Montenegro : The Hidden Gem of Europe – มอนเตเนโกร…ความงามที่ซ่อนอยู่
Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง
ถ้าถามถึงประเทศมอนเตเนโกร หลายคนอาจจะคุ้นชื่อประเทศนี้จากกีฬาฟุตบอล หรือในฐานะเมืองตากอากาศของเหล่าเศรษฐีและเซเลบริตี้คนดัง
แต่หากถามว่าประเทศนี้ตั้งอยู่ส่วนไหนบนแผนที่โลก คงมีจำนวนไม่เยอะที่ทราบคำตอบ ยิ่งสำหรับนักเดินทางชาวไทยแล้ว ประเทศมอนเตเนโกรอาจจะแทบไม่เคยอยู่ในสายตา
ฉันเป็นประเภทชอบมองหาจุดหมายปลายทางแปลกใหม่ในชีวิต แต่ละปีจะคอยมองหาที่หมายใหม่ๆ ให้ตัวเอง ฉันแอบเก็บประเทศชื่อแปลกนี้ไว้ในลิสต์มาหลายปี
จนเมื่อมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวประเทศโครเอเชีย จึงขอพ่วงหาโอกาสไปทักทายมอนเตเนโกรด้วย และฉันก็เพิ่งสังเกตตัวเองว่า มักมีอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติ
ทุกครั้งที่ต้องเดินทางข้ามประเทศทางรถ เช่นเดียวกับการเดินทางครั้งนี้จากเมืองดูบรอฟนิค ประเทศโครเอเชีย สู่เมืองกอเตอร์ (Kotor) ประเทศมอนเตเนโกร
รถบัสวิ่งเลาะเลียบชายทะเลอะเดรียติก (Adriatic) ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งก็มาถึงเมืองจุดหมายปลายทาง ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากเมืองดูบรอฟนิค ประเทศโครเอเชีย เพียงสองชั่วโมงครึ่งโดยรถบัสประจำทางเท่านั้น สถานีรถประจำทางเมืองกอเตอร์อยู่ไกลจากย่านเมืองเก่าพอสมควร
ด้วยสัมภาระที่พะรุงพะรังและมาถึงในยามวิกาล ฉันตัดสินใจเรียกแท็กซี่ไปส่งยังโรงแรมที่จองไว้ในย่านเมืองเก่า เพียง 5 นาทีก็ได้เช็กอินเข้าพักผ่อนในโรงแรม
มอนเตเนโกรเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากร 6 แสนกว่าคน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศโครเอเชียและประเทศบอสเนีย เฮอร์เซโกวีนา ความจริงแล้วฉันก็ไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศมอนเตเนโกรเท่าไร
เริ่มรู้จักประเทศนี้ก็ตอนที่ชาวโลกได้ประกาศต้อนรับเป็นประเทศน้องใหม่ที่เกิดจากการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกเมื่อประมาณสิบปีมานี้เอง (แยกตัวออกมาจากประเทศเซอร์เบียเมื่อปี 2006)
และเริ่มได้แรงบันดาลใจจากโปสการ์ดใบสวยจากรุ่นน้องแบ็กแพ็กเกอร์ชาวอังกฤษที่ส่งมาหาพร้อมข้อความสั้นๆ ว่า “ฉันคิดว่าที่นี่เหมือนอัญมณีที่ซ่อนอยู่ในยุโรป อยากให้เธอมานะ เพราะฉันคิดว่าเธอต้องชอบที่นี่มากๆ เลย”
ปีนกำแพงชมเมืองกอเตอร์ (Climb up the Kotor City Wall)
กอเตอร์ เป็นเมืองโบราณอายุสองพันกว่าปีตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน ตัวเมืองขนาดไม่ใหญ่มีประชากรประมาณ 13,000 คน และมีทำเลที่น่าอิจฉามาก ด้านหน้าติดอ่าวกอเตอร์ (Bay of Kotor) ซึ่งเว้าเข้ามาจากทะเล ด้านหลังเป็นภูเขาสวยงาม
กอเตอร์เป็นเมืองชายฝั่งทะเลที่สำคัญในอดีต เป็นศูนย์กลางการค้าตั้งแต่สมัยเวนิซ ชาวเมืองจึงสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการล้อมรอบเพื่อป้องกันการโจมตีของศัตรู
ปัจจุบันกำแพงเมืองเก่ากอเตอร์ยังอยู่และสมบูรณ์มาก มีความยาวรวมกัน 4.5 กิโลเมตร
ไฮไลต์สำคัญที่นักท่องเที่ยวควรไปเยือน คือการปีนกำแพงขึ้นไปชมทิวทัศน์อันสวยงาม เดินไปยังด้านหลังของตัวเมืองเก่าจะเจอทางขึ้นกำแพงเมือง ที่เปิดตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. ค่าขึ้นชมคนละ 3 ยูโร มีบันไดกว่า 1,350 ขั้นสร้างเลื้อยขึ้นไปบนเขา
ฉันค่อยๆ เดินไต่กำแพงขึ้นไปพร้อมๆ กับนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งในตอนเช้าที่แดดยังไม่แรงจัด สภาพทางเดิน ขึ้นเขาปูหินอย่างดีทำให้เดินง่าย อาจจะมีบางช่วงที่ขรุขระหรือชำรุดบ้าง เพียงเพิ่มความระมัดระวัง และเบี่ยงให้นักท่องเที่ยวที่เดินสวนลงมา แบ่งทางกันไป
พร้อมแบ่งวิวสวยๆ กันชื่นชม มองลงมาดูด้านล่าง จะเห็นหลังคาของบ้านเรือนในเขตกำแพงเมืองเก่าสีส้มสวยงาม ส่วนอาคารสมัยใหม่จะพบเห็นได้ด้านนอกกำแพงเมืองเก่าเท่านั้น ยิ่งเดินสูงขึ้นไป
แล้วหันกลับมามองจะเห็นอ่าวกอเตอร์สวยงามมากขึ้น สักพักจะผ่านโบสถ์ขนาดเล็กที่มีชื่อว่า Church of Our Lady of Health ที่มีจุดชมวิวด้านหน้าดูเหมือนเป็นจุดยอดนิยมในการถ่ายภาพ
แต่จุดที่ฉันคิดว่าถ่ายภาพได้สวยที่สุดคือเดินเลยโบสถ์ขึ้นไปอีกหน่อยแล้วถ่ายย้อนลงมา เพราะมีระดับความสูงพอที่จะเห็นทั้งหลังคา บ้านเรือนสีส้ม แผ่นน้ำสีฟ้า และทิวเขาสีเขียว งดงามเหมือนในภาพโปสการ์ดที่เคยได้รับ
ฉันค่อยๆ เดินขึ้นไปเพลินๆ จนถึงจุดสูงสุด ภาพกอเตอร์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้างดงามเป็นรางวัลสมนาคุณสำหรับนักขยันเดิน ตอนอยู่ข้างล่างยังรู้สึกว่าเรือสำราญมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับรถยนต์ แต่เมื่อมองจากบนนี้แทบจะไม่ใหญ่เลยเมื่อเทียบกับภูเขาอลังการเบื้องหน้า ทำให้ฉันได้รู้ว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน มนุษย์เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนโลกนี้เท่านั้น
เมื่อได้มานั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มันทำให้เรารู้จักถ่อมตัวและลดอีโก้ในตัวเองลงไปได้มาก นั่งพักผ่อนจนหายเหนื่อยและอิ่มใจกับภาพความงามของธรรมชาติเบื้องหน้าแล้ว ก็ค่อยๆ เดินไต่เขากลับลงมายังย่านเมืองเก่า
เดินทอดน่องชมเมืองเก่ากอเตอร์ (A walk through Kotor Old Town)
ด้วยความเก่าแก่และความหลากหลายของสถาปัตยกรรมโบราณ ซอกซอยเมืองเก่าของกอเตอร์จึงมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด ชวนให้ออกไปเดินสำรวจ ความจริงแล้วเขตเมืองเก่าที่นี่มีขนาดเล็ก เดินเพียงสองชั่วโมงก็ทั่วถึง
แต่ฉันเดินเพลินวนไปหลายรอบ เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ สิ่งปลูกสร้างที่นี่ยังสมบูรณ์มาก ถือเป็นเมืองเก่าแก่ที่อนุรักษ์ไว้อย่างดีอีกเมืองหนึ่งของโลก จนได้รับการยกย่องเป็นเมืองมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) มาตั้งแต่ปี 1979 ปัจจุบันกอเตอร์กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของมอนเตเนโกร
ได้ยินว่าช่วงฤดูร้อนจะมีเรือสำราญขนาดใหญ่ที่ล่องไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลอะเดรียติก แวะมาจอดทอดสมอริมกำแพงเมืองเก่าอย่างคับคั่ง เพื่อพาลูกทัวร์เดินเล่นเมืองเก่าตั้งแต่สายๆ ไปจนถึงเย็นย่ำเกือบทุกวันคนที่นี่จึงคุ้นเคยกับการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
แม้ในช่วงที่ฉันไปเยือนจะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทอดน่องอยู่ตามตรอกซอกซอย ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า กอเตอร์กำลังเป็นจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรงในหมู่นักเดินทาง
ในตัวเมืองเก่ามีโบสถ์อยู่หลายแห่ง แต่โบสถ์ที่นักท่องเที่ยวตามหาคือ โบสถ์เซนต์ลุค (St.Luke’s Church) โบสถ์เล็กๆ แต่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างโรมาเนสก์กับไบแซนไทน์ที่สร้างตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12
ติดกันคือโบสถ์เซนต์นิโคลัส (St.Nicolas Church) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตเมืองเก่าของกอเตอร์
และโบสถ์เซนต์ไทรฟอน (Cathedral of Saint Tryphon) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิกที่มีบิชอปประจำอยู่และดูแลพื้นที่แถบทะเลอะเดรียติกทั้งหมดด้วย
บริเวณเมืองเก่ายังมีพระราชวังเก่าหลายแห่ง แต่ละแห่งขนาดไม่ใหญ่โต
และถูกเปลี่ยนสภาพเป็นโรงแรมบ้าง คาเฟ่ ร้านอาหาร หรือร้านขายของที่ระลึกบ้าง พิพิธภัณฑ์บ้าง
แม้อาคารบ้านเรือนจะเก่าแก่มาก แต่ร้านค้าและร้านอาหารข้างในส่วนใหญ่มีความทันสมัย
ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์แมวที่จัดแสดงสิ่งของที่เกี่ยวกับแมว แม้ไม่ได้เข้าไปชมด้านใน
แต่ก็สังเกตได้ว่ากอเตอร์มีแมวเยอะมาก เดินไปทางไหนก็จะเจอแมวตลอด กลายเป็นขวัญใจนักท่องเที่ยว
บางตัวเป็นขวัญใจช่างภาพ น่าจะเป็นที่ถูกใจสำหรับคนรักแมว
ออกจากกำแพงเมืองเก่า ฉันขึ้นรถบัสจากหน้าทางเข้าเมืองเก่าไปยังเมืองเปราสต์ (Perast) ซึ่งห่างจากเมืองกอเตอร์เพียงครึ่งชั่วโมง
เมืองโบราณขนาดเล็กที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐเวนิซมายาวนานเกือบ 400 ปี ศิลปะภายในเมืองส่วนใหญ่เป็นสไตล์เวนิซที่สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทางทะเลและการเดินเรือ
จุดหมายคือการไปชมเกาะเล็กๆ กลางอ่าวกอเตอร์ ที่สร้างขึ้นในปี 1632 โดยชาวเวนิซ
บนเกาะมีโบสถ์เล็กๆ ที่ชื่อว่า Our Lady of the Rocks ตามตำนานเล่าว่า ขณะที่ชาวประมงสองพี่น้องกำลังหาปลาอยู่นั้น ก็พบรูปภาพที่วาดโดย Lovro Dobricevic ติดอยู่บนโขดหิน และกล่าวว่า ถ้าทุกครั้งที่พวกเขากลับมาจากการออกเดินเรือได้อย่างปลอดภัย เขาจะโยนก้อนหินลงทะเลทุกครั้ง และเขาก็ได้โยนหินลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นเกาะขึ้นมา
และภายหลังก็ได้สร้างโบสถ์ขึ้นให้เป็นเหมือนอนุสาวรีย์ที่ช่วยปกป้องรักษาชาวเมืองให้รอดชีวิตจากภัยพิบัติและอุบัติเหตุต่างๆ ภายในมีห้องเก็บของขวัญที่ชาวเมืองนำมาถวายให้กับพระแม่มารีย์ เช่น ถ้วยชาม ของใช้ในบ้าน ภาพวาด
ฉันชอบเปราสต์มาก เมืองที่มีสายน้ำอยู่ด้านหน้า ทิวเขาโอบเมืองอยู่เบื้องหลังงดงามเหมือนภาพวาด
ฉันนั่งชมบรรยากาศริมน้ำจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก่อนเดินทางกลับไปยังกอเตอร์
เมื่อถึงเวลาบอกลา เพื่อนใหม่ชาวมอนเตเนโกรขับรถไปส่งฉันที่สนามบินในเมืองหลวง Podgorica ผ่านวิวทะเลสวยๆ ของเมืองบุดวา (Budva) และทะเลสาบหลายแห่ง พร้อมตัดพ้อว่าฉันมีเวลาให้มอนเตเนโกรน้อยเกินไป
ซึ่งฉันก็ยอมรับในภายหลังว่า ประเทศเล็กๆ บนแผนที่โลกที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนี้มีอะไรน่าสนใจมากมาย ฉันรู้แล้วว่าตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ ที่ดั้นด้นมาที่นี่ ได้ดื่มด่ำความงดงามของธรรมชาติจนฉ่ำปอด พร้อมให้สัญญากับเพื่อนว่าจะกลับมาเยือนมอนเตเนโกรอีกครั้ง