สกอตแลนด์ – ดินแดนสวยในปรอยฝน

Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง

SC Edinburgh_315

เมื่อเอ่ยถึงประเทศสกอตแลนด์ (Scotland) เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงลายตารางหมากรุกหรือที่เรียกกันติดปากว่า “ลายสกอต” บางคนอาจนึกถึงชายหนุ่มนุ่งกระโปรงสวมถุงเท้ายาวเป่าปี่ยักษ์ ส่วนบรรดานักดื่มอาจจะนึกถึงสก็อตช์วิสกี้ (Scotch Whisky) รสเยี่ยมที่ยิ่งเก่ายิ่งแพง แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของประเทศสกอตแลนด์เท่านั้น การเดินทางช่วงเวลาสั้นๆ หนึ่งสัปดาห์ในสกอตแลนด์ทำให้ฉันหลงรักดินแดนแห่งนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น สถาปัตยกรรมสุดคลาสสิก ทิวภูเขา ทุ่งหญ้า ทะเลสาบสวย น้ำทะเลใส และตำนานเร้นลับที่อยู่คู่กับสถานที่ต่างๆ แม้สภาพภูมิอากาศของสกอตแลนด์อาจจะดูทึมๆ ครึ้มๆ แต่เมฆหมอกและสายฝนก็ไม่สามารถบดบังความสวยงามของสกอตแลนด์ได้เลย

SC Edinburgh_367  SC Edinburgh_114

เมืองเก่าแสนสวยเอดินบะระ (Edinburgh) ฉันเริ่มต้นการเดินทางที่เอดินบะระเมืองหลวงแห่งสกอตแลนด์ ที่นี่เป็นเมืองเก่าแสนสวยที่มีหลายหลายแง่มุมให้เราได้ไปสัมผัส ทั้งความเคร่งขรึม น่ารัก ไปจนถึงความน่ากลัวขนหัวลุก เมื่อลงจากรถประจำทาง ฉันเห็นปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) สวยเด่นเตะตาสง่างามตั้งอยู่บนเนินเขา ฉันนัดเจอกับเพื่อนรุ่นพี่ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่นี่อาสาเป็นไกด์ท้องถิ่นพาเที่ยวชมเมือง เราเดินอ้อมเขาเพื่อไปชมปราสาททางด้านหลัง นับเป็นความโชคดีที่มีไกด์ท้องถิ่นทำให้ได้เห็นความงามของปราสาทในมุมที่นักท่องเที่ยวอื่นๆ อาจไม่มีโอกาสได้เห็น

SC Edinburgh_252

SC Edinburgh_116

ปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์และราชวงศ์ของสกอตแลนด์ ตัวปราสาทสร้างจากหินภูเขาไฟที่มีอายุมากกว่า 340 ล้านปี มีปืนใหญ่โบราณมอนส์เมก (Mons Meg) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทุกๆ วันเวลาบ่ายโมงตรงจะมีประเพณียิงปืนใหญ่จากยอดปราสาท เพื่อส่งสัญญาณบอกเวลาแก่นักเดินเรือในทะเลให้ปรับเวลาของตนเองให้ตรงกับเวลามาตรฐาน เป็นประเพณีที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 และกระทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ด้านในปราสาทเป็นที่เก็บมงกุฎเพชรล้ำค่าแห่งสกอตแลนด์ รวมทั้ง คทาและดาบเลอค่าที่ใช้ในพิธีสถาปนาราชินีแมรี่ (Mary Queen of Scots) ในปี ค.ศ. 1543 อีกหนึ่งสมบัติที่น่าสนใจ คือ หินชี้ชะตา (Stone of Destiny) ที่ใช้ประกอบพิธีราชาภิเษกกษัตริย์สกอตแลนด์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10

SC Edinburgh_111  SC Edinburgh_115

ออกจากปราสาทเอดินบะระ เราเดินทอดน่องหย่อนอารมณ์ไปตามเส้นทางรอยัลไมล์ (Royal Mile) ซึ่งเป็นถนนอันเก่าแก่ประจำเมือง อาคารบ้านเรือนในย่านเมืองเก่ากักขังประวัติศาสตร์ไว้มากมายและยาวนาน จนยูเนสโกยกตำแหน่งมรดกโลกให้เป็นเครื่องการันตี

SC Edinburgh_081

SC Edinburgh_103 SC Edinburgh_076

กลางเมืองเก่ามีมหาวิหารประจำเมืองหรือมหาวิหารเซนต์ไจลส์ (St. Giles’ Cathedral) ซึ่งใช้ชื่อตามนักบุญผู้ปกป้องรักษาเมืองเอดินบะระ ภายในมหาวิหารมีงานกระจกสีแสนสวย (Stained glass) บอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ และงานศิลปะน่ารักๆ เช่น ที่จับประตูรูปนางฟ้าตัวจิ๋วเป่าปี่สกอต และไม้แกะสลักเป็นรูปแมวไล่จับหนู จากนั้นเราก็เดินไปทักทายรูปปั้นเกรย์ฟรายเออส์บ๊อบบี้ สุนัขยอดกตัญญูหนึ่งในตำนานของเอดินบะระ ถึงแม้รูปปั้นของบ๊อบบี้จะมีขนาดไม่ใหญ่แต่ได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย เรื่องราวของบ๊อบบี้เริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1858 เมื่อเจ้านายของมันเสียชีวิต บ๊อบบี้ได้นอนเฝ้าอยู่ข้างหลุมศพของเจ้านายที่สุสานเกรย์ฟรายเออส์เคิร์ก (Greyfriars Kirk) อย่างซื่อสัตย์ไม่ยอมไปไหนเป็นเวลากว่า 14 ปี จนกลายเป็นที่รักและชื่นชมของชาวเมือง ศพของมันถูกฝังไว้ในสุสานเดียวกันกับเจ้านาย เรื่องราวของบ๊อบบี้ได้รับการถ่ายทอดเป็นนวนิยายชื่อดัง จนได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ของวอลต์ดิสนีย์อีกด้วย

SC Edinburgh_045

SC Edinburgh_064  SC Edinburgh_109

จากสุสานและรูปปั้นของบ๊อบบี้กลับมายังถนนรอยัลไมล์เราจะผ่านคาเฟ่ The Elephant House ที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของ Harry Potter ที่นี่คือ ร้านกาแฟที่ JK Rowling มาเขียนหนังสือเรื่องนี้นั่นเอง สุดเส้นทางรอยัลไมล์ เรามาถึงพระราชวังฮอลีรูด (The Palace of Holyroodhouse) ซึ่งเป็นที่ประทับของราชวงศ์สกอตมาอย่างยาวนาน น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเข้าไปชมด้านในพระราชวังและเดอะควีนแกลเลอรี (The Queen’s Gallery) ได้เพราะกำลังมีการจัดงานของราชวงษ์อังกฤษพอดี ดังนั้นการมาชมที่นี่ต้องเช็กกำหนดการของสำนักพระราชวังให้ดีก่อน เมื่อผิดหวังจากการเข้าชมพระราชวังและซากวิหารฮอลีรูด เราจึงเดินเลยไปชมวิวเมืองโดยการเดินไต่ขึ้นเขา Arthur’s seat ซึ่งอยู่ด้านหลังสวนฮอลีรูด (Holyrood Park) ถึงแม้จะเสียเหงื่อจากการออกแรงเดินไต่ขึ้นเขา แต่วิวเมืองเอดินบะระที่ได้เห็นแบบสุดลูกหูลูกตาและสวยงามมากๆ ก็นับเป็นรางวัลที่คุ้มค่า

SC Edinburgh_377 SC Edinburgh_394

อีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองเอดินบะระที่ไม่ควรพลาดก็คือเนินแคลตัน (Calton Hill) เพราะเราจะได้ชมเมืองเอดินบะระแบบ 360 องศา ทั้งวิวพระราชวัง เมืองเก่า เมืองใหม่ วิวทะเล ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็สวยไปหมดทุกองศา บนเนินแคลตันยังมีจุดน่าสนใจให้ชมมากมาย เช่น อนุสาวรีย์เนลสัน (Nelson Monument) ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพลเอกเนลสัน ผู้บัญชาการกองทัพนาวีอังกฤษที่นำทัพชนะศึกทราฟัลการ์ หอดูดาวซิตี้โดม สุสานเก่าแคลตันซึ่งเป็นที่ฝังศพของเหล่าพ่อค้าในอดีต และสิ่งที่เด่นสะดุดตามากที่สุดก็คือ อนุสรณ์สถานที่สร้างไม่เสร็จ (The Unfinished National Monument) เพราะงบประมาณหมดกลางคัน ในสมัยนั้นผู้คนถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่นำความอับอายมาสู่เมืองเอดินบะระ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองที่นักท่องเที่ยวและชาวเมืองชอบป่ายปีนขึ้นไปนั่งเล่นและถ่ายรูปกัน

SC Edinburgh_228  SC Edinburgh_136

เอดินบะระได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองผีสิงที่สุดในยุโรป ด้วยเรื่องราวลึกลับเล่าขานสยองขวัญมากมาย เราจึงลองไปใช้บริการของทัวร์ผี (Free Ghost Tour) โดยมีไกด์ชาวสกอตพาเดินชมจุดเกิดเหตุสยองขวัญต่างๆ เช่น จุดเกิดเหตุฆาตรกรรมสยองขวัญ อุโมงค์ลับที่เคยใช้ลักลอบขนศพไปขายให้กับโรงเรียนแพทย์ ถนนลึกลับแมรีคิงส์โคลสใต้เมืองที่มีเรื่องเล่าวิญญาณหนูน้อยแอนนี่ที่เสียชีวิตจากโรคระบาด และสุสานประจำเมือง โดยไกด์จะพยายามกระตุ้นต่อมความกลัว (ผี) ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขย่าขวัญ สลับกับมุขตลกผสมผสานในเรื่องเล่า ทัวร์นี้ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เราสามารถให้ทิปแก่ไกด์ทัวร์เพื่อเป็นสินน้ำใจตามกำลังทรัพย์และความพึงพอใจของเรา นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่น่าจดจำทัวร์ดีๆ เที่ยวฟรีดินแดนที่ราบสูงกับ Hairy Coo Free Tour มีคนเคยบอกว่าของฟรีดีๆ ไม่มีจริงในโลก แต่ฉันได้พิสูจน์แล้วว่า ทัวร์ฟรีดีๆ มีอยู่จริงที่สกอตแลนด์ หลังจากได้ไปเที่ยวดินแดนที่ราบสูงหรือไฮแลนด์สกับบริษัทแฮรี่คู ซึ่งเป็นทัวร์ท้องถิ่นของชาวสกอตที่จัดทริปเดินทางด้วยรถมินิบัสคันเก๋รับนักเดินทางประมาณ 20 – 24 คน พร้อมคนขับรถที่เป็นไกด์ไปด้วยในตัว โปรแกรมทัวร์เริ่มต้นจากย่านรอยัลไมล์เวลาประมาณ 08.45 น.

SC highlands_037

แล้วออกเดินทางไปยังเขตไฮแลนด์ส (Highlands) พื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับกับทะเลสาบ มีทั้งทัศนียภาพที่งดงามและโบราณสถานเก่าแก่ล้ำค่า ที่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง เช่น Harry Potter, James Bond 007 รวมทั้งเป็นฉากต้นแบบของการ์ตูนเอนิเมชันชื่อดังเรื่อง Brave ถึงแม้เราต้องเดินทางฝ่าสายฝนไต่เนินเขา แต่วิวทิวทัศน์สวยงามสองข้างทางก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค รถหยุดพักให้ชมเดอะโฟร์ทโร้ดบริดจ์ (The forth road bridge) สะพานแขวนที่มีความยาวเป็นอันดับสองของโลก ระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร เชื่อมเอดินบะระกับพื้นที่ด้านตะวันออก ก่อนที่จะมุ่งหน้า ต่อไปยังเมืองสเตอร์ลิง (Stirling) เมืองหลวงโบราณของสกอตแลนด์ที่แวดล้อมไปด้วยหุบเขาและธรรมชาติอันงดงาม มีปราสาทสเตอร์ลิง (Stirling Castle) ตั้งตระหง่าน และในที่สุดฉันก็ได้เจอเจ้าวัวแฮรี่คู (Hairy Coo/ Heilan Coo/Highland Cow) ที่ฉันเฝ้าฝันถึงมานานสักทีตรงทุ่งหญ้าด้านหน้าทางขึ้นปราสาท

SC highlands_207  SC highlands_083

ชาวคณะตกลงปลงใจใช้เวลาแวะชมเจ้าวัวสัญชาติสกอตแทนการขึ้นไปชมปราสาทบนเขา เพราะเจ้าวัวขนยาวพันธุ์พื้นเมืองของสกอตแลนด์ที่เล็มหญ้าอยู่ข้างทางหน้าตาน่ารักน่าชังน่ามอง บอกลาเจ้าวัวขนยาวผมทรงเกาหลี เราก็ไปต่อกันที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติวอลเลซ (National Wallace Monument) หอคอยสูงใหญ่แบบโบราณที่ตั้งอยู่บนเขา ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมความกล้าหาญของเซอร์วิลเลียม วอลเลซ ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชของสกอตแลนด์ หอคอยมี 4 ชั้น ชั้นแรกเป็นนิทรรศการแสดงเรื่องราวของเซอร์วิลเลียม วอลเลซ ชั้นที่ 2 เป็นเรื่องราวของฮีโร่ชาวสกอตคนอื่นๆ ชั้นที่ 3 เป็นแกลเลอรีแสดงภาพเกี่ยวกับการก่อสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ และชั้นบนสุดเรียกว่า The Crown เป็นจุดชมวิวพาโนรามาเมืองสเตอร์ลิง นับว่าคุ้มค่าเหนื่อยกับการเดินขึ้นเขาและไต่บันไดหอคอย เพราะได้ชมวิวทุ่งหญ้า แม่น้ำ ภูเขา และบ้านเรือนสวยงาม ฉันแอบจินตนาการไปถึงการสู้รบของทหารสกอตในยุคโบราณ ณ ลานหญ้าแล้วอดขนลุกกับบรรยากาศเบื้องหน้าไม่ได้ หลังจากแวะกินอาหารกลางวันกันที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อว่าแอเบอร์ฟอยล์ (Aberfoyle) รถก็มุ่งหน้าไปสู่เส้นทางที่เรียกว่า Three Lochs Forest Drive เป็นถนนเส้นสวยที่พาเราผ่านไปยังขุนเขาทุ่งหญ้าแบบสกอตและทะเลสาบถึง 3 แห่ง ได้แก่ Loch Katrine, Loch Ard และ Loch Drunkie เป็นเส้นทางที่สวยงามที่สุดเส้นหนึ่งที่ฉันเคยสัมผัส ถึงแม้ฝนจะตกโปรยปรายตลอดช่วงบ่าย แต่เชื่อว่าชาวคณะทุกคนเพลิดเพลินกับวิวทะเลสาบและทิวเขาแสนสวยแปลกตา ตลอดเส้นทางจะมีแต่เรากับหุบเขา แทบจะไม่มีโรงแรม ไม่มีบ้านคน ไม่มีปั๊มน้ำมัน ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นับเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติจริงๆ

SC Glasgow_018

SC Glasgow_039  SC Glasgow_205

ก่อนเดินทางกลับเอดินบะระ จุดสุดท้ายที่เราได้แวะชมคือ Doune Castle ปราสาทแห่งนี้นอกจากเคยเป็นฉากหลังในภาพยนตร์เรื่องดัง Monty Python and the Holy Grail ที่นี่ยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์ กล่าวคือ เคยเป็นที่พักผ่อนของ “แมรี่ ราชินีแห่งสกอต” ทั้งยังเคยเป็นฐานทัพของกองทหารโดยกองทัพสก็อตกับโอลิเวอร์ครอมเวลอีกด้วย ตลอดเวลาหนึ่งวันเต็มที่ฉันได้ร่วมเดินทางกับ Hairy Coo Free Tour ฉันประทับใจทั้งการบริการ เส้นทาง สถานที่ วิวทิวทัศน์ที่ได้สัมผัสและเพื่อนร่วมเดินทางที่ต่างเคยเป็นคนแปลกหน้ากันมาก่อน และถึงแม้จะเป็นทัวร์ฟรี แต่เราก็ควรเตรียมทิปให้ไกด์ด้วยเพื่อเป็นสินน้ำใจกับการบริการที่น่ารัก ซึ่งโดยทั่วไปทัวร์แบบนี้มีค่าใช้จ่ายคนละ 40 – 50 ปอนด์เลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าสกอตแลนด์จะไม่ใช่ประเทศยอดนิยมของนักเดินทางอย่างเช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส หรืออิตาลี แต่จริงแล้วสกอตแลนด์ยังมีสถานที่สวยงามและบรรยากาศที่น่าค้นหาอีกมากมาย

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0