัญมณีอันมีค่ามากมายช้อนชาที่ใช้รับประทานอาหารของท่านบรมสุลต่าน รวมไปถึงการเก็บรักษาคัมภีร์กุรอานและหนังสือโบราณ

เมืองโบราณฮิปโปโดรม (Hippodrome) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultan Ahmed Complex)

คำว่า ฮิปโปโดรม (Hippodrome) มาจากคำในภาษากรีกโบราณ 2 คำ ได้แก่ คำว่า “Hippos” หมายถึง ม้า และคำว่า “Dromos” หมายถึง ทางหรือเส้นทาง ด้วยเหตุนี้บางครั้งที่นี่จึงถูกเรียกในภาษาตุรกีว่า “At Meydanı” ซึ่งหมายถึง “จัตุรัสม้า” นั่นเอง เป็นจัตุรัสกลางเมืองที่แต่เดิมนั้นใช้เป็นสนามแข่งม้าของชาวโรมัน สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเซปติมิอุสเซเวรุสเพื่อใช้เป็นที่แสดงกิจกรรมต่างๆ ของชาวเมือง ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ฮิปโปโดรมได้รับการขยายให้กว้างขึ้น ปัจจุบันยังคงเป็นสถานที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์โบราณ และเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของอิสตันบูล

สัญลักษณ์อันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองโบราณฮิปโปโดรม คือ เสาโอเบลิสก์แห่งธีโอโดเซียส (The Obelisk of Theodosius) หรือที่เรียกว่า Dikilitas ในภาษาตุรกี เสาโอเบลิสก์แห่งธีโอโดเซียสนี้นับเป็นอนุสาวรีย์ที่เก่าแก่ที่สุดของอิสตันบูล เสาทรงสี่เหลี่ยมยอดแหลมความสูง 20 เมตรนี้เป็นประติมากรรมหินแกรนิตน้ำหนักหลายร้อยตันสลักภาษาอียิปต์โบราณที่มีอายุกว่า 3,000 ปี

หอคอยกาลาตา (Galata Tower)

หนึ่งในหอคอยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของอิสตันบูล ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกชั่วคราวโดย UNESCO ในปี 2013 หรือบางทีเรียกว่า Christea Turris ซึ่งแปลว่า หอคอยแห่งพระคริสต์ ในภาษาละติน ชื่ออย่างเป็นทางการคือ พิพิธภัณฑ์หอคอยกาลาตา ถูกใช้เป็นหอสังเกตการณ์ไฟระยะยาวและถูกตั้งชื่อว่า Galata Fire Tower

หอคอยสร้างขึ้นครั้งแรกโดยจักรพรรดิไบแซนไทน์ Justinian ในปี ค.ศ. 507-508 ชื่อว่าเมกาลอสพีรโกส (Megalos Pyrgos, Great Tower) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของทะเลตรงทางเข้าโกลเด้นฮอร์น (Golden Horn) และถูกทำลายเสียหาย ระหว่างสงครามครูเสด ครั้งที่สี่ (ค.ศ. 1202 – ค.ศ. 1204) ต่อมาถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1348 เพื่อแทนที่หอคอยกาลาตาเก่าหอคอยหินเป็นสไตล์โรมัน ทรงกระบอกขนาดเก้าชั้น มีความสูง 66.90 เมตร มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ โดยสถาปนิกโคกซัลอนาดอล (Köksal Anadol) โดยส่วนบนของหอคอยที่เป็นรูปกรวยหมวกนั้นถูกปรับขนาดให้เล็กลงหลายครั้ง จนเป็นแบบที่ลงตัว และสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบันบริเวณชั้นบนของ Galata Tower มีร้านอาหาร และคาเฟ่ ซึ่งสามารถมองเห็น วิวทิวทัศน์ของบอสพอรัส (Bosphorus), ถนนใกล้เคียงในเขตกาลาตา-คาราค็อย (Galata– Karaköy) อันเก่าแก่ ภายในย่าน Beyoğlu(Pera) และบริเวณโดยรอบของนครอีสตันบูล

พระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahce Palace)

พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยสุลต่านอับดุลเมจิต ในปี ค.ศ. 1843 -1856 ยุคปลายอาณาจักรออตโดมัน เป็นพระราชวังที่ใหญ่และหรูหราอลังการที่สุด ถูกออกแบบด้วยองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม แบบผสมผสานกันของสไตล์บาร็อค (Baroque), โรโกโก (Rococo), นีโอคลาสสิก (Neoclassical) และออตโตมันแบบดั้งเดิม ตกแต่งอย่างประณีตด้วยทองคำและคริสตัลที่ทุ่มสร้างคิดเป็นเงินในปัจจุบันถึงประมาณพันล้นเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว ประกอบด้วยสามส่วนหลักคืออาคารแห่งจักรวรรดิ (State Apartments Imperial Mabeyn) เป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุด แต่ละส่วนก็แบ่งเป็นหน่วยงานต่างๆ ซึ่งสุลต่านใช้ในการทำงาน และบริหารกิจการของภาครัฐห้องโถงพิธี (Ceremonial Hall, Muayede Salon)

ห้องโถงที่สูงที่สุด และถูกประดับประดาอย่างงดงามที่สุดของพระราชวัง ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 2,000 ตารางเมตร เป็นส่วนที่ใช้สำหรับเป็นห้องโถงรับรอง ในการต้อนรับแขก และนักการทูตต่างประเทศ และเป็นสถานที่เพื่อพิธีการสำคัญของรัฐ อิมพีเรียลฮาเร็ม (Imperial Harem) เป็นส่วนที่ถูกจัดไว้ สำหรับการใช้ชีวิตส่วนตัวของสุลต่านและครอบครัว โดยมีโครงสร้างที่เรียบง่าย ถูกจัดวางภายในอาคารเดียวกัน

สไปซ์บาซาร์ (Spice Bazaar)

สไปซ์ มาร์เก็ต หรือตลาดเครื่องเทศ ในภาษาตุรกีเรียกว่า “Mısır Çarşısı” หรือ ตลาดอียิปต์ (Egyptian Bazaar) นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1660 ด้วยเงินทุนจากเขตออตโตมันของอียิปต์ โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรม แบบออตโตมัน (Ottoman Architecture) ซึ่งชื่อเดิมของตลาดคือ “บาซ่าร์ใหม่” (New Bazaar) มีร้านค้า 85 แห่งที่จำหน่ายเครื่องเทศหลายชนิดจากทูร์เคียและประเทศตะวันออกอื่นๆ อาหารทูร์เคีย ขนมหวาน เครื่องประดับ ของที่ระลึก ผลไม้แห้งและถั่ว ภายในตลาดมีกลิ่นหอมของเครื่องเทศนานาชนิด กลิ่นหอมเย้ายวนของยี่หร่า สะระแหน่ อบเชย สมุนไพรและเครื่องเทศอื่นๆ มากมาย ช่วยสร้างบรรยากาศอันน่าทึ่งที่นี่

มัสยิดสุเลย์มานิเย (Suleymaniye Mosque)

มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นบรรณาการให้กับสุลต่านสุเลย์มาน ในปี ค.ศ. 1557 สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ออกแบบและตกแต่งโดยสถาปนิกชื่อ มิมาร์ ซินาน (Mimar Sinan) ซึ่งนับเป็นสถาปนิกคนสำคัญที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของออตโตมัน มัสยิดแห่งนี้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเขา เป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม คือหอคอยที่สูงยาวสง่า กับสถาปัตยกรรมไบเซนไทน์ คือการมีโดมครึ่งซีก เหมือนฮาเกียโซเฟีย ซึ่งออตโตมันได้เปลี่ยนให้เป็นมัสยิดเมื่อปกครองดินแดนนี้

โดมของมัสยิดสุเลย์มานมีขนาดสูงถึง 47 เมตร ภายด้านในตกแต่งอย่างหรูหราอลังการด้วยกระเบื้องโมเสคและเน้นสีทองเป็นหลักประดับอย่างปราณีตลงบนโครงสร้างหินอ่อนสีขาวนวล กลางโถงมัสยิดมีฐานห้อยโคมไฟวงกลมขนาดใหญ่ พร้อมกับดวงไฟที่ถูกแขวนไว้เรียงราย ตอนกลางคืนเมื่อไฟถูกเปิดทำให้สถานที่แห่งนี้ให้อารมณ์คล้ายกับโรงละครขนาดใหญ่

ด้านในของมัสยิดยังประกอบไปด้วยโรงเรียนสอนศาสนา ห้องครัว โรงพยาบาลที่พักกองเกวียน ตลาดห้องสมุด และสุสานของสุลต่านสุเลย์มานกับภรรยาของเขา ซึ่งทางมัสยิดจะมีการจัดพาทัวร์แบบกลุ่มและส่วนตัวเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านสุลต่าน ประวัติศาสตร์การก่อสร้างมัสยิด ทั้งในเชิงท่องเที่ยวและการศึกษา

ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. จะปิดให้เยี่ยมชมในเทศกาลรอมฎอน และในช่วงเวลาที่มีการละหมาดสวดมนต์ ก็จะเปิดให้สาธารณชนได้ใช้ ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมในช่วงเวลาดังกล่าว ที่นี่อยู่ใกล้กับ 2 แหล่งช้อปปิ้ง คือ Grand Bazaar และ Spice Bazaar โดยสามารถเดินถึงกันได้ไม่ไกล ช่วงเวลาที่แนะนำในการเข้าชมคือช่วงเย็น

เมืองอังการา (Ankara)

เมืองอังการา ได้ยกสถานะเป็นเมืองหลวง (แทนอิสตันบูล) มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1923 และเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศในปัจจุบันชื่อเดิม คือ อังซีรา-Ancyra และ อังกอรา-Angora ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้จากนครอิสตันบูล ใช้เวลาเดินทางจากอิสตันบูลโดยรถไฟความเร็วสูงโดยตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น

ปราสาทอังการา (Ankara Castle)

ปราสาทอังการาไม่ใช่ปราสาทจริงๆ แต่เป็นป้อมปราการโบราณที่ตระหง่านอยู่ในใจกลางเมืองอังการาบนยอดเขาอังการายามะ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของเมืองและเป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 หรือหลังจากนั้น และมีการสร้างขึ้นใหม่เพิ่มเติม 278 ปีก่อนคริสตกาลโดยชาวกาลาเทียน รวมถึงได้รับการบูรณะใหม่อยู่เรื่อยๆแล้วแต่ยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นยุคจักรวรรดิโรมันไบแซนไทน์ หรือออตโตมัน ตัวป้อมปราการประกอบด้วยหลายส่วนได้แก่ กำแพงหนา หอคอย และสนามหญ้า ทางเข้าป้อมผ่านประตูขนาดใหญ่ที่เปิดทางขึ้นไปบนเนินเขา ถนนคนเดินแคบๆ ที่มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารเรียงรายอยู่ อาคารเก่าแก่ที่น่าสนใจหลายแห่งสร้างด้วยโครงไม้ที่บุด้วยอิฐและดินเหนียว มีหลังคาที่มุงด้วยกระเบื้องดินเผาเดินเพียงเล็กน้อยก็จะถึงกำแพงด้านในของปราสาท

ป้อมปราการแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์หลายแห่งที่แนะนำให้ผู้มาเยือนได้รู้จักประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมของอังการา ในพิพิธภัณฑ์ คุณสามารถชมการค้นพบทางโบราณคดี งานศิลปะ และวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่เปิดเผยอดีตของเมือง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของป้อมคือศาลเจ้ามุสลิมอาลาดินที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและทิวทัศน์ของย่านโดยรอบ

มัสยิดโคจาเทเป (Kocatepe Mosque)

มัสยิดโคจาเทเป เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงอังการาใช้เวลาสร้างราว 20 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1967-1987 เป็น ในสมัยสุลต่านอาห์เมตที่ 1 เมห์เมต อาอา (Mehmet) สำหรับรูปแบบของมัสยิดเป็นสไตล์สถาปัตยกรรมออตโตมัน-นีโอคลาสสิก และผสมผสานแรงบันดาลใจจากมัสยิดอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในประเทศทูร์เคียเช่น Selimiye ในเมือง Edirne, มัสยิดสุลต่านอาห์เมต ในอิสตันบูล สถาปนิกผู้สร้างสรรค์มัสยิดแห่งนี้ ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าเขามีความสามารถเหนืออาจารย์และสถาปนิกที่ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย จึงบรรจงออกแบบจนอลังการนช่วงแรกนั้น ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมเพราะมีสถาปัตยกรรมและรูปลักษณ์ที่ทันสมัยแตกต่างไปจากมัสยิดแบบเดิม จนต้องมีการหยุดสร้างชั่วคราวเพื่อปรับเปลี่ยนก่อนจะได้รับการยอมรับในที่สุด

มัสยิดตั้งอยู่ในเขตโคคาเทเปในคิซิลไลทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจัตุรัส Kizila มีป้ายรถประจำทางหลายจุดหน้ามัสยิด เดินจากสถานีรถไฟใต้ดิน Kizilay ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมหลักของเมือง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 1 กิโลเมตรก็จะถึงมัสยิดแห่งนี้ มัสยิดมีขนาดใหญ่สามารถรองรับผู้ร่วมพิธีทางศาสนาได้มากถึง 24,000 คน และที่ตั้งที่โดดเด่นของมัสยิด ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสหรือตอนกลางคืนที่มืดสนิท จะสามารถมองเห็นวิวสวยๆ ของมัสยิดแห่งนี้ได้จากทุกมุมของเมือง

เมื่อก้าวเข้าสู่ด้านใน คุณจะสังเกตเห็นการตกแต่งภายในที่หรูหราโดยรอบ ตื่นตากับงานศิลป์ในโดมกลาง และการใช้หินอ่อนและกระจกกรองแสงเพื่อตกแต่ง เงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ตกแต่งอย่างสวยงามและโคมระย้าแล้วซึมซับสัมผัสของพรมแดงบนพื้น

มัสยิดเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ฟรีบริเวณใกล้กันมีร้านอาหาร โรงแรม และคาเฟ่มากมาย เลือกได้เลยว่าจะรับประทานอาหารจานด่วน แวะร้านริมทาง หรือร้านหรูดูดีมัสยิดอยู่ติดกับศูนย์การค้าและลานจอดรถ

สุสานอนิตกาบีร์ (Anitkabir) หรือ สุสานอตาเติร์ก (Ataturk Mausoleum)

สุสานแห่งนี้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชื่อEmin Onat โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างฮิตไทต์และอนาโตเลียโบราณ ภายในมีโลงศพ (แต่ไม่ได้บรรจุศพไว้) ของมุสตาฟา เคมาลอะตาเติร์ก ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งชาวเติร์กของประเทศทูร์เคีย และเป็นประธานาธิบดีคนแรกผู้นำทูร์เคียเข้าสู่ยุคใหม่ เป็นบุคคลอันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงสุดของชาวทูร์เคีย

สำหรับใครที่ต้องการมาเที่ยวชมสุสานแห่งนี้ขอบอกว่าสามารถมาได้เลยทันที ไม่เสียค่าเข้าชมอีกด้วย และที่นี่เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00- 17.00 น. เป็นสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งทางรัฐบาลได้กำหนดให้แขกทางการทูตทุกคนต้องมาเคารพสุสาน และลงชื่อเยี่ยมคารวะในสมุดอนุสรณ์เป็นการให้เกียรติด้วย

สุสานแห่งนี้ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์และลานสำหรับทำพิธี ทำให้ชาวทูร์เคียจำนวนไม่น้อยเดินทางมาด้วยวัตถุประสงค์คล้ายการจาริกแสวงบุญ ทางเข้าหลักของอาคาร คือ ถนนไลอ้อน ทางเดินยาว 262 เมตรที่เรียงรายไปด้วยรูปปั้นสิงโต24 ตัว แสดงถึงสัญลักษณ์แห่งอำนาจของชาวฮิตไทต์นำไปสู่ลานขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยเสาเรียงราย และขั้นบันไดที่นำไปสู่สุสานขนาดใหญ่

ที่นี่มีทั้งพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของที่ระลึกของอะตาเติร์ก ของใช้ส่วนตัว ของที่ระลึก มีนิทรรศการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สงครามประกาศอิสรภาพ และการก่อตั้งของสาธารณรัฐ

อาคาร Atakule Tower

ถ้าต้องการชมวิวอังการาในมุมสูงได้แบบ 360 องศา ต้องที่นี่เลยหอคอยอาตาคุเล กับความสูง 125 เมตร (410 ฟุต) ในเขต Çankaya ใจกลางกรุงอังการา เนื่องจากเขต Çankaya ตั้งอยู่บน เนินเขา จึงสามารถมองเห็นหอคอยได้จากแทบทุกที่ในเมือง ในวันที่อากาศแจ่มใส อยู่ติดกับสวนพฤกษศาสตร์ในเขต Çankaya ของเมือง ขับรถจากใจกลางเมืองไปทางใต้ 4 กิโลเมตร หรือนั่งรถประจำทางไปลงป้ายที่อยู่ใกล้กับตึกระฟ้า บริเวณใกล้กันจะมีศาลรัฐธรรมนูญแห่งทูร์เคีย และสวนสาธารณะที่มีเสน่ห์หลายแห่ง

หอคอยแห่งนี้สร้างในปี ค.ศ. 1987 – 1989ออกแบบโดย สถาปนิก Ragıp Buluç ด้านบนมีเฉลียงแบบเปิดโล่ง มีร้านอาหาร 2 ร้านและคาเฟ่ 1 ร้าน ร้านอาหารที่กินไปชมวิวไปแบบหมุนได้ 360 องศา ภายใน 1 ชั่วโมง ถ้ามาตอนค่ำก็จะได้ชมวิวสุดโรแมนติกของแสงสีในเมืองประกอบกับภูเขาที่อยู่เบื้องหลัง ใช้กล้องส่องทางไกลมองหาสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอังการา เช่น ป้อมอังการาและอนิตกาบีร์ ส่วนด้านล่างเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารอื่นๆ