Time to Travel – เดินทาง อุ่นใจไปกับรถไฟไทย ตอน 1
Story & Photo by Editorial Staff
เดินทาง อุ่นใจไปกับรถไฟไทย ตอน 1 : เสียงประกาศเรียกผู้โดยสาร พร้อมกับภาพของม้าเหล็กขบวนยาวที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจอด และอีกหลายขบวนที่กำลังเคลื่อนตัวพาผู้คนหลากหลายออกเดินทาง
เสียงของหวูดและเสียงเครื่องจักรที่กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าเป็น “ช่วงเวลาของการเดินทาง” ของใครหลายคน
การเดินทางด้วยรถไฟเป็นหนึ่งในการเดินทางที่สุดคลาสสิกอย่างหนึ่งในชีวิตการเดินทางของผม การได้นั่งทอดอารมณ์มองพี่ป้าน้าอาที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นลงในแต่ละสถานี
การได้ลิ้มรสอาหารหลากหลายประเภทที่เรียงหน้าขึ้นมาให้ได้ชิมในแต่ละสถานีเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่เชื่อว่าการเดินทางแบบอื่นไม่สามารถเสริ์ฟให้คุณได้ เป็นหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้ผมเดินทางด้วยรถไฟเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันช่วงเวลาวันหยุดสุดสัปดาห์เพียง 1-2 วันที่ได้พักร้อน
ผมเลือกเดินทางในช่วงเริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยการนั่งรถไฟไปไหว้พระและท่องเที่ยวที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อดีตราชธานีของไทย ไม่ไกลจากเมืองหลวงปัจจุบันอย่างกรุงเทพฯ มากนัก ที่สำคัญเดินทางด้วยรถไฟง่ายมาก
เช้าวันเดินทาง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศแจ่มใส ที่สถานีรถไฟกรุงเทพหรือที่นิยมเรียกกันว่า สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟหลักและเป็นสถานีที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ผู้คนก็ยังคึกคักเช่นเดิม
สถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นสถานีต้นทางที่เดินทางไปภาคต่างๆ ของประเทศไทย 4 สายสำคัญ ได้แก่ ทางรถไฟสายใต้ ทางรถไฟสายตะวันออก ทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ และทางรถไฟสายเหนือ ปลายทางที่สถานีรถไฟเชียงใหม่
โดยทางรถไฟสายนี้เองที่จะพาผมเดินทางไปสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรืออยุธยา
ขบวนรถจากกรุงเทพฯ ผ่านอยุธยานั้น เริ่มตั้งแต่ 04.20 น.ยาวไปจนถึง 22.45 น. บางขบวนห่างกันเพียง 10 นาทีเท่านั้น
ดังนั้นสามารถเลือกได้หลายช่วงเวลา จะตื่นสายตื่นบ่ายก็ไปได้เช่นกัน
สำหรับผมเลือกขบวนช่วงสาย เพื่อใช้เวลาเรื่อยๆ ไปกับผู้คนรอบข้างและอาหารอร่อยที่ทยอยมาบริการตลอดเส้นทาง และแต่ละสถานี
เผลอแป๊บเดียวเราก็มาถึงสถานีอยุธยาแล้ว
จากสถานีอยุธยา เราสามารถเลือกวิถีการท่องเที่ยวเมืองเก่าแห่งนี้ ได้หลากหลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การปั่นจักรยาน การขับขี่จักรยานยนต์หรือรถยนต์
ตลอดจนการใช้บริการเหมารถเที่ยว วัดเด่นๆ ในอยุธยาสามารถเที่ยวชมได้ใน 1 วันเรียกว่าเป็น ฉบับรวบรัด ตามผมมาเลย
เริ่มต้นกันที่วัดมหาธาตุ วัดมหาธาตุคือวัดไหนเหรอ
ถ้าตอบเข้าใจง่ายๆ เลยคือ วัดที่มีเศียรพระพุทธรูปอยู่ในรากไม้นั่นไง ถึงบางอ้อเลยใช่ไหม
ตามพงศาวดารบางฉบับกล่าวว่าวัดนี้สร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค์ประธานของวัดเมื่อ พ.ศ.1927
ซึ่งปัจจุบันพระปรางค์ขนาดใหญ่นี้ได้พังทลายลงมาหมดแล้ว นอกจากพระปรางค์แล้วยังมีสิ่งที่น่าสนใจในวัดมหาธาตุอีกเช่น
เจดีย์ 8 เหลี่ยม 4 ชั้นที่จะพบเพียงองค์เดียวในอยุธยา วิหารที่ฐานชุกชีของพระประธานในวิหารซึ่งเคยขุดพบภาชนะดินเผา และแผ่นทองคำรูปต่างๆ
วิหารเล็กที่มีรากไม้เกาะเต็มผนังซึ่งบริเวณนี้เองที่จะเห็นเศียรพระพุทธรูปหินทรายศิลปะอยุธยาโดนล้อมด้วยรากไม้ซึ่งเป็นจุดที่มีทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศยืนชมอยู่เป็นอย่างมาก
ถัดไปทางตอนเหนือของวัดมหาธาตุ เป็นที่ตั้งของวัดราชบูรณะ ซึ่งมีฐานะเป็นพระอารามหลวงในสมัยอยุธยา
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่วัดราชบูรณะนั้นจะโด่งดังในเรื่องของการขุดพบเครื่องทองมากมายในกรุพระปรางค์ใหญ่
บางส่วนมีการขุดขโมยไป แต่บางส่วนกรมศิลปากรก็ได้เข้ามาบูรณะและนำสมบัติส่วนที่เหลือไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา
ภายในวัดก็จะมีองค์ประธาน ล้อมรอบด้วยระเบียงคด
ซึ่งเราจะเห็นพระพุทธรูปและลวดลายศิลปะปูนปั้นอยู่รายล้อม
บริเวณที่เคยขุดพบเครื่องทองนั้น สามารถเดินลงไปชมภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาตอนต้นได้
จากนั้นเราไปต่อกันที่ วัดพระราม เป็นวัดขนาดใหญ่ อยู่นอกเขตพระราชวังไปทางด้านทิศตะวันออก
จะมองเห็นพระปรางค์โดดเด่นชัดแต่ไกล องค์ปรางค์ก่อด้วยอิฐสอปูน เป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นที่นิยมทำเป็นพระปรางค์
เพราะได้รับอิทธิพลแบบเขมรโบราณจากเมืองละโว้ (ลพบุรี) บริเวณด้านหน้าของวัด หน้าวิหาร มีบึงขนาดใหญ่ ที่เรียกว่าบึงพระราม ปัจจุบันคือ “สวนสาธารณะบึงพระราม”
ช่วงที่เป็นฤดูกาลของดอกไม้ที่บึงจะเต็มไปด้วยดอกบัวสวยงามมาก ผู้คนแถวนี้นิยมมากัน สำหรับส่วนอื่นๆ ก็ผุพังไปตามกาลเวลา แต่ยังพอเห็นเจดีย์เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง
รายรอบองค์พระปรางค์ประมาณ 28 องค์รวมถึงกำแพงด้านหนึ่ง เสาในพระอุโบสถและวิหาร 7 หลัง
ไม่ไกลกันนั้นคือ วัดสำคัญสูงสุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดประจำพระราชวังและเป็นวัดส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์
สร้างอยู่ในเขตพระราชฐาน ไม่มีพระสงฆ์จำวัด หลายคนอาจจะคลับคล้ายคลับคลาลักษณะของวัด เพราะที่นี่เป็นต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วในปัจจุบันนั่นเอง เจดีย์สำคัญในวัดมีลักษณะเป็นศิลปะลังกา 3 องค์
พระเจดีย์สององค์แรกทางทศิ ตะวันออก บรรจพุระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชบิดาของพระรามาธิบดีที่ 2 องค์ที่สองคือองค์กลางเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พระบรมเชษฐา
ส่วนเจดีย์องค์ที่ 3 ทางทิศตะวันตกสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 พระราชโอรสได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ทางทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ คือวิหารพระมงคลบพิตร เป็นจุดแวะสุดคลาสสิกที่หลายคนที่มาอยุธยาย่อมรู้จักเป็นอย่างดี
เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตร พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 9.55 เมตร และสูง 12.45 เมตร เป็นพระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่องค์เดียวในประเทศไทย
สันนิษฐานกันว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นราวแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ องค์พระพุทธรูปที่เหลืองอร่ามเปล่งรัศมีสวยงามมาก
บริเวณนี้นอกจากจะมีวัดหลายแห่งแล้ว ยังมีจุดที่น่าสนใจอีก อย่างเช่น ศาลหลักเมืองพระนครศรีอยุธยา เป็นมณฑปจัตุรมุขทรงไทยรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่ออิฐฉาบปูนขาว
มีประตูเข้า-ออกทั้ง 4 ด้าน แต่มีทางบันไดขึ้นลงเพียง 2 ด้าน ตัวเสาหลักเมือง ทำจากไม้มงคลชัยพฤกษ์ ยอดเสาแกะสลักเป็นรูปดอกบัวแก้วซ้อนกัน 7 ชั้น
ส่วนของเสาหลักเมือง ฐานเสาสูงจากอาคารชั้นล่างขึ้นมาอาคารชั้นบนที่ทำกระจกแก้วครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง มีเม็ดยอดรูปบัวตูม สวมลงบนเสาหลัก ลงรักปิดทอง ภายในเป็นช่องสำหรับบรรจุดวงชะตาเมือง
เรียกได้ว่าเสาหลักเมืองนั้นถือเป็นสิ่งก่อสร้างอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับแต่ละเมืองของไทยก็ว่าได้
ห่างไปไม่ถึง 200 เมตร เป็นหมู่เรือนไทยโบราณภาคกลางแบบเรือนคหบดีไทย เรียกว่า คุ้มขุนแผน (ซึ่งสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวละครขุนแผนเลย)
ซึ่งแต่ละเรือนนั้นเราเรียกว่า หอ โดยมีหอกลางเป็นประธานอยู่ตรงกลางโอบล้อมด้วยหอนั่ง หอซ้าย หอขวา หอใหญ่
แต่ละหอมีหน้าที่แตกต่างกัน คุ้มขุนแผนเป็นเรือนพักของดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ซึ่งประทับใจในวรรณกรรมของไทย เรื่องขุนช้าง-ขุนแผน
เมื่อมีการย้ายจวนมาไว้อยุธยาจึงตั้งชื่อจวนนี้ว่าคุ้มขุนแผน
มีปางช้างแห่งเดียวที่สร้างอยู่บนพื้นที่มรดกโลก ซึ่งก็คือกรมพระคชบาลเดิม ใจกลางเกาะเมืองอยุธยา อย่างวังช้างอยุธยาแลเพนียด
มีเพนียดภายในวังช้างเป็นที่พักของช้างและควาญ มีการจัดแสดงโชว์ความน่ารักและฉลาดของช้าง
หรือใครอยากนั่งช้างชมโบราณสถานในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่นี่ก็มีบริการ ตั้งแต่รอบสั้นๆ ประมาณ 15 นาทีจนถึงครึ่งชั่วโมง ตามเส้นทาง
ไม่ว่าจะเป็นศาลหลักเมือง วัดเกษ คุ้มขุนแผน วัดพระรามวิหารมงคลบพิตร อนุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง บึงพระราม ด้านอยุธยามหาปราสาท เป็นต้น ราคาเริ่มต้นเพียง 100 บาทเท่านั้น
คนที่มีเวลาเที่ยวเพียง 1 วัน หลายคนเลือกที่จะปิดทริปกันที่ตลาดน้ำอโยธา ตลาดที่มีคอนเซปต์คงความเป็นกรุงเก่าของพระนครศรีอโยธยาในอดีตมาไว้ด้วยพื้นที่กว่า 60 ไร่
ที่ออกแบบเป็นเรือนไทยล้อมรอบสระน้ำขนาดใหญ่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อมากมาย
แต่ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศเลือกรถไฟขบวนที่ดึกอีกนิดแล้วไปเที่ยวตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต
ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองหน่อยด้านข้างศาลากลางหลังเก่า
ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ตลาดผ้าเหลืองของพี่หมื่นเดช แม่หญิงการะเกด นั่นเอง
เพิ่งเปิดเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา เป็นตลาดสไตล์ย้อนยุค
จำลองเอาบรรยากาศของการค้าขายในสมัยอยุธยามีอาหาร ขนมแบบโบราณ
ทำใหม่กันสดๆ ทั้งฝอยทอง เม็ดขนุน เปียกปูน หรือไอติมกะทิสดก็อร่อยไม่หยอก
อิ่มกันก่อนขึ้นรถไฟรอบค่ำกลับได้แต่สำหรับคนที่มีเวลาอยู่อยุธยาต่ออีกหนึ่งคืน ไปเที่ยวกันต่ออีกวันได้
คลิกอ่านได้ที่ Time to Travel – เดินทาง อุ่นใจไปกับรถไฟไทย ตอน 2
ขอบคุณการรถไฟแห่งประเทศไทย