Spectrum of the Seas

เรือลำแรกในตระกูล Quantum Ultra-Class ของสายเรือ Royal Caribbean International เปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 2019

เรือลำนี้ มีน้ำหนัก 168,666 ตัน

มีทั้งหมด 16 ชั้น (Decks) เป็นชั้นสำหรับแขก 14 ชั้น

ลิฟต์โดยสาร 17 ตัว ยาวทั้งหมด 347 เมตร

ห้องพักทั้งหมด 2,137 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 16 ตารางเมตร ไปจนถึง 107 ตารางเมตร

เรือสามารถจุผู้โดยสารได้ทั้งหมด 5,622 คน (รวมลูกเรือ)

นี่เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับเรือสำราญ Spectrum of the Seas ที่ให้ความรู้สึกเหมือนยกโรงแรมไปตั้งอยู่บนท้องทะเล และคุณจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเดินผ่านเข้าไปในเรือ

“ Welcome to Spectrum of the Seas” ความสำราญที่คุณสัมผัสได้

เส้นทางท่องเที่ยวของเรือสำราญ Spectrum of the Seas ในโซนเอเซียมีหลากหลายเส้นทางให้เลือกตั้งแต่ 3 คืน (เส้นทางสิงคโปร์ ปีนัง) ไปจนถึง 12 คืน (เส้นทางสิงคโปร์ ญี่ปุ่น) สำหรับเราเลือก เส้นทางสิงคโปร์ กลัง ปีนัง เป็นระยะเวลา 5 วัน 4 คืน

Day 1 ท่าเรือ Marina bay cruise center ประเทศสิงคโปร์

เราเริ่มต้นการเดินทางจากท่าเรือ   Marina bay cruise center ประเทศสิงคโปร์ เรือจะออกจากท่าเวลา 17.00 น. แนะนำให้มาขึ้นเรือก่อน 15.30 น.

ดังนั้นสำหรับคนที่เดินทางมาจากประเทศไทย ควรเผื่อเวลาอีกประมาณ 30 นาที จากท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี (Singapore Changi Airport) มาถึงท่าเรือด้วย

การเตรียมตัวก่อนเข้าสู่สิงคโปร์และก่อนขึ้นเรือ

– ปัจจุบันเราสามารถเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ได้ โดยไม่ต้องกักตัว แต่ต้องมีเอกสารยืนยันการรับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม

– ลงทะเบียนระบุการเข้าสิงคโปร์ที่เรียกว่า SG Arrival Card และกรอกคำแถลงข้อมูลด้านสุขภาพผ่านเว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ (ICA) ให้เรียบร้อย ภายใน 3 วันก่อนเดินทางเข้าสิงคโปร์ https://eservices.ica.gov.sg/sgarrivalcard/  

สำหรับการขึ้นเรือ

– ลงทะเบียนข้อมูล และเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าก่อนขึ้นเรือสำราญผ่าน แอปฯ Royal Caribbean

– ต้องแสดงผลตรวจโควิดแบบ ATK อย่างน้อย 24 ชั่วโมง โดยสามารถตรวจจากคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ไทยได้ เอกสารผลตรวจต้องเป็นภาษาอังกฤษ และระบุรายละเอียดดังนี้  ชื่อ-นามสกุล , วันเดือนปีเกิด, เลขพาสปอร์ต, วันที่เข้ารับการตรวจ , ผลตรวจโควิด (เราเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีจุดตรวจ บริเวณชั้น 1 ประตู 3 )

– สำหรับผู้โดยสาร (อย่างเรา) ที่ต้องการเดินทางเข้าท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย จึงจำเป็นต้องโหลดแอปฯ MySejahtera และลงทะเบียนก่อนเข้ามาเลเซีย

การเช็คอินสำหรับการขึ้นเรือ คล้ายกับการขึ้นเครื่องบินเลย มีการเช็คอิน ตรวจพาสปอร์ต และเอกสารผลตรวจโควิด จากนั้นทางเรือจะเก็บพาสปอร์ตของเราไว้ และให้บัตรการ์ดประจำตัวไว้สำหรับเข้าห้องพักและใช้จ่ายแทนเงินสดขณะที่อยู่บนเรือแทน ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะมีแสดงบนแอปฯ โดยก่อนออกจากเรือเราสามารถให้ตัดค่าใช้จ่ายดังกล่าวผ่านบัตรเครดิตที่เราได้ลงทะเบียนไว้ หรือจะจ่ายเป็นเงินสดก็ได้

ปัจจุบัน (สิงหาคม 2022) หากอยู่ในพื้นที่ในอาคารทั้งที่สิงคโปร์และพืันที่ของเรือเราจะต้องสวมหน้ากากเสมอ ดังนั้นเตรียมหน้ากากอนามัยไปด้วย

แนะนำให้ซื้อแพคเกจรวมเครื่องดื่มเพิ่ม ซึ่งราคาประมาณ 274 US ต่อ 4 วัน แพคเกจนี้จะทำให้เราสามารถดื่มเครื่องดื่มทั้งค็อกเทล แอลกอฮอลล์ ได้ไม่จำกัดในทุกบาร์ของเรือ

ส่วนแพคเกจอินเตอร์เนต ทางเรือมีบริการแบบแพ็คเกจให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่ใช้ 1 เครื่อง 1 ผู้ใช้งาน ไปจนถึง 4 เครื่องและแยกผู้ใช้งาน ราคาอยู่ที่ประมาณ 20 US ต่อ 1 วัน 1 เครื่อง 1 ผู้ใช้งาน

ห้องพักทั้งหมดมี 2,137 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 16 ตารางเมตร ไปจนถึง 107 ตารางเมตร แบ่งเป็นห้องพัก 4 ประเภทหลัก ได้แก่ ห้องไม่มีหน้าต่าง (Interior Virtual Balcony) ห้องมีหน้าต่าง (Ocean View) ห้องมีระเบียง (Balcony) และห้องสวีท (Suit) และแต่ละประเภทห้องหลักก็จะแบ่งเป็นอีก 10 ประเภทย่อย

ห้องพักของเราเป็นแบบ Ocean View with Large Balcony เป็นห้องพักแบบที่มีระเบียงหันออกสู่ทะเล ภายในห้องที่มีความกว้าง 19 ตารางเมตร ค่อนข้างจะสบายมาก เวลาเปิดประตูที่ผ่านไปส่วนของระเบียงที่มีกว้าง 5 ตารางเมตร รู้สึกถึงลมที่พัดผ่านเข้ามา และที่สำคัญไม่รู้สึกว่าโคลงเคลงแม้แต่น้อย แม้เรือจะเริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือตอนเวลา 17.00 น. เราก็ยังรู้สึกเหมือนเรือยังเทียบท่าอยู่เลย

อย่างที่เกริ่นไปว่าห้องพักยังมีอีกหลายแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคน อย่างห้องพักแบบห้องสวีท (Suit) ที่เรามีโอกาสได้เข้าไปชม เป็นห้องประเภทย่อยของห้องสวีทที่เรียกว่า Grand Loft Suite สามารถพักได้สูงสุด 4 ท่าน ภายในห้องมีความกว้างถึง 65 ตารางเมตร หน้าต่างที่บานยาวสูงจรดเพดาน มีบันไดวนขึ้นด้านบนที่เป็นห้องพัก มีระเบียงส่วนตัวที่มีความกว้างกว่า 20 ตารางเมตร กว้างขวางราวกับโรงแรม 5 ดาวทีเดียว

และยังมีห้องสุดพิเศษ อย่างห้อง Ultimate Family Suite ห้องสำหรับครอบที่พักสูงสุดได้ 11 ท่าน ภายในมีทั้งสนามเด็กเล่น โต๊ะฮอกกี้ ผนังเลโก้ โรงหนังส่วนตัวแบบ 3 มิติ รวมถึงสไลเดอร์ภายในห้องพัก และมีระเบียงส่วนตัว

อ้างอิงรูปภาพจากทาง Royal Caribbean

Day 2 พอร์ตกลัง (Pelabuhan Klang) ประเทศมาเลเซีย

08.00 น. เราเดินทางมาถึง พอร์ตกลัง (Pelabuhan Klang) ประเทศมาเลเซีย

พอร์ตกลัง (Pelabuhan Klang) หรือ เปอลาบูฮันกลัง มีชื่อเดิมว่า พอร์ตสเวตเตนแฮม อยู่ในรัฐเซอลาโงร์ (Selangor) เป็นเมืองและประตูหลักทางทะเลสู่มาเลเซีย เป็นท่าเรือที่ใหญ่และคับคั่งที่สุดของประเทศ ส่วนที่เป็นเศรษฐกิจของเมืองที่เกี่ยวข้องกับกิจการด้านท่าเรือ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกลังไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 6 กม. และห่างจากกัวลาลัมเปอร์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 38 กม.

หลังจากเรือจอดเทียบท่า คุณสามารถเลือกซื้อทัวร์แบบวันเดย์ทริป เพื่อลงเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากมายของมาเลเซีย โดยมากทัวร์จะเป็นเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์ ที่ห่างจากพอร์ตกลังเพียง 45 นาที

แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อทัวร์ออกไปท่องเที่ยวก็สามารถสนุกไปกับกิจกรรมต่างๆรวมไปถึงลิ้มลองอาหารในห้องอาหารต่างๆภายในเรือได้

ห้องอาหารหลักและห้องอาหารพิเศษ

ห้องอาหารและคาเฟ่บนเรือ Spectrum of the Seas มีมากถึง 17 แห่ง เมื่อคุณซื้อแพ็คเกจของเรือแล้ว ราคาที่จ่ายจะรวมถึงการรับประทานอาหารในห้องอาหารหลักแบบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ห้อง The Café @Two70 ,WindJammer Marketplace , Main Dining Room, Sorreonto’s Pizza เป็นต้น

The Café @Two70

คาเฟ่แห่งนี้เปิดบริการอยู่บริเวณชั้น 5 ใกล้กับห้องโถงใหญ่ Two70  ส่วนของคาเฟ่เปิดให้บริการมื้อเช้า 7:30-11:00 น. มื้อกลางวัน/มื้อค่ำ เวลา 11:30-17:30 น.มีชา กาแฟ ซุป ขนมปัง ผลไม้ และอาหารเบาๆ มีให้บริการ ถ้าเป็นช่วงค่ำ บริเวณ Two 70 จะมีการจัดแสดงโชว์ บริเวณใกล้ๆเวทีการแสดง จะมีบาร์ที่ให้บริการเครื่องดื่มให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับรสชาติของเครื่องดื่มและการแสดงไปในคราเดียวกัน (ในส่วนของบาร์จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

WindJammer Marketplace

ห้องอาหารหลักอยู่บนชั้น 14 ของเรือ เหมาะสำหรับคนต้องการรับประทานอาหารที่หลากหลาย เพราะที่นี่ให้บริการอาหารนานาชนิดไม่ว่าจะเป็นอาหารนานาชาติทั่วไป อย่างขนมปัง แซนวิส แฮม ไส้กรอก สลัด คุกกี้ ขนมหวาน ผักผลไม้ ตลอดจนอาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารอินเดีย เปิดให้บริการในช่วงมื้อเช้าเวลา  6:30-11:00 น. มื้อกลางวันเวลา 11:30-15:30 น. และมื้อค่ำเวลา 6:00-21:00 น.

Noodle Bar

อยู่ภายในห้องอาหาร WindJammer Marketplace ชั้น 14 ที่นี่เป็นบาร์บะหมี่ที่มีบะหมี่สดใหม่แสนอร่อยมาเสริ์ฟให้เราเสมอ มีน้ำซุปที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปแต่ละวัน เราสามารถเลือกเส้น ผัก น้ำซุปและเครื่องเคียงต่างๆได้ด้วยตัวเอง

Main Dining Room (แนะนำ)

ห้องอาหารแสนสวยที่ตั้งอยู่บนชั้น 3 มีที่นั่งบริการกว่า 1,844 ที่นั่ง มีทั้งหมด 3 ชั้น เมนูอาหารเป็นเซต ให้เลือกทั้งอาหารนานาชาติ อาหารจีน ห้องอาหารแห่งนี้เปิดให้บริการในช่วงเช้า เวลา 7:30 – 10:00 น. 

มื้อกลางวันเปิดให้บริการ 12.00-13:30 น. และ มื้อค่ำเปิดให้บริการตั้งแต่ 17.30-21.30 น.

เราแนะนำให้ลองรับประทานอาหารที่ห้องอาหารนี้อย่างน้อยสักครั้งสองครั้ง เพราะอาหารอร่อยมาก

Sorreonto’s Pizza  

ที่นี่ถือเป็นโอเอซิสสำหรับคนที่หิวยามดึก เพราะร้านพิชซ่าสไตล์นิวยอร์กแท้ๆ แบบดั้งเดิมร้านนี้เปิดให้บริการถึง 02.00 น.หรือตี 2 ของวันใหม่ และมีเมนูพิซซ่าเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ลิ้มลองเรื่อยๆ

DOG HOUSE

อีกหนึ่งคาเฟ่ สำหรับคนที่ต้องการพลังงานช่วงทำกิจกรรม ตั้งอยู่ชั้น 15 ใกล้กับลานกิจกรรม SeaPlex  มีเสริ์ฟไส้กรอกอุ่นร้อนกับขนมปังหลากหลายชนิดให้เลือก

แนะนำ Coney Island ซึ่งทำจากเนื้อวัวอเมริกันคลาสสิก หรือ The Smoke house ไส้กรอกหมูปรุงรสด้วยเครื่องเทศแบบดั้งเดิมก็อร่อยไม่แพ้กัน เปิดบริการตั้งแต่เวลา 11:30-17:30 น.

นอกจากห้องอาหารหลักที่หลากหลายหมุนเวียน เปิดให้บริการเสริ์ฟอาหารเราตั้งแต่ 06.30 -02.00 น. ของวันใหม่ ยังมีห้องอาหารพิเศษ ที่เหล่าเชฟชื่อดังทั้งหลายมาเปิดร้านให้บริการ รวมไปถึงห้องอาหารที่มีลักษณะพิเศษอีกหลายห้องอาหาร ยกตัวอย่างเช่น

Teppanyaki

ห้องอาหารญี่ปุ่นสุดพิเศษที่เป็นมากกว่าร้านอาหาร ห้องอาหารนี้เสริฟ์อาหารควบคู่ศิลปะของการแสดงจากเชฟที่มาปรุงอาหารสดใหม่ตรงหน้าเรา ทั้งหอยเชลล์ฉ่ำ กุ้งลายเส้นตัวอวบ ล็อบสเตอร์เนื้อแน่น เนื้อวากิวคุณภาพเยี่ยมและสเต็กหอมกรุ่นที่ย่างจนสมบูรณ์แบบ  เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ต้องลอง

Chops Grille

บนชั้น 5 บนเรือ มีร้านสเต็กเฮ้าท์ระดับพรีเมี่ยม ที่นอกจากสเต็กเกรดดับเบิ้ลเอ

เนื้อแกะย่างไม่มีกลิ่นคาว ซี่โครงที่นุ่ม ยังมีเมนูซีฟู้ดให้เลือกอีกมากมาย

เปิดให้บริการในช่วงมื้อค่ำ ตั้งแต่เวลา 17.30 .ไปจนถึง 21.30 น.

หรือ ห้องอาหาร Jamie’s Italian สำหรับใครที่ชอบทานอาหารอิตาเลี่ยน ต้องลองมาชิมอาหารที่ Jamie’s Italian โดยเชฟชาวอังกฤษ Jamie Oliver ผู้ที่หลงใหลในอาหารอิตาเลี่ยน ห้องอาหาร Sichuan ภัตตาคารอาหารจีนสูตรพิเศษ สำหรับคนรักอาหารจีน ห้องอาหาร Wonderland ห้องอาหารแสนมหัศจรรย์สมชื่อ นับตั้งแต่รายการเมนูล่องหนที่จะปรากฎขึ้นมาต่อมาคุณใช้พู่กันจุ่มน้ำระบาย กับเมนูที่เรียกว่า Wonderland Imaginative Cuisine ที่เป็นเมนูอาหารที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามและน่าสนใจ

สำหรับคนที่ชอบดื่ม และสังสรรค์ มีบาร์ให้บริการหลายจุดทั้งในตัวเรือ และบริเวณด้านนอกให้กินลมชมบรรยากาศได้ ยกตัวอย่างเช่น

Vintages

บาร์ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 5 สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ ที่นี่ยังเปิดให้บริการไวน์หลากหลายแบบ ให้คุณได้มาจิบเบาๆ เรียกน้ำย่อยระหว่างรอมื้ออาหารค่ำ หรือเป็นจุดนัดสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูงก็น่าสนใจไม่น้อย

Bionic Bar

บาร์ที่เราอยากแนะนำเลย เพราะบาร์นี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่ไม่มีบาร์เทนเดอร์คอยชงเครื่องดื่มให้ แต่เป็นหุ่นยนต์มาทำหน้าที่แทน โดยเราสามารถเลือกเครื่องดื่มผ่านหน้าจอแท็บเล็ตที่อยู่ด้านหน้าบาร์ จะเลือกเครื่องดื่มที่มีอยู่แล้วหรือจะผสมเครื่องดื่มเองก็สามารถทำได้

ขณะที่เรากำลังเพลินเพลินอยู่กับห้องอาหารหลากหลาย พอเริ่มเวลา 15.00 น. ผู้คนที่ออกไปทริปก็เริ่มกลับขึ้นเรือ จนเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. เรือก็ออกเดินทางออกจากพอร์ตกลัง

Day 3 ท่าเรือปีนัง (Port of Penang) ประเทศมาเลเซีย

08.00 น. เรือเดินทางถึง ท่าเรือปีนัง (Port of Penang) ประเทศมาเลเซีย

เกาะปีนังหรือไข่มุกแห่งตะวันออก เป็นหนึ่งใน 13 รัฐของมาเลเซีย เดิมชาวมาเลย์รุ่นแรกเรียกว่า ปูเลาซาตู หรือเกาะเดี่ยว ต่อมาพบในแผนที่เดินเรือ เรียกว่า ปูเลาปีนัง หรือเกาะหมากอย่างที่คนไทยรู้จักกัน ต่อมาอังกฤษเรียกว่าเกาะพรินซ์ออฟเวลส์จอร์จทาวน์ (George Town)

เมืองหลวงของปีนัง เป็นเมืองแห่งมรดกโลก เต็มไปด้วยวัฒนธรรมของยุคอาณานิคมอังกฤษไว้ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 จึงทำให้ปีนังยังคงมีกลิ่นอายความเป็นตะวันตกจนถึงปัจุบันให้เราได้เห็น

เช่นเดิมเราเลือกที่จะพักอยู่บนเรือ หรือออกมาเดินเที่ยวเมืองปีนังด้วยตัวเองก็ได้ ท่าเรืออยู่ติดกับเมืองสามารถเดินเที่ยวได้อย่างสะดวก หรือจะซื้อแพคเกจทัวร์แบบเดย์ทริปก็สะดวกยิ่งขึ้น

กิจกรรมบนเรือที่ห้ามพลาด

สำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางลงจากเรือเพื่อเดินทางไปเที่ยวเมืองปีนัง ก็สามารถทำกิจกรรมต่างๆภายในเรือได้ ซึ่งมีกิจกรรมเยอะมาก หากดูจากแอพพลิเคชั่นที่เราลงทะเบียนไว้ตอนขึ้นเรือ ก็จะเห็นกิจกรรมต่างๆมากมายให้เลือกเข้าร่วม หากไม่รู้ว่าจะทำกิจกรรมอะไรแนะนำให้ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 15 กันได้เลย จะพบกับกิจกรรมที่ห้ามพลาด ได้แก่

Sky Pad®

Sky pad เครื่องเล่นที่อยู่ในโดมกลม สีเหลืองสะดุดตาที่ไม่ใช่เครื่องเล่นแทรมโพลีนธรรมดา เป็นเครื่องเล่นที่เสมือนจริงมาพร้อมกับแว่น VR สามมิติ เมื่อผู้เล่นสวมแว่น VR จะทำให้คุณเห็นภาพราวกับว่ากำลังผจญภัยอยู่ในเกม มีให้เลือกถึง 3 เกมด้วยกัน ได้แก่ Jump Rally, Sugar Leap และ Bass Bouncer เครื่องเล่นนี้จำกัดสำหรับเด็กที่อายุ 5 ขวบจึงเข้าเล่นกระโดดได้ และอายุตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไปจึงจะสามารถสวมแว่น VR ได้ รวมไปถึงผู้เล่นต้องน้ำหนักขั้นต่ำ 20 ปอนด์ (ประมาณ 9 กิโลกรัม) ขั้นต่ำ – 240 ปอนด์ (ประมาณ 100 กิโลกรัม) ค่าใช้จ่าย 10 US สำหรับไม่มี VR และ 15 US สำหรับเครื่อง VR

FlowRider®

 FlowRider® อีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์ที่ใครได้ขึ้นเรือสำราญของสายเรือ Royal Caribbean ต้องห้ามพลาด เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการเล่นเซิร์ฟบอร์ดโต้คลื่นกับเครื่องจำลองการโต้คลื่นที่มีความยาว 40 ฟุต และสนุกไปกับสายน้ำกว่า 30,000 แกลลอนที่ถาโถม ความสนุกราวกับได้โต้คลื่นจริงๆเลยทีเดียว ที่สำคัญเล่นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในเวลา 20 นาที

North Star®

ไม่ต้องใช้โดรนถ่ายรูป แต่คุณก็สามารถเห็นวิวมุมสูง และเห็นตัวเรือ Spectrum of the Seas ได้อย่างเต็มตา ด้วยเครื่องเล่นที่มีลักษณะคล้ายกระเช้าลอยฟ้าที่เรียกว่า North Star®

ที่แขนเหล็กพาเรายกขึ้นสูงกว่า 300 ฟุต (91 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล แม้จะดูสูงสุดสายตาแบบนี้แต่ภายในกระเช้ารู้สึกปลอดภัยมาก

กระเช้าลอยฟ้านี้ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดบนเรือสำราญระดับ Guinness World Record หลังจากยกสูงขึ้นไปแล้วแกนของกระเช้าจะเหวี่ยงออกไปให้เราไปเห็นวิวมหาสมุทรได้กว้างกว่า 360 องศา เห็นเรือเต็มลำและเต็มตา สำหรับการขึ้นกระเช้าลอยฟ้ามีค่าใช้จ่ายประมาณ 40 US

RIPCORD® BY IFLY®

หนึ่งในเครื่องเล่น ที่เราแนะนำให้ทุกคนต้องลอง มาปล่อยให้อะดรีนาลีนของเราได้สูบฉีดเมื่อลอยอยู่ในภาวะอากาศเหมือนไร้น้ำหนัก โดยมีลมปะทะอยู่เบื้องล่าง ความรู้สึกคล้ายกับคุณกำลังโดดร่ม หรือสกายไดร์วิ่ง (Skydiving) ก็ว่าได้ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 40 US

Rock Climbing Wall

ท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลกกับหน้าผาจำลองบนดาดฟ้าชั้น 15 ที่สูงกว่า 40 ฟุตได้ ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมีอายุ 6 ปีขึ้นไป (อายุตั้งแต่ 6-12 ปี ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง) ก็สามารถมาไต่หน้าผานี้สูงแห่งนี้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นหนึ่งกิจกรรมที่เรียกเหงื่อได้ไม่ใช่น้อย

Solarium

สระน้ำบริเวณนี้จะอยู่ด้านหน้าของเรือ Royal Caribbean® ทุกลำเป็นสถานที่พักผ่อนในร่มที่สามารถอาบแดดได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยหลังคาคริสตัลที่เป็นที่ลดทอนแสงแดดแรงกล้าให้เป็นแสงที่พอให้ความผ่อนคลายกับผู้ต้องการอาบแดด พร้อมกับเพลิดเพลินกับสระว่ายน้ำ และอ่างน้ำวน

นอกจากนั้นบนเรือลำนี้ยังมีสระว่ายน้ำอีกหลายจุดทั้งสระในร่มและสระกลางแจ้ง

สระเด็ก รวมไปถึงสวนน้ำที่เอาใจเหล่าเด็กตัวน้อย

และที่บริเวณกราบเรือ ก็มีลู่วิ่งกลางแจ้งที่เราสามารถวิ่งไปรอบเรือได้

พอเริ่มใกล้จะถึงเวลาเรือออก ประมาณ 17.30 น. ผู้คนหลายคนก็เริ่มกลับขึ้นเรือ เตรียมโบกมือลาแสงสุดท้ายของวัน บริเวณกราบเรือนี้เอง ที่หลายคนจับจองเพื่อเฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดิน

พออาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ทุกคนก็แยกย้ายไปทำกิจกรรมยามค่ำคืน บนเรือมีห้องแสดงโชว์อยู่หลายห้อง หลักๆ ทุกคนจะไปรวมตัวกันที่ห้อง The Royal Theature บริเวณชั้น 5 ที่มีโชว์ต่างๆ ที่เวียนเปลี่ยนไปทุกวัน การแสดงที่อยากแนะนำต้องดู คือ Showgirl

เป็นการโชว์ของความสวยงามและพลังเสียงร้องของเหล่านักแสดง

และ The Effectors เป็นโชว์ของเหล่าฮีโร่ ที่เราจะเห็นแอฟเฟคที่น่าตื่นตาตื่นใจ เราชอบทั้งตอนที่เป็นแสงเลเซอร์และบินโดรนที่สุด

Day 4 ความสนุกเต็มพิกัดบนเรือสำราญ

วันนี้เป็นวันที่ 4 เรากำลังมุ่งหน้ากลับสิงคโปร์ แม้ว่าทุกคนจะรวมตัวกันอยู่บนเรือ แต่ด้วยเรือที่มีขนาดใหญ่มากทำให้คนไม่ได้พลุกพล่านอย่างที่คิด บางคนใช้เวลาไปกับห้องอาหารที่หลากหลาย บางคนก็ใช้เวลาไปกับกิจกรรมกลางแจ้ง แต่สำหรับบางคนที่ชอบกิจกรรมสบายไม่ต้องตากแดด ทางเรือก็มีกิจกรรมให้สนุกสำราญ สมคำว่า “เรือสำราญ”เช่นกัน อย่างเช่น

SeaPlex

เปรียบเสมือนลานกิจกรรมในร่ม มีกิจกรรมในร่มให้ทำเพียบ

เหมาะกับทุกคนทุกวัยในครอบครัว  กิจกรรมที่มีคนรอคิวเยอะหน่อยคือ รถบั๊ม (Bumper Cars) ที่จะเปิดรอบให้เล่น ในช่วงเช้า และช่วงเย็น

ตรงลานกิจกรรมแห่งนี้ บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นลานสำหรับตีแบดมินตัน ด้านบนตรงชั้นลอย มีกิจกรรมยิงธนู

โต๊ะเล่นปิงปอง เกมที่หลายคนต่างเล่นกันอย่างสนุก

Two70°

ห้องโถงที่มีผนังเป็นกระจกใสจรดเพดาน เป็นแนวโค้งตามลักษณะของเรือ เป็นจุดที่สามารถชมวิวได้แบบ 270 องศา ช่วงเช้าจะมีคนมารับประทานอาหารที่ห้องโถงแห่งนี้ บางครั้งก็มีกิจกรรมออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

ช่วงค่ำก็จะมีการแสดงโชว์อย่างเช่นโชว์ SilkRoad ที่เป็นการแสดงผสมผสานกับโชว์กายกรรม เรียกได้ว่าที่นี่เป็นอีกพื้นที่แห่งกิจกรรมความบันเทิงอีกจุดของเรือ

Music Hall 

เป็นอีกหนึ่งห้องมหัศจรรย์ของเรือในช่วงเวลากลางวันจะเป็นห้องที่จัดให้มีการทำกิจกรรมเบาๆง่ายๆ หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นพับผ้าขนหนู พับกระดาษ ระบายสี เป็นต้น ส่วนกลางคืนก็เปลี่ยนเป็นไนท์คลับ มีดนตรีเปิดฟลอร์เต้นรำให้บริการเครื่องดื่มพร้อมความบันเทิงคับคั่ง

Royal Esplanade

สำหรับสายช้อป ไม่ต้องกังวล บนเรือมีสินค้าปลอดภาษี และสินด้าแบรนด์เนมที่มีให้เลือกหลากหลายสินค้าที่ว่าหายากตามช้อปต่างๆ บนเรือมีของให้เลือก แถมราคาย่อมเยามาก รับประกันความสวยงาม พร้อมการันตีว่าต้องถูกใจทั้งผู้ซื้อและผู้รับแน่นอน

คืนก่อนที่เรือจะเข้าเทียบท่า ทางเรือจะมีการคืนพาสปอร์ตให้กับทุกคนโดยจะมีการนัดหมายให้ไปรับตามชั้นที่ระบุ และสำหรับคนที่ต้องการเอากระเป๋าให้กับลูกเรือ พาลงไปให้ก่อน เราสามารถเขียนชื่อ ติด Tag แล้วไปวางไว้ด้านหน้าห้องพัก ก่อนเวลา 11.00 น. และพอลงเรือก็ไปรับตามจุดที่กำหนด

Day 5 ท่าเรือ Marina bay cruise center ประเทศสิงคโปร์

08.00 น.เรือเดินทางมาถึงท่าเรือโดยสวัสดิภาพ

การเดินทางตลอด 5 วัน 4 คืนโดยเรือ อาจฟังเหมือนเป็นระยะเวลาที่นาน แต่ในความเป็นจริงแล้วเวลาเดินเร็วมาก คงเป็นเพราะบนเรือมีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก จนลืมวันลืมเวลาและเพลิดเพลินไปกับความสนุกและสำราญ สมเป็น “เรือสำราญ”จริงๆ

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0