5 สถานที่ยุโรปที่ควรไปช่วงหน้าหนาว

Story by Vacationist

ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่เรียกได้ว่าอยู่ในแถบโซนเมืองร้อน ดังนั้นโอกาสที่เราจะได้เห็นหิมะนั้นจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้ว่าเราจะไม่มีหิมะ แต่เมืองไทยเราก็ได้ความสวยงามของอากาศที่ดีและท้องฟ้าแจ่มใสมาแทน ส่วนสำหรับใครที่ต้องการสัมผัสหิมะ ภาพของเมืองต่างๆ ในอีกฝั่งโลกที่ยุโรป น่าจะวิ่งลิ่วเข้ามาในใจของหลายคนเป็นแน่ ยุโรปมีหลายเมืองที่ฤดูหนาวหิมะตก แต่มีเมืองหลายเมืองที่สวยงามและน่าเดินทางไปท่องเที่ยว หากเหตุการณ์ของสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นเปิดประเทศเมื่อไหร่ แนะนำให้ไป 5 สถานที่นี้ก่อนเลย คุณไม่ผิดหวังแน่นอน

Jungfrau ยอดเขาจุงเฟรา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

Top of Europe คำเรียกขานของยอดเขาจุงเฟรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,000 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปอุณหภูมิบนยอดเขาจุงเฟราโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ -10 ถึง 9 องศาเซลเซียส และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ก่อนเดินทางไปให้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปด้วย แนะนำว่าอย่าลืมถุงมือและผ้าพันคอ และด้วยระดับความสูงขนาดนี้จึงทำให้มีอากาศหรือออกซิเจนเพียง 1 ใน 3 ของสภาพอากาศปกติดังนั้นเวลาเดินควรเดินอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้เหนื่อยหอบจนเกินไป เผลอๆ เป็นลมไปจะเที่ยวไม่สนุก แนะนำถ้ามีเวลาให้แวะพักที่เมืองอินเทอร์ ลาเคน (Interlaken) ก่อนซึ่งเป็นเมืองผ่านก่อนถึงจุงเฟรา เป็นเมืองที่น่ารักและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก

การเดินทางขึ้นไปยอดเขาจุงเฟรา เริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Interlaken OST โดยสามารถเลือกเดินทางได้ 2 เส้นทางนั่นก็คือ เส้นทางเมืองกรินเดลวาลด์ (Grindelwald) หรือทางเมืองเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) ไม่ว่าทางไหนก็จะไปพบกันที่ สถานีไคลน์ไซเด็ก (Kleine Scheidegg)แล้วไปขึ้นรถไฟสายกลาเซียร์ เอกซ์เพรส (Glacier Express)รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก พยายามเลือกที่นั่งด้านขวาของขบวนจะได้เห็นวิวของภูเขาหิมะสวยๆ แต่ถ้าไม่ได้ทางซ้ายวิวก็ไม่ได้เลวร้ายนัก รถไฟจะวิ่งไปตามเส้นทางที่ผ่านหมู่บ้านแสนน่ารัก อุโมงค์ สะพาน ทุ่งหญ้าและวิวธรรมชาติสวยงามแทบทุกฤดูกาล ก่อนจะขึ้นสู่สองสถานีที่เหลือโดยจะหยุดแวะพักเพียงสถานีละประมาณ 5 นาทีเท่านั้น คือสถานี Eigerwand (ฝั่งด้านเหนือของ ยอดเขา Eiger) และEismeer (ทางทิศใต้) และไปสิ้นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) อยู่ที่ความสูง 3,454 เมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงที่สถานีปลายทางเราสามารถท่องเที่ยวตามเส้นทางได้ตามใจชอบ

ไม่ว่าจะเป็น Jungfrau Panorama view จุดชมวิว 360 องศา หรือที่ต้องแวะเลยคือ จุดชมวิวSphinx Terrace ซึ่งมีความสูงถึง 3,571 เมตร บนหอคอยเราจะมองเห็นวิวของที่นี่ได้แบบ 360 องศา มองเห็นยอดเขาต่างๆ สลับซับซ้อนปกคลุมไปด้วยหิมะสวยงามหรือใครอยากเล่นหิมะ มีจุดเล่นหิมะ Aletsch สำหรับธารน้ำแข็ง Aletsch เป็นธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ยาวถึง 22 กิโลเมตร และหนา 700 เมตรโดยไม่เคยละลาย หรือไปชมถ้ำน้ำแข็ง (Ice Palace) เป็นถ้ำน้ำแข็งที่มีอายุกว่าพันปีที่ไม่มีวันละลาย เกิดจากการขุดเจาะใต้ธารน้ำแข็ง ลึกลงไป 30 เมตร ภายในจะมีผลงานศิลปะเป็นน้ำแข็งแกะสลักอยู่ตามจุดต่างๆ ให้เรามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน ส่วนใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์แนะนำ ไปที่จุด Alphine Sensation ที่บอกเล่าเรื่องราวการบุกเบิกการท่องเที่ยวยอดเขาจุงเฟราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งการสร้างทางรถไฟและอาคารบนเขาที่แสนยากลำบากและที่สำคัญ อย่าลืมซื้อของที่ระลึกหรือส่งโปสต์การ์ดให้คนที่คุณรักและคิดถึงได้จากร้านขายของที่ระลึกของยอดเขาจุงเฟรา และส่งที่ตู้ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้ด้วย

Amsterdam อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

แม้ว่าในช่วงฤดูหนาวบรรดาคูคลองต่างๆ ของอัมสเตอร์ดัมจะเงียบสงบต้นไม้จะดูแห้ง หิมะปกคลุมไปบ้าง แต่ช่วงฤดูหนาวเดือนธันวาคมแบบนี้ อัมสเตอร์ดัมก็มีงานเทศกาลที่สำคัญและตลาดคริสต์มาสที่ควรแก่การไปเยี่ยมเยือน ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นเดือนธันวาคมประมาณวันที่ 5ธันวาคม ชาวดัตช์จะมีการเฉลิมฉลองเทศกาลซินเทอร์คลาส (Sinterklaas หรือ St. Nicholas’ eva) ตามความเชื่อเซนต์นิโคลัสหรือซานตาคลอสในเวอร์ชันสำหรับเด็กๆ ชาวดัตช์นั้น คือ ชายร่างสูงที่มีหนวดเคราสูงจากสเปนที่ชื่อ Sinterklaas ซึ่งมาโดยเรือจากสเปน มาพร้อมกับผู้ช่วยเรียกว่า zwarte piet จะเป็นคนตัวสีดำ ที่ดำก็เพราะผงถ่านจากปล่องไฟ มาเพื่อเดินทางมามอบของขวัญให้กับเด็กๆ ในวันที่ 5 ธันวาคม โดยก่อนนอนเด็กชาวดัตช์ตั้งรองเท้าไว้ข้างเตาผิง เด็กคนไหนประพฤติดีก็จะได้ช็อกโกแลตและคุกกี้เครื่องเทศหลากหลายชนิดในวันที่ 25 ธันวาคม ก็มี Kerst (Christmas) เหมือนเดิมโดยจะฉลอง 2 วัน คือวันที่ 25 ธันวาคม (Eerste Kerstdag) ก็จะกินอาหารมื้อพิเศษ นำต้นสนมาตกแต่งประดับไฟคริสต์มาสให้สว่างไสว และแลกเปลี่ยนของขวัญกัน

ส่วนวันที่ 26 ธันวาคม (Tweede Kerstdag วันที่สองของวันคริสต์มาส) ชาวดัตช์ใช้วันหยุดประจำชาตินี้เพื่อเยี่ยมญาติหรือซื้อสินค้าโดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ปิดท้ายปีที่วันสุดท้ายของเดือนธันวาคม 31 ธันวาคมคือ “Oud en Nieuw” (เก่าและใหม่) เป็นช่วงเวลาเดียวที่จะมีการขายดอกไม้ไฟในอัมสเตอร์ดัมและการแสดงดอกไม้ไฟทั่วเมือง เป็นการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่มีการสังสรรค์กันทั่วทั้งเมือง

นอกจากนั้นช่วงฤดูหนาว เราจะเห็นจัตุรัสต่างๆ ของเมืองอัมสเตอร์ดัมปรับเปลี่ยนกลายเป็นตลาดคริสต์มาสมีสินค้าให้จับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุกสนานพิเศษสุดคือ ถ้าปีไหนที่อัมสเตอร์ดัม หนาวจัดมากพอที่จะเปลี่ยนคู คลอง เส้นทางน้ำเหล่านี้ให้กลายเป็นลานน้ำแข็งที่แข็งและหนามากพอ ทางเมืองก็จะเปิดให้เราสามารถลงไปเล่นสเกตน้ำแข็งที่คูคลองเหล่านี้ได้

Prague ปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

ในช่วงเวลาปกติภาพของสะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge) สะพานที่ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างฝั่งตะวันออก กับฝั่งตะวันตกของเมืองปรากก็สวยงามจนเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากอยู่แล้ว แต่ในช่วงฤดูหนาวสิ่งที่พิเศษคือ คุณไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้า เพื่อหลีกหนีนักท่องเที่ยวเพื่อไปถ่ายรปู สะพานชารล์ สท์ ี่ขึน้ ชื่อ เพราะแมว้ า่ คณุ ออกมาสาย ที่สะพานคนก็ยังไม่เยอะมากเท่าปกติ แถมคุณยังได้ภาพของสะพานที่มีหิมะสีขาวตกทับตามเส้นทาง พร้อมทั้งมีแสงสลัวของโคมไฟที่อยู่ตลอดแนวบวกสถาปัตยกรรมที่งดงามไปด้วยปราสาทเก่าแก่ จนได้รับฉายาว่าเป็นอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมยุโรป

ภายใต้หิมะโปรยปรายยังทำให้ที่นี่สวยงามราวกับเมืองในเทพนิยายข้อดีต่อมาคือ ที่พักค่อนข้างจะถูก ราคาที่พักช่วงหน้าหนาว บางที่ราคาลดลงกว่าครึ่งของฤดูกาลท่องเที่ยว แถมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ผู้คนก็ไม่ได้คับคั่งและพลุกพล่าน ไม่ต้องรอนานกว่าจะได้โต๊ะที่ร้านอาหารยอดนิยม เพียงแค่คุณเตรียมอุปกรณ์กันหนาวแบบอุ่นๆ คุณก็สามารถท่องเที่ยวไปในเมืองแสนโรแมนติกแห่งนี้ได้อย่างสบายอ

ย่าลืม แวะเที่ยวตลาดคริสต์มาสสไตล์โบราณสวยงามและมีชีวิตชีวาอีกแห่งที่จัดบริเวณไม่ไกลจากจัตุรัสเวนเซสลาส (Wenceslas) จะเห็นพ่อค้าออกมาตั้งบูทขายอาหารและเครื่องดื่มท้องถิ่น อย่าง แฮมหรือไส้กรอกย่าง เค้กสไตล์เช็ก ไวน์น้ำผึ้ง เหล้าเจือจางด้วยน้ำ (grog) และช็อกโกแลตร้อน หรือจะเลือกซื้อสินค้าที่ทำด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นของเล่นไม้ งานศิลปะ งานฝีมือ คุณสามารถหาของขวัญของฝากคริสต์มาสสำหรับคนที่รักแบบสุดพิเศษได้จากที่นี่ นอกจากนั้นก็ยังมีการแสดงเต้นรำและการแสดงศิลปะเพื่อความบันเทิงอันหลากหลายให้คุณได้เพลิดเพลินจนลืมความหนาวกันเลยทีเดียว

Berlin เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

ภาพแห่งความอึมครึม เคร่งขรึมของเมืองเบอร์ลินในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกปกคลุมอาคาร เปลี่ยนเป็นความสดใส สวยงามและรื่นเริงทันที ในช่วงยามเทศกาลฤดูหนาวอย่างคริสต์มาส ที่มีการประดับประดาแสงไฟตามต้นไม้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพูดถึงตลาดคริสต์มาส (Christmas Market) ตลาดนัดขายของที่ใหญ่ที่สุดและน่าประทับใจที่สุดอย่างเกนดาร์เมนมาร์ก (Gendarmenmarkt Christmas Market) ของเบอร์ลินย่อมวิ่งลิ่วมาอันดับหนึ่งเป็นแน่แท้ตลาดนัดคริสต์มาสโดยมากจะจัดขึ้น 4 สัปดาห์ก่อนวันเทศกาลคริสต์มาสถึงประมาณวันที่ 20 ธันวาคมยกเว้นในเมืองใหญ่ๆ ที่จะลากยาวไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งในช่วงนี้เองที่เยอรมนีจะมีตลาดแบบนี้อยู่ทั่วทุกเมืองแต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือที่มิวนิกและเบอร์ลินแห่งนี้ช่วงปีทีผ่ ่านมาเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการยกเลิกการจัดตลาดนัดตั้งแต่ปลายปี 2021 นี้ ได้มีประกาศจัดขึ้นอีกครั้งระหว่างวันที่ 22 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2021

โดยบริเวณที่จัดตลาดนัดก็คือ ด้านหน้าของอาคารประวัติศาสตร์ที่จัตุรัสเกนดาร์เมนมาร์ก (Gendarmenmarkt) จัตุรัสที่สวยงามที่สุดในเบอร์ลินนั่นเอง ภายในงานก็จะมีบูทขายสินค้าแฮนด์เมดแบบดั้งเดิม งานศิลปะที่ทำจากกระจก สินค้าที่เกี่ยวกับวันคริสต์มาส เช่น ตุ๊กตาเครื่องประดับที่สำหรับห้อยตกแต่งต้นคริสต์มาสแถมยังมีร้านขายอาหารเยอรมัน ออสเตรีย และบาวาเรียจานเด็ด กลิ่นหอมชวนชิมให้เลือกอร่อยมากมาย นอกจากนี้ยังสามารถดื่มโกโก้ร้อนหรือนั่งจิบไวน์ผสมเครื่องเทศในแก้วใส (Mulled Wine) แกล้มด้วยขนมสูตรโบราณแสนอร่อยก ็น่าสนใจไม่เบา แม้ว่าไวน์ในเทศกาลจะแพงกว่าปกติบ้าง แต่ให้ราคาที่เกินมา ถือเป็นค่ามัดจำแก้ว(Mug) ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับเทศกาลคริสต์มาสโดยเฉพาะ ก็เรียกว่าคุ้ม ซึ่งแก้วนี้คุณจะเอาไปคืนหรือเก็บไว้ก็ได้

Hallstatt ฮัลล์สตัทท์ ประเทศออสเตรีย

ฮัลล์สตัทท์ เมืองเล็กริมทะเลสาบมีหุบเขาโอบล้อมเป็นเมืองที่เหมาะกับฤดูหนาวที่ลัดแถวเข้ามานำเสนอให้กับทุกคนที่ชื่นชอบความเงียบสงบ ต้องการดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ในบรรยากาศที่แสนโรแมนติกท่ามกลางธรรมชาติ ที่นี่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก จากด้านเหนือจรดด้านใต้คุณเดินเล่นแบบชิลๆ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีเท่านั้นหากคุณมาในช่วงเวลาท่องเที่ยว อาจจะเจอกับผู้คนคึกคักมากมาย แต่ในช่วงหน้าหนาวที่เรียกได้ว่า Low Season ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักความสงบเลยทีเดียว

แม้ว่าร้านขายของที่ระลึกเปิดบ้างประปราย แต่คุณสามารถเดินถ่ายรูปเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวที่ไร้ผู้คนได้อย่างสบาย เราแนะนำให้ค้างสักคืน แล้วคุณจะเห็นว่าความไม่มีอะไรที่ใครพูดกันนั่นไม่จริงเลย ยามที่ตะวันเริ่มลับ แสงสีเหลืองทองทาทับกับขุนเขาและท้องทะเลที่เป็นสีขาวเสียส่วนใหญ่ สวยงามระยิบระยับพอแสงลาลับ ความมืดเข้ามาปกคลุม บ้านเล็กบ้านน้อยตามไหล่เขาก็จะเริ่มเปิดไฟ สวยงามมากๆข้อดีอย่างหนึ่งของการค้างคืน คือ จะมีช่วงเวลาพิเศษที่คุณได้ดื่มด่ำกับเมืองในช่วงที่ผู้คนบางตา เมืองเงียบสงบและได้สัมผัสกับวิถีชีวิต ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้อย่างเต็มที่ และตื่นมาพร้อมกับความสวยงามของเมืองที่เปิดรับเราในยามเช้า เราคิดว่า ฮัลล์สตัทท์ในช่วงฤดูหนาวไม่ได้หนาวและเงียบจนทำให้เราเหงาแต่สงบและช่วยเยียวยาจิตใจได้จริงๆ

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0