TBILISI… The Pearl of Caucasus ทบิลิซี…ไข่มุกแห่งคอเคซัส

Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง

หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่เริ่มฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นประเทศจอร์เจีย (Georgia) ดินแดนสุดขอบแห่งทวีปเอเชีย

ฉันเองก็เพิ่งได้ไปสัมผัสดินแดนที่น่าค้นหาแห่งนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาหลังจากที่มีภาพถ่ายสวยๆ และเรื่องเล่าผ่านหูผ่านตาจากเพื่อนนักเดินทางหลายๆ คน เมื่อมีโอกาสก็ชวนเพื่อนซี้ที่ตะลอนทัวร์ด้วยกันมาหลายประเทศแบกเป้ไปเยือนจอร์เจียด้วยตัวเองกันสักครั้ง

ตอนแรกที่บอกใครๆ ว่ากำลังจะไปเที่ยวจอร์เจีย ก็มีคำถามตามมามากมายว่า
“ไปทำไม มีอะไรน่าสนใจเหรอ”
“อันตรายไหม ที่นั่นยังมีสงครามกับรัสเซียอยู่หรือเปล่า”
“จะไปประเทศจอร์เจีย หรือไปเที่ยวรัฐจอร์เจียในอเมริกานะ” หรือแม้แต่ประโยคที่ว่า
“อยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ไม่เห็นรู้จักเลย”

คำถามเหล่านั้นล้วนทำให้ฉันยิ่งตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะดูเหมือนว่าที่นั่นมีอะไรใหม่ๆ ให้ได้ไปทำความรู้จักและประสบการณ์มากมายได้มาแชร์กันเริ่มต้นการเดินทางกันที่เมืองทบิลิซี (Tbilisi) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

ฉันไม่ได้รู้จักทบิลิซีมากไปกว่าเป็นเมืองเก่าที่มีอายุกว่า 1,700 ปี และตั้งใจใช้เวลาค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับเมืองนี้ สัก 2-3 วัน โดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับที่นี่มากนัก แต่เมื่อมาถึง ฉันกลับรู้สึกหลงใหลและถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเพราะมีสถาปัตยกรรมคล้ายๆ ทางยุโรป แต่ก็แปลกตาในความผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งแบบยุโรป รัสเซีย และเอเชียตะวันออกกลางเข้าด้วยกัน

เมืองทบิลิซี สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 และนับเป็นชุมชนชาวคริสเตียนที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลย ชื่อเมืองทบิลิซี แปลว่าที่ตั้งอันอบอุ่น ซึ่งมีที่มาจากน้ำพุกำมะถันที่ผุดพุ่งขึ้นมาจากพื้นที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำคูรา (Kura) หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่าแม่น้ำมิทควารี (Mtkvari) แม่น้ำสายหลักของประเทศที่ไหลผ่านหุบเขาและแบ่งตัวเมืองออกเป็นสองฝั่ง

มีเรื่องเล่าว่ากษัตริย์วาคตัง จอร์กาซาลี (Vakhtang Gorgasali) แห่งประเทศจอร์เจีย ได้พบเจอเมืองนี้โดยบังเอิญขณะที่พระองค์เสด็จฯ ไปล่าสัตว์พร้อมกับนกอินทรีคู่ใจ วันนั้นพระองค์ทรงล่าไก่ฟ้าได้ และไก่ฟ้าตัวนั้นได้ตกลงมาตายในบริเวณที่มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ พระองค์ประทับพระทัยในสถานที่แห่งนั้นเป็นพิเศษ จึงได้สั่งให้สร้างเมืองขึ้นมา

จนกระทั่งเมื่อพระโอรสของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองมิชเคตา (Mtskheta) ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 25 กิโลเมตรมาอยู่ที่ทบิลิซี เริ่มต้นสำรวจตัวเมืองเก่าของทบิลิซี (Old Tbilisi) กันที่ Vakhtang Gorgasali Moedani จัตุรัสกลางเมืองเก่าที่รายล้อมด้วยบ้านเรือน สไตล์จอร์เจียนแบบโบราณ มีชื่อเสียงที่เน้นประโยชน์ใช้สอยจากระเบียงไม้ฉลุด้านนอกที่สวยงามและมีสไตล์ เป็นจุดรวมนักท่องเที่ยวของทบิลิซีเลยทีเดียว

และด้วยความที่เมืองทบิลิซีมีบ่อน้ำพุร้อนเป็นจำนวนมาก ภายในเมืองจึงมีโรงอาบน้ำร้อน (Sulphur bath) ให้บริการหลายแห่ง บางสถานที่เปิดให้บริการมานานหลายร้อยปี มีทั้งห้องแบบรวมและห้องส่วนตัว ว่ากันว่าน้ำพุร้อนที่นี่มีแร่ธาตุหลายอย่าง มีคนนิยมมาอาบกันจำนวนมาก เชื่อกันว่าช่วยกำจัดของเสียตามผิวหนังและทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง บอกเลยน่าเสียดายที่กำลังปิดปรับปรุงเลยไม่มีโอกาสได้ไปลองใช้บริการ

จากนั้นเราเริ่มเดินตามถนน Rustaveli ไปเรื่อยๆ จนสุดถนน ระหว่างทางมีอาคารสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสมัยใหม่ และสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย ได้แก่ โรงละครแห่งชาติจอร์เจีย (Georgian National Opera and Ballet Theater) อาคารรัฐสภาแห่งจอร์เจีย (Sakartvelos Parlamenti) พิพิธภัณฑสถานจอร์เจีย (Georgian National Museum)

ไปจนถึง Liberty Square (Freedom Square) จัตุรัสใหญ่กลางเมืองที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่จอร์เจียยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ทางใต้ของจัตุรัสเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมือง (Tbilisi City Hall) ผ่านถนน Shardeni ที่มีร้านอาหารเก๋ๆ คาเฟ่ บาร์และดนตรีสดให้ฟังเยอะแยะไปหมด

เดินทอดน่องชมเมืองไปเรื่อยๆ เราสนุกกับการเข้าตามตรอกซอกซอย

ตื่นตาตื่นใจไปกับบ้านเรือนและอาคารเก่า

เราเดินต่อไปยังสะพานสันติภาพ (The Bridge of Peace) ที่พาดผ่านแม่น้ำคูราเพื่อข้ามไปยังย่านเมืองใหม่ (New Tbilisi) เป็นสะพานคนเดินสไตล์โมเดิร์น ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2010 มีความยาวประมาณ 150 เมตร

ถือเป็นสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่มีความสวยงามชิ้นหนึ่งของประเทศจอร์เจีย โดยเฉพาะในเวลากลางคืนจะมีการเปิดไฟและแสงสีที่สวยงาม

เราเดินไปเรื่อย จนถึงตลาดเก่าชื่อว่า Dry bridge ซึ่งมีของให้ได้ชมหลากหลายมาก

ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน เสื้อผ้า เครื่องประดับ กล้องถ่ายรูป ภาชนะ ทองเหลือง โคมไฟ เดินเล่นเรื่อยๆ ได้เป็นชั่วโมง

ผ่านตลาดสด ตลาดดอกไม้

และย่านที่อยู่อาศัยสองข้างทางจะเห็นขนมหวานพื้นบ้านที่มีลักษณะเป็นแท่งปลายแหลมแขวนขายอยู่เต็มไปหมด เรียกว่า Churchkhela

ทำจากองุ่นกวนมีไส้ถั่วต่างๆ ชุบด้วยน้ำองุ่น หรือน้ำผลไม้อื่นๆ ลองชิมดูก็ไม่ใช่รสชาติขนมหวานที่ถูกใจนัก มุ่งหน้าต่อไปยังโบสถ์ทรินิตี้เมืองทบิลิซี (Holy Trinity Cathedral of Tbilisi) หรือที่รู้จักโดยทั่วไปว่ามหาวิหารซาเมบา (Sameba)

สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1995-2004 ที่นี่เป็นมหาวิหารที่สำคัญที่สุดของประเทศและเป็นโบสถ์ออร์ทอดอกซ์ที่สูงเป็นอันดับสามของโลก ด้วยขนาดที่ใหญ่มากๆ ทำให้เรามองเห็นโบสถ์แห่งนี้ได้จากระยะไกลและจากเกือบทุกมุมของเมือง ภายในโบสถ์จะมีทั้งส่วนที่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้โดยไม่ใช้แฟลช และส่วนที่ถ่ายภาพไม่ได้ ดังนั้นควรระมัดระวังสังเกตอ่านป้ายและข้อกำหนดต่างๆ ให้ดี

จากนั้นก็เดินมาเที่ยวต่อที่โบสถ์เมเตคี (Metekhi Cathedral) ที่มีอายุ เก่าแก่กว่า 800 ปี สร้างในศตวรรษที่ 12 เพื่ออุทิศให้กับพระแม่มารี ตั้งโดดเด่นอยู่บนหน้าผาเหนือแม่น้ำคูราและอยู่ตรงข้ามกับเขตเมืองเก่า

นอกจากความเก่าแก่และความสวยงามของโบสถ์แล้ว อีกจุดที่น่าสนใจคือเป็นจุดชมเมืองและถ่ายภาพเมืองทบิลิซีที่สวยงามมากจุดหนึ่ง

ที่นี่ยังมีรูปปั้นของกษัตริย์วาคตัง จอร์กาซาลี ผู้ก่อตั้งเมืองนี้ด้วยสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1958 เพื่อเฉลิมฉลองเมืองทบิลิซี อายุครบ 1,500 ปี

สะท้อนถึงจิตวิญญาณของชาวจอร์เจีย มือหนึ่งถือดาบ ส่วนอีกข้างหนึ่งถือไวน์ สื่อความหมายว่าหากศัตรูมาก็พร้อมที่จะต่อสู้ แต่ถ้ามาเยือนด้วยมิตรไมตรีแล้ว ชาวจอร์เจียจะต้อนรับอย่างอบอุ่น และอิ่มหน่ำสำราญ

ปัจจุบันบนป้อมนาริกาลานี้เป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองที่สวยงามมาก สามารถมองเห็นเมืองทบิลิซีได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตกดิน เราขึ้นไปนั่งเล่นชมวิวบนนั้นเกือบทุกวัน

สำหรับคนที่ไม่ถนัดเดินขึ้นเขาก็สามารถขึ้นมาด้วยการนั่งกระเช้าลอยฟ้า (Aerial Tramway) จากสถานีที่สวน Rike ใกล้ Europe Square

มาถึงจอร์เจียแล้วต้องไม่พลาดชิมคินกาลิ (Khinkali) อาหารท้องถิ่น เกี๊ยวลูกใหญ่ที่ห่อด้วยไส้ต่างๆ เช่น ไส้เนื้อวัว หมูบด ผัก และน้ำซุป คล้ายกับเสี่ยวหลงเปาบ้านเรา แต่ลูกใหญ่และแป้งหนากว่ามาก รสชาติกลมกล่อม อร่อยติดใจ จนต้องสั่งมากินเกือบทุกมื้อ ที่จอร์เจียเลย

ระยะเวลา 3 วันในเมืองทบิลิซี ทำให้ที่นี่ขึ้นแท่นเป็นเมืองอันดับหนึ่งในใจแห่งปี ด้วยบรรยากาศเมืองเก่าสุดขลังที่ความทันสมัยเริ่มเข้ามาปะปนอย่างลงตัว วัฒนธรรมที่ผสมผสาน

ค่าครองชีพที่ยังไม่แพงมากและมีอาหารที่ถูกปากคนไทย ชาวจอร์เจียแม้จะหน้าดุ แต่ใจดีมีน้ำใจ จนอยากแนะนำใครๆ ให้ไปเยือนประเทศจอร์เจีย ไข่มุกแห่งดินแดนคอเคซัสกันดูสักครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม
-จอร์เจียเป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า โดยสามารถพำนักได้นานถึง 365 วัน
– การเข้าชมโบสถ์ต่างๆ ของประเทศจอร์เจีย ผู้หญิงทุกคนต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะ จึงแนะนำให้เตรียมผ้าคลุมของตัวเองไปด้วยหรือตามโบสถ์ใหญ่ๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักก็จะมีผ้าคลุมให้ยืมตรงทางเข้าโบสถ์

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0