Touch of Nature Yamagata & Sendai – สัมผัสแห่งธรรมชาติ ที่ยามากาตะ และเซนได ตอน 1

Story & Photo by Orawan

“อรุณแรก แห่งกาสิก ขอต้อนรับ”

เป็นประโยคที่ตัวละครหลักจากนวนิยายชื่อดังเรื่อง “ดั่งดวงหฤทัย” อย่างเจ้าหลวงรังสิมันต์ แห่งแคว้นกาสิกได้กล่าวกับ เจ้าฟ้าหญิงทรรศิกาแห่งพันธุรัฐ

เช่นเดียวกันกับเช้านี้ความงดงามของธรรมชาติแห่งเมืองยามากาตะ (Yamagata) ก็กล่าวต้อนรับเราไม่ต่างกัน

เรารู้สึกอบอุ่นมากขึ้นอีก ยามที่นั่งสอดขาเข้าไปในโต๊ะโคทัตสึ (Kotatsu) ของเรือล่องแม่น้ำโมกามิโต๊ะที่มีผ้าคลุมไว้ ใต้โต๊ะก็ติดเตาหรือเครื่องทำความร้อน และรู้สึกเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย

การล่องเรือนี้มีบริการอาหารกลางวันด้วยเป็นข้าวกล่องรสชาติดีทีเดียว

ยามที่ได้รับประทานอาหารไปพร้อมกับฟังเสียงอันไพเราะของไกด์ที่ขับกล่อมบทเพลงยามที่เรือล่องไปตามกระแสน้ำของแม่น้ำโมกามิ (Mogami-Kawa) แม่น้ำสายหลักของยามากาตะ ก็เพลินดีไม่ใช่น้อย

กิจกรรมล่องเรือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ยอดนิยมหากคุณได้มาเมืองยามากาตะเพราะตลอดเส้นทางล่องเรือที่เดิมถูกใช้เป็นเส้นทางคมนาคมนำเรือขนส่งเอาข้าวเป็นผลผลิตหลักของยามากาตะไปขายนั้นเต็มไปด้วยความสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล

ไม่ว่าจะเป็นสีชมพูหวานของดอกซากุระในช่วงใบไม้ผลิ ภาพสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงหรือภาพสีขาวของหิมะที่กำลังปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณในยามฤดูหนาวเช่นนี้

ความงดงามของแม่น้ำสายนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครดังอย่างโอชิน และละครเรื่องดั่งดวงหฤทัยของไทยเราอีกด้วย

หลังจากล่องเรือแล้วฉันเดินทางต่อไปยังกินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen)

สำหรับนักท่องเที่ยวภาพแสงไฟสีเหลืองอร่ามของโคมไฟตะเกียงก๊าซตัดกับความมืดสีดำยามพลบค่ำบวกกับความงดงามของอาคารบ้านเรือนที่บางหลังมีอายุกว่า 100 ปีให้บรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมต่างดึงดูดผู้คนให้เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้

แต่สำหรับคนญี่ปุ่นเองนอกจากความสวยงามแล้ว น้ำแร่ในออนเซ็นของที่นี่ซึ่งเป็นกำมะถันใส ไม่มีสี ยังมีคุณสมบัติในเรื่องของการช่วยสมานแผล และรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนัง รวมไปถึงโรคหลอดเลือดแข็งอีกด้วย

เนื่องจากออนเซ็นที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก บางครั้งห้องพักอาจไม่เพียงพอแต่ไม่ต้องกังวลเพราะตรงบริเวณทางเข้าของหมู่บ้านจะมีออนเซ็นเท้าให้บริการ มีชื่อว่าออนเซ็นเท้าวาราคุอาชิยุ (Ginzan Onsen Waraku Ashiyu)

นอกจากนี้ยังมีเรียวกังบางแห่งที่เปิดบริการให้แช่น้ำแร่แบบสาธารณะไม่จำเป็นต้องเข้าพักก็ได้ อย่างฉันค่ำคืนแรกที่ยามากาตะ ฉันเลือกพักที่โรงแรมแบบเรียวกังชื่อ Nippon no Yado Koyo ที่ Zao-Kaminoyama Onsen ซึ่งเป็นเรียวกังที่เคยปรากฏในภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Okuribito

แต่สำหรับฉันแล้วความพิเศษคงอยู่ที่บ่อออนเซ็นซึ่งอยู่ด้านบนชั้น 8 ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั่ว ที่นี่มีออนเซ็นที่ให้บริการแบบส่วนตัวด้วยสำหรับใครที่ไม่สะดวกใจใช้ออนเซ็นรวมแบบที่คนญี่ปุ่นนิยมกัน

เช้าวันใหม่จากที่พักเพียง 25 นาทีฉันก็มาถึงที่ภูเขาซาโอะ (Mount Zao) เทือกเขาที่ทอดตัวตัดระหว่างจังหวัดมิยางิ (Miyagi) และจังหวัดยามากาตะ (Yamagata)

ในช่วงฤดูหนาวของทุกปีหิมะที่ตกทับถมกันอย่างหนักปกคลุมต้นสนที่ขึ้นอยู่ทั่วทั้งขุนเขาจนมีรูปร่างคล้ายกับปิศาจเราจึงเรียกว่าปิศาจหิมะ (Ice Monster) หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าจุเฮียว (Juhyo)

ปิศาจหิมะของที่นี่จะเริ่มก่อตัวตั้งแต่เดือนมกราคม พอช่วงเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้น พอเข้าเดือนมีนาคมก็จะเริ่มละลายตัวเล็กลง ฉันเดินทางไปช่วงเดือนมกราคมเป็นช่วงที่ปิศาจหิมะกำลังก่อร่างสร้างตัว

ขึ้นกระเช้าไฟฟ้า (Zao Ropeway) ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 สถานีคือ สถานี Zao Jyuhyougen Station กับด้านบนสุด Jizo Sancho Station แม้ว่าวันที่เดินทางไป สภาพอากาศไม่ค่อยเคลียร์มากนัก

และเป็นช่วงที่หิมะเริ่มตก ตรงบริเวณจุดสำคัญอย่างเช่น บริเวณรูปปั้นองค์พระพุทธรูปหิมะเพิ่งท่วมถึงแค่หัวเข่าองค์พระเอง จากปกติต้องสูงถึงระดับไหล่ อากาศด้านบนค่อนข้างหนาวและลมแรงจนมองอะไรแทบจะไม่เห็นแต่ฉันยังแอบเห็นปิศาจหิมะตัวเล็กตัวน้อย กระจายตัวอยู่ในพื้นที่แค่นี้ก็สร้างรอยยิ้มได้แล้ว

แต่คนที่น่าจะสนุกสนานที่สุดสำหรับการมาภูเขาซาโอะ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่เล่นสกี หรือสโนว์บอร์ด เพราะตั้งแต่ขาขึ้นมาก็จะเห็นผู้คนมากมายหอบหิ้วอุปกรณ์สกีกันเต็มไปหมด

สำหรับค่าขึ้นกระเช้าถ้าไปกลับอย่างฉันราคาจะอยู่ที่ 2,600 เยน แต่สำหรับคนที่เล่นสกีขึ้นไปแล้วสไลด์ลงมาราคาก็ 1,500 เยน ยิ่งบริเวณสถานี Zao Jyuhyougen Station มีคนที่ชื่นชอบสกีตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคุณตาคุณยาย อายุ 70 กว่าปี มาเล่นสกีกันอย่างสนุกสนาน

เห็นแล้วอิจฉาอยากเล่นสกีเก่งแบบนี้บ้างแต่จะว่าไปสายกีฬากับฉันดูจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร ถ้าหากเป็นสายกินละก็อันนี้พอคุยกันได้

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องของเนื้อวัวญี่ปุ่นที่มีความอร่อยเป็นพิเศษ อย่างเนื้อวัวที่ยามากาตะเองก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้ที่ไหนช่วงกลางวันฉันได้มีโอกาสไปรับประทานเนื้อวัวยามากาตะที่ร้าน GyuurikiYakiniku

ซึ่งมีเนื้อหลากหลายรูปแบบมากทั้งแบบซูซิ มาพร้อมกับข้าว หรือจะเป็นเซตปิ้งย่างก็มี ที่สำคัญราคาไม่แพงเลยเริ่มต้นแค่ 1,000 เยน (300 บาท)

เสร็จจากร้านเนื้อมาต่อกันที่ผลไม้ หนึ่งในกิจกรรมหลักเวลาเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นคือ การเก็บผลไม้ ช่วงนี้หน้าหนาวจะเป็นช่วงของสตรอว์เบอร์รีที่จังหวัดยามากาตะเอง

ไม่ไกลจากสถานีกระเช้าไฟฟ้าซาโอะมากนักมีฟาร์มสตรอว์เบอร์รี ชื่อ Sagae Strawberry Farm คุณยายที่ดูแลฟาร์มท่าทางใจดี เปิดให้เราได้เข้าไปเก็บสตรอว์เบอร์รี สนนราคา 30 นาที 1,800 เยนเท่านั้น

ด้วยฟาร์มแห่งนี้เป็นฟาร์มขนาดย่อมที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ทำให้เหมือนราคานี้เท่ากับเราเหมาสวนเลยทีเดียว สตรอว์เบอร์รีที่นี่ปลูกอยู่เหนือดินทำให้เราไม่ต้องก้มเก็บ แถมยังสะอาดอีกด้วย สตรอว์เบอร์รีบางลูกไม่ใหญ่มากนักแต่หวานจับใจและลืมไม่ลงทีเดียว

เมื่ออิ่มหนำสำราญทั้งอาหารคาว อาหารหวานแล้ว เราก็เดินทางต่อไปที่ตัวเมืองยามากาตะ เพื่อเยี่ยมชม 2 พิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ

ที่แรกคือพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านยามากาตะ (Yamagata City Local History Museum) หรืออาคารหลักเซไซคังเก่า ที่นี่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นผลงานชั้นยอดที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบกิโยฟูในช่วงต้นสมัยเมจิ ซึ่งผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ในอดีตเคยเป็นโรงพยาบาลรัฐประจำเมืองยามากาตะ และถูกกำหนดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติในปีโชวะที่ 41 เดือนธันวาคม

ปัจจุบันที่นี่ปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวการแพทย์ รวมไปถึงเอกสารอุปกรณ์ยา และเรื่องราวของเมือง ตัวอาคารที่มองดูเหมือนจะมี 3 ชั้นแต่อันที่จริงมีทั้งหมด 4 ชั้น ความสวยงามของตัวอาคารอยู่ที่การออกแบบเป็นรูปทรงกลมมีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกัน มีกระจกสีที่เป็นการตกแต่งแบบยุโรป บันไดวนขึ้นไปด้านบนอาคาร เรียกได้ว่าหรูหรา มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนอีกหนึ่ง

พิพิธภัณฑ์ที่มีความสวยงามไม่แพ้กันคือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจังหวัดยามากาตะบุนโชคัง (Bunshokan) ที่นี่เดิมใช้เป็นที่ทำการรัฐบาลและศาลากลางเก่าของจังหวัดตัวอาคารทำด้วยอิฐสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1916

เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุคฟื้นฟูสมัยใหม่อังกฤษ ก่อนได้รับจดทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญตั้งแต่ปี 1986 เปิดให้เข้าชมได้ฟรี

ตอนที่เปิดประตูเข้าไปในอาคารเห็นถึงโถงบันไดที่ทอดยาวลงมานึกถึงภาพของฉากละครที่มีเจ้าหญิงเดินลงบันไดมาทีเดียวตอนหลังจึงรู้ว่าที่นี่ก็เป็นโลเคชั่นที่นิยมมาถ่ายละครกัน อย่างเรื่องดั่งดวงหฤทัย ของไทยก็มีมาถ่ายทำที่นี่

หรืออย่างถ่ายภาพยนตร์ฉบับคนแสดงจากมังงะยอดนิยมเรื่อง รูโรนิ เคนชิน เกียวโต ทะเลเพลิง (Rurouni Kenshin : Kyoto Inferno) ก็ด้วย

วันที่สามของเราเริ่มต้นด้วยการไปขอพรที่วัดยามาเดระ (Yamadera) หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วัดริชชะกุจิ (Risshakuji) ตั้งอย่บูนเขาโฮจุซังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์การ์ตูนยอดฮิต เรื่อง ตราบวันฟ้าใส (March Comes in Like a Lion)

ตัววัดมีอาณาบริเวณที่ใหญ่มาก คือ เกือบทั้งขุนเขาวัดประกอบไปด้วยอาคารหลายหลัง วิหารหลักของวัดนั้นอยู่บนเขา หากต้องการขึ้นไปสักการะ ต้องเดินขึ้นบันไดไปกว่า 70 ขั้น จะถึง Konponchudo Hall ซึ่งเป็นวิหารหลักของวัด

แต่เนื่องจากเวลาที่มีจำกัดทำให้เราทำได้เพียงเดินอยู่บริเวณด้านล่างที่มีวิหารต่างๆ ให้สักการะ

แต่แค่เพียงเท่านั้นก็รู้สึกได้ถึงความอิ่มเอิบใจที่ได้เดินทางมา จากฐานของขุนเขานั้นอยู่ห่างจากสถานีรถไฟยามาเดระ (Yamadera Station) โดยการเดินเท้าเพียง 5 นาที ระหว่างทางจะมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกประปราย

จากสถานียามาเดระ เรานั่งรถไฟท้องถิ่นสาย Senzan Line เพื่อไปสถานที่ท่องเที่ยวถัดไประหว่างทางที่นั่งรถไฟไปนั้นก็เห็นได้ถึงความสวยงามของธรรมชาติที่ยามากาตะมีอย่างมากล้น ถึงปลายทางที่สถานีซากุนามิ (Sakunami)

อ่านสัมผัสแห่งธรรมชาติ ที่ยามากาตะ และเซนได ตอน 2 ต่อได้ที่ http://www.vacationistmag.com/yamagataandsendai2

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0