Summer Time in Akita ตอน 2
Story & Photo by Orawan
ใครยังไม่ได้อ่านตอน 1 อ่านได้ที่ Summer Time in Akita ตอน 1 http://www.vacationistmag.com/summertimeinakita1
ฤดูร้อนสุขสันต์
ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวราวกับปุยนุ่น ช่วงเวลากลางวันอันหรรษาของฤดูร้อนกำลังเริ่มเลือนหายพร้อมกับแสงสีเหลืองทองของพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า หากเป็นช่วงเวลาอื่น และสถานที่อื่น บรรยากาศอาจจะเหงานิดๆ ซึมหน่อยๆ แต่ฉันตอนนี้ ขณะที่อยู่ในบรรยากาศของงานเทศกาลอาคิตะ คันโต (Akita Kanto) หนึ่งในเทศกาลฤดูร้อนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) มันช่างเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะคึกคักสวนทางกับความมืดที่กำลังโรยตัวอย่รู อบๆเป็นที่สุด
เสียงเชียร์ Dokkoisha Dokkoisha ที่แปลว่าไม่ให้อ่อนล้า ดังลั่นยามที่ชายหนุ่มผู้เข้าร่วมเทศกาลกำลังยกโคมโฟขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักกว่า50 กิโลกรัมซึ่งแขวนโคมไฟกว่า 50 ลูกที่วางเรียงเป็นแผงราวกับรวงข้าวขึ้นสูง
ด้วยการเทินไว้บนหน้าผากบ้าง ไหล่บ้าง ฝ่ามือบ้าง ยากสุดคงเป็นการวางไว้บนสะโพก ทักษะแบบนี้เรียกว่า คันโตเมียวกิ เป็นความสามารถพิเศษที่ควรค่าแก่การปรบมือกราว และร้องว้าวซ้ำแล้วซ้ำอีก
ไม่เพียงเท่านั้นตลอดค่ำคืนก็จะมีการแสดงแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 1 ทุ่มจนถึง 3 ทุ่มตลอดขบวนมีโคมไฟกว่า 1,000 ดวงที่สว่างไสวทั่วไปทั้งพื้นที่เป็นการขอพรให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และเจริญงอกงามดังรวงข้าวที่เปล่งแสงอยู่ตลอดค่ำคืน เป็นเทศกาลที่สนุกสนานและอิ่มเอิบใจเป็นที่สุด และสมกับเป็นเทศกาลที่ควรค่ามามากยิ่งนักในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้
และอีกหนึ่งเทศกาลที่มาควบคู่กันกับฤดูร้อนคือ เทศกาลชมดอกไม้ไฟ ซึ่งจะมีการจัดเป็นประจำในช่วงฤดูร้อนในแต่ละภูมิภาคของประเทศญี่ปุ่น แต่ที่จังหวัดอาคิตะแห่งนี้มีการจัดเทศกาลชมดอกไม้ไฟกันแทบทุกอาทิตย์ แต่ละเมืองในจังหวัดแถมยังมีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังดอกไม้ไฟสวยๆ ให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วยที่ พิพิธภัณฑ์ดอกไม้ไฟ (Hanabi Tradition and Culture Preservation Museum “Hanabi – um) เมืองไดเซน (Daisen)
ด้านในจะแบ่งการแสดงออกเป็น 4 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับกระบวนการทำดอกไม้ไฟ การผสมสีให้เกิดเป็นสีสันต่างๆ แผ่นป้ายโปสเตอร์การจัดงานดอกไม้ไฟในแต่ละปีที่ผ่านมา ย้อนหลังเป็นร้อยปีกันเลยทีเดียว
อีกทั้งมีห้องแสดงภาพยนตร์ที่เปิดเกี่ยวกับงานดอกไม้ไฟที่เคยจัดมา เข้าไปแล้วสมจริงเหมือนเรากำลังอยู่ในเทศกาลดอกไม้เลย
ที่เมืองไดเซนนี้ยังมีศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องบุตรอย่าง ศาลเจ้าคารามัตสุ (Karamatsu shrine)
ว่ากันว่าที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวไหนที่ต้องการมีบุตรหรือต้องการให้ลูกหลานสมบูรณ์แข็งแรงควรมาที่นี่เป็นอย่างยิ่ง
ส่วนจะสมพรปรารถนามากน้อยเพียงใดนั้น ดูได้จากปริมาณของหมอนกอดและกระดิ่งที่นำมาให้ภายในบริเวณศาลเจ้า หลังจากได้สัมฤทธิผลจากการขอพร บอกเลยว่าเยอะมาก
ศาลเจ้าแห่งนี้มีอายุกว่า 300 ปี
ข้างๆ กันถัดจากแถวทิวของต้นซีดาร์สูงตระหง่านมีศาลเจ้าไม้กลางน้ำตั้งอยู่เดิมที่นี่เป็นศาลเจ้าประจำตระกูล ต่อมามีคนมาสักการะศาลเจ้าคารามัตสุแล้วเดินมาสักการะที่นี่ด้วย
จากเมืองไดเซน เราไปต่อที่เมืองโยโคเตะ(Yokote) เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องของเทศกาลโยโคเตะคามะคุระ (Yokote no Yuki Matsuri) เทศกาลนี้จะจัดในช่วงฤดูหนาว ชาวเมืองจะสร้างกระท่อมจากหิมะมีชื่อเรียกว่าคามาคุระ (Kamakura) ขึ้นจากนั้นก็จะเชื้อเชิญให้ผู้ผ่านไปมาเข้าไปในกระท่อมหิมะของพวกเขารับประทานเค้กข้าวและดื่มเครื่องดื่มพูดคุยกันเป็นที่สนุกสนาน
แต่ถ้าคุณมาในช่วงหน้าร้อนเช่นนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศกระท่อมหิมะเพราะที่เมืองนี้มีพิพิธภัณฑ์คามาคุระ (Kamakura Museum) ซึ่งมีการจำลองกระท่อมหิมะไว้ในห้องความเย็นกว่า -10 องศาเซลเซียส เข้าไปสัมผัสได้ถึงความเย็นของช่วงเทศกาลอย่างแน่นอน
แต่ที่สร้างความประทับใจสำหรับฉันนอกจากกระท่อมหิมะของเมืองนี้คือ การสร้างโกดังสินค้าภายในบ้านของเมืองมาสุดะ (Masuda) ที่บริเวณย่านเมืองเก่าเมืองมาสุดะ (Uchigura in Masuda) โกดังที่สร้างขึ้นภายในบ้านนี้เรียกว่า อุจิกุระ (Uchigura)
เป็นโกดังที่สำหรับเก็บสินค้าและของมีค่า ประตูของโกดังทำจากโคลนทาเป็นสีดำบางหลังหนากว่า 10 ชั้น ส่วนผนังทาด้วยสีขาว มีการสร้างโกดังไว้ภายใน เช่นนี้ทำให้บ้านในย่านนี้จึงมีเพดานที่สูงและกว้างขวาง
ว่ากันว่าการสร้างอุจิกุระก็เพื่อป้องกันหิมะที่ตกอย่างหนาแน่นในบริเวณเมืองอีกทั้งเป็นการอ่อนน้อมถ่อมตนของคนเมืองนี้ที่ไม่ต้องการโอ้อวดความร่ำรวย
ปัจจุบันอุจิกุระเหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่น สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ต่อมา หลายหลังเปิดบริการเป็นร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านขายของที่ระลึก และบางหลังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมอุจิกุระที่อยู่ภายในด้วย
สำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ จังหวัดอาคิตะ มีธรรมชาติที่น่าทึ่งทีเดียว อย่างที่เมืองโยโคเตะเองยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ชื่อ อิวากามิ (Iwakagami wetlands) ในช่วงรอยต่อของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเช่นนี้ดอกไม้ป่าจะแข่งกันผลิบานสีขาวสีชมพูหรือสีม่วงเต็มพื้นที่ไปหมด
ในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ฉันเห็นดอกไม้แห่งความหวัง อย่างดอกแทมโบโบ (Tampopo) หรือแดนดิไลออน (Dandelion) ซ่อนตัวแทรกกับผลไม้ป่าสีแดง อยู่ในท้องทุ่งรอเวลายามฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
ที่ภูเขาคุริโกมะ(Kurikoma) ที่โอบรอบอยู่ก็จะเปลี่ยนสีจากเขียวกลายเป็น เหลือง ส้ม แดง สวยงามเป็นที่สุด
อีกหนึ่งความน่าทึ่งของธรรมชาติเมืองอาคิตะที่ฉันต้องร้องว้าว คือ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ยูซาวะ (Yuzawa GeoPark) ของเมืองยูซาวะ (Yuzawa)เป็นพื้นที่ที่เราสามารถมาเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับธรณีวิทยา ภูมิศาสตร์ เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติให้ศึกษาค้นคว้า
โดยมีอาณาเขตครอบคลุมกว่า 790.72 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์กว่า 16 แห่ง ฉันได้มีโอกาสได้ชมเพียงไม่กี่จุด อย่างเช่น หุบเขาโอยาสุ (Oyasu Valley) ซึ่งมีลักษณะเป็นโตรกผาที่มีความสูงกว่า 60 เมตร ระยะทางยาวกว่า 4 กิโลเมตรบริเวณทางเดินเลาะลำธารของด้านล่างหุบเขา
บางจุดเราจะเห็นพลังอันมหาศาลของธรรมชาติผ่านสายน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 95 องศาเซลเซียส พุ่งแทรกตัวออกมาจากโขดหิน เกิดเป็นกลุ่มควันกระจายตัวแปลกตาเป็นอย่างมาก
หุบเขาแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องความงามของสีเขียวสดของช่วงฤดูร้อนเช่นนี้และในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ในฤดูใบไม้ร่วงจึงมีนักท่องเที่ยวมากมายตลอดทั้งปีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงอย่างเช่นหุบเขานรกคาวาราเงะ (Kawarage Jigoku)
ภาพภูเขาไฟที่ระดับความสูงประมาณ 800 เมตรปกคลุมด้วยลาวาสีขาวเทา ล้อมรอบด้วยป่าไม้ตัดกับท้องฟ้าสีคราม เป็นความสวยงามที่แฝงด้วยความน่ากลัวและแปลกตาเป็นที่สุด
เวลายืนใกล้ๆ บริเวณก็จะได้กลิ่นของกำมะถันและพบเห็นไอน้ำและก๊าซภูเขาไฟพ่นออกมาจากหลายจุด หลายคนนิยมมาแสวงบุญที่นี่เพราะเชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
จากจุดนี้ถ้าคุณเดินต่ออีก 15 นาทีไปตามเส้นทางก็จะไปถึงน้ำตกคาวาราเกะโอยทาคิ (Kawarage Oyutaki Falls)โอยุขอบอกว่าน้ำตกนี้เป็นน้ำตกที่มหัศจรรย์ที่สุด
เพราะเกิดจากสายธารน้ำเย็นผสมกับน้ำร้อนที่ผุดมาจากธรรมชาติกลายเป็นสายธารน้ำอุ่นที่ไหลลงจากผาสูงกว่า 20 เมตร ลงมารวมกันเป็นแอ่งน้ำอุ่นทางธรรมชาติที่แสนวิเศษท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม
เป็นการปิดทริปฤดูร้อนแต่แสนจะสดชื่นของจังหวัดอาคิตะของฉันอย่างสมบูรณ์