Je t’aime. Paris เฌอแตม ปารีส

ปารีส ฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นมหานครแห่งความโรแมนติกก็ว่าได้ เป็นเมืองที่ให้บรรยากาศโรแมนติกที่อบอวลอยู่แทบทุกจุด สิ่งแรกที่ผมตกหลุมรักปารีส คงเป็นการวางผังเมืองที่ดีและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

จุดเด่นของผังเมืองปารีส คือ การวางผังเมืองคล้ายใยแมงมุมโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ประตูชัยฝรั่งเศสหรือ อาร์ก เดอ ทรียงฟ์ เดอเลตวล (Arc de triomphe) เป็นการออกแบบเพื่อให้เหมาะแก่การอยู่อาศัยอย่างแท้จริง

ประตูชัยฝรั่งเศสนี้จะตั้งอยู่กลางจัตรัส ชาร์ล เดอ โกล (Place Charles de Gaulle) หรือเป็นที่รู้จักกันนามของ จัตุรัสแห่งดวงดาว ซึ่งจะเป็นจุดสัญจรของถนนทั้งหมด 12 สาย สร้างในแบบศิลปะนีโอคลาสสิค ซึ่งได้รับการดัดแปลงมาจากสถาปัตยกรรมแบบโรมันโบราณ และได้แนวความคิดมาจากประตูชัยไตตัสประตูชัยแห่งนี้ออกแบบโดย ฌ็อง ชาลแกร็ง ในปี พ.ศ. 2349 เพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อปกป้องประเทศฝรั่งเศส และเป็นการประกาศความเกรียงไกรของกองทัพฝรั่งเศส หลังจากที่ชนะสงครามนโปเลียน ในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่มาปารีสแล้วไม่มาก็ถือว่ามาไม่ถึงก็คงหนีไม่พ้นหอไอเฟล (Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน (Seine River) ผลงานของกุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) ที่ตอนสร้างนั้นกุสตาฟต้องทำงานภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก เพราะประชาชนชาวฝรั่งเศสส่วนหนึ่งมีกระแสต่อต้านอย่างหนักเกี่ยวกับหอไอเฟล ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่บดบังทัศนียภาพและความงดงามของมหานครปารีส และไม่ได้สวยงามหรือดูดีในแง่ของศิลปะเอาเสียเลย ใครจะคิดว่าเวลาผ่านไป สิ่งก่อสร้างขนาดความสูง 986 ฟุต (300 เมตร) ประมาณตึก 75 ชั้น แห่งนี้จะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งมหานครปารีส และยังเป็นจุดชมวิวแบบพาโนราม่าของเมืองที่สวยที่สุดของปารีสทั้งยามกลางวันและยามค่ำคืนอีกด้วย

สำหรับใครที่อยากได้วิวหอไอเฟลแบบโล่ง ๆ ก็แนะนำให้มาตั้งแต่เช้า หอไอเฟลจะเปิดให้เข้าตั้งแต่ 09.30-23.00 น. มีตั๋วเข้าชม แบ่งเป็นหลายราคา ขั้นต่ำเข้าไปถึงชั้น2 แบบเดินอยู่ที่ราวๆ 12 ยูโร และถ้าไปชั้นบนสุดใช้ลิฟท์ด้วยอยู่ที่ราวๆ 29 ยูโร

ถนนฌ็องเซลิเซ่(Champs-Élysées) ตั้งอยู่ที่เขต 8 ของมหานครปารีส ใครที่ไปเยือนเมืองแห่งแฟชั่นนี้ต้องแวะเดินชมความสวยงามสองข้างทางของที่นี่ ฌ็องเซลีเซ่ มาจากคำว่า ทุ่งเอลิเซียม จากเทพปกรณัมกรีก แรกเริ่มเดิมทีเป็นเพียงทุ่งโล่งกว้างธรรมดา ปัจจุบันถนนที่มีความยาวเพียง 1.9 กิโลเมตร เป็นหนึ่งย่านถนนที่มีค่าเช่าแพงที่สุดในโลกประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีต่อเนื้อที่ประมาณ 93 ตารางเมตร รวบรวมร้านค้าขายของระดับพรีเมียมไว้ครบแทบทุกแบนด์ระดับชั้นนำเลยทีเดียว แล้วแต่ละร้านบนถนนสายนี้ก็มีการตกแต่งอย่างมีสไตล์ สวยงามไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักช็อปปิ้ง หรือคนไม่ชอบช้อปมาถ่ายรูปบรรยากาศที่คึกคักทั้งกลางวันและยามค่ำคืน ก็คุ้มค่าแล้ว

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถ้าหอไอเฟลเป็นตัวเอกประเภทเคร่งขรึม พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์น่าจะเป็นตัวเอกประเภทร่ำรวยหรูหราและมั่งคั่ง จุดเด่นเริ่มจากพีระมิดแก้วขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าส่วนหนึ่งของโถงทางเข้า ผลงานของสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน “I.M. Pei” เผยโฉมครั้งแรกเมื่อปี 1988 และก็ไม่พ้นถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน ว่าพิระมิดแก้วแห่งนี้ดูทันสมัยไม่เข้ากับพิพิธภัณฑ์ที่มีอายุมากกว่า 800 ปีเลย แต่สุดท้ายที่นี่ก็กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของปารีสก็ว่าได้  

ภายในของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกมากถึง 480,000 ชิ้น และนำมาจัดแสดงงานศิลปะได้ครั้งละมากกว่า 35,000 ชิ้น ว่ากันว่าต่อให้ชมทุกชิ้นงานศิลปะเพียงแค่ชิ้นละ 10 วินาที ยังต้องใช้เวลามากถึง 96 ชั่วโมงถึงจะเดินชมงานศิลปะทั่วพิพิธภัณฑ์ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป อยู่ที่คนละ 17 ยูโร (ประมาณ 618 บาทไทย) อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าชมฟรี

สิ่งที่ไม่ควรพลาดใน พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อันดับแรกเลย ภาพวาดโมนาลิซาหญิงสาวที่มาพร้อมรอยยิ้มปริศนา ที่มีอารมณ์ราวกับมีชีวิต และสายตาของเธอเหมือนคอยจ้องมองเราอยู่ตลอดเวลาผลงานการวาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci)ภาพภาพวาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดภาพหนึ่ง ต่อมาคือภาพพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ ของจักรพรรดินโปเลียน ที่ 1 (Coronation of the Emperor Napoleon) ณ มหาวิหาร Notre Dame ซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมายุ 35 พระชันษา เป็นผลงานการวาดของ Jacque-Louis David ซึ่งใช้เวลากว่า 3 ปี ในการรังสรรค์ภาพที่แฝงไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ อีกทั้งยังถูกจัดแสดงในห้องเดียวกับภาพโมนาลิซาอันโด่งดังอีกด้วย

ประติมากรรมหินอ่อนแกะสลักรูปเทพีวีนัส (Venus De Milo)ปั้นโดยประติมากร Alexandros of Antioch แม้ชิ้นส่วนบางอย่างจะหายไป แต่ Venus De Milo ก็ยังคงความละเอียดอ่อนของงานศิลป์อย่างครบถ้วนนักท่องเที่ยวจึงนิยมมาขอพรความรักผ่านรูปปั้นนี้ เพราะเทพีวีนัส เป็นเทพีแห่งความรัก นั่นเอง

เทพีไนกี้แห่งซาโมเทรซ (Winged Victory of Samothrace) ประติมากรรมยุคกรีกเฮเลนิสติกที่แกะสลักจากหินอ่อน รูปปั้นนางฟ้ามีปีกบนเรือหินที่แสดงให้เห็นถึงรูปร่างอันสง่างาม ผสมกับความพริ้วไหวของเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์

โรงละครมูแลงรูจ (Moulin Rouge) ผู้ที่ชื่นชอบมิวสิเคิลแดนซ์ย่อมรู้จักโรงละครแห่งนี้เป็นอย่างดี เป็นหนึ่งในโรงละครคาบาเร่ย่านมงมาร์ต (Montmarte) ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของกรุงปารีส หลาย ๆ คนคุ้นหูกันจากชื่อของอันโด่งดังในยุค 90 อย่าง มูแลง รูจ (Moulin Rouge) ด้านหน้าของโรงละครมีสัญลักษณ์โดดเด่นอันเป็นที่จดจำของผู้คนคือกังหันลมสีแดง โดยคำว่า “มูแลง” (Moulin) ในภาษาฝรั่งเศสนั้นแปลว่า กังหัน ส่วนคำว่า “รูจ” (Rouge) ภาษาฝรั่งเศสออกเสียงว่า “คูจ” แปลว่าสีแดง ภายในโรงละครคาบาเร่มูแลง รูจมีการแสดงมิวสิเคิลแดนซ์ รวมถึงศิลปะการเต้นระบำแบบ “แคนแคน แดนซ์” หรือ ก็องก็อง  ด๊องซ์” (Cancan Dance) ที่นักเต้นบนเวทีจะใส่กระโปรงฟูฟ่องยาวๆ เตะขาสูง เต้นระบำไปตามจังหวะเพลงคล้ายการแสดงโชว์แบบคาบาเรต์ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดที่แม้คนที่ไม่ชื่นชอบมิวสิเคิล ก็ยังชอบกับแสงสีของที่นี่ และแสงสีแบบนี้ที่ทำให้ปารีสเป็นมหานครแห่งความโรแมนติก ถ้าสังเกตุคุณจะเห็นว่า ร้านค้าโดยมากจะประดับด้วยไฟแสงสีส้ม (Warm white) ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับชื่อ  มองแล้วรู้สึกสบายตา และยังช่วยสร้างความผ่อนคลาย ยิ่งวันไหนที่อากาศดีๆ แค่ได้เดินไปถนนของปารีสก็ทำให้รู้สึกอบอวลไปด้วยความโรแมนติด จนต้องเอ่ยปากว่า Je t’aime. Paris เฌอแตม ปารีส

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0