ปัตตานี ที่นี่สวย
Story & Photo by Editorial Staff
ภาพมัสยิดกลางปัตตานีที่สะท้อนอยู่ในน้ำยังคงอยู่ในความทรงจำเมื่อครั้งได้เห็นภาพถ่ายจากพี่ที่รู้จัก และคำบรรยายบอกกล่าวว่าเป็นมัสยิดที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมครั้งนี้มีโอกาสไปเยือนจังหวัดปัตตานีไม่รอรีที่จะต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง
หลังจากเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ที่สนามบินจังหวัดนราธิวาส ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษเราก็เดินทางถึงชุมชนบางปู ฟังไม่ผิดครับชุมชนบางปูแต่ไม่ใช่บางปูที่จังหวัดสมุทรปราการนะ แต่อยู่ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คนในชุมชนได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ป่าชายเลน ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
โดยมีกิจกรรมล่องเรือชมอุโมงค์ต้นโกงกางที่ยาวเป็นกิโลฯ ซึ่งบางต้นอายุกว่า 100-400 ปี ซึ่งจะต้องนั่งเรือที่ผู้ขับเรือเป็นคนของชุมชน เพราะป่าโกงกางที่นี่มีเป็นพันซอยย่อยๆ ตามธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเก็บหอย ภายในป่าโกงกางบริเวณจุดที่ทางชุมชนกำหนดไว้
เมื่อสนุกจากกิจกรรมล่องเรือแล้ว ทางชุมชนมีร้านอาหารให้บริการนักท่องเที่ยวด้วยอาหารพื้นบ้านและที่ห้ามพลาดเด็ดขาดก็คือ ปูดำ ของขึ้นชื่อของชุมชน
เมื่อก่อนชาวบ้านเล่าว่ามีปูดำมากมาย แต่ด้วยการพัฒนาที่ไม่เป็นระบบและการทำลายธรรมชาติ สัตว์ทะเลก็หาได้ยากขึ้น แต่ปัจจุบันทางชุมชนอนุรักษ์และฟื้นฟูจนปูดำเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก
ต้องชื่นชมความเข้มแข็งของชุมชนบางปู อ.ยะหริ่ง ที่นี่ยังมีโฮมสเตย์ให้บริการด้วย เข้าไปสอบถามได้ที่ fb : ชุมชนท่องเที่ยวบางปู ปัตตานี
จากชุมชนบางปูเดินทางต่อมาแค่ 10 กว่านาทีเราก็เดินทางถึงมัสยิดกรือเซะ หรือมัสยิดปินตูกรือบันสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คำว่า “กรือเซะ” มีความหมายว่า ทรายสีขาวใสดั่งไข่มุกเนื่องจากหาดทรายของที่นี่ขาวสะอาด
ชื่ออย่างเป็นทางการของมัสยิดกรือเซะคือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ซาห์ เพราะสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านมูซัฟฟาร์ ซาห์ เป็นเจ้าเมืองปัตตานี
ที่นี่เป็นมัสยิดแห่งแรกในอาเซียนที่สร้างด้วยอิฐแดง อายุกว่า 300 ปี เป็นศิลปะผสมผสานแบบอาหรับ ซุ้มประตูโค้ง เสาทรงกลม และเมื่อปี พ.ศ. 2478 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
การเข้าเยี่ยมชมสามารถเข้าไปด้านในได้ แต่ต้องสวมผ้าตามระเบียบของทางมัสยิด ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ใจดีเตรียมให้ทางด้านหน้าก่อนเข้ามัสยิด
การเข้าไปในสถานที่ทางศาสนาของแต่ละที่ควรสำรวมและเคารพสถานที่ จะมีช่วงเวลาประกอบพิธีทางศาสนาจะไม่อนุญาตให้เข้าไปได้
ที่บริเวณใกล้เคียงมัสยิด ยังมีฮวงซุ้ยหรือที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ชาวปัตตานีเคารพศรัทธา
ในที่สุดก็มาถึงสถานที่ในฝันที่อยากมาเห็นด้วยตาตนเองก็คือมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ถนนยะรัง ต.อาเนาะรู อ.เมืองปัตตานีภาพมัสยิดสวยสง่างาม เป็นตึกคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น รูปทรงคล้ายกับ ทัชมาฮาล ของประเทศอินเดีย
ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2497 ใช้เวลาก่อสร้างนาน 9 ปี ตรงกลางเป็นอาคารมียอดโดมขนาดใหญ่และมีโดมบริวารทั้ง 4 ทิศ มีหอคอยอยู่สองข้างสูงเด่นเป็นสง่าบริเวณด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในมัสยิดมีลักษณะเป็นห้องโถง มีระเบียงสองข้าง ภายในห้องโถงมีบัลลังก์ทรงสูงใช้เป็นที่สำหรับ “คอฏีบ” ยืนอ่านคุฏบะฮ์ในการละหมาดวันศุกร์
หอคอยสองข้างนี้เดิมใช้เป็นหอกลางสำหรับตีกลอง เป็นสัญญาณเรียกให้มุสลิมมาร่วมปฏิบัติศาสนกิจ ต่อมาใช้เครื่องขยายเสียงแทนเสียงกลอง
ปัจจุบันขยายด้านข้างออกไปทั้ง 2 ข้าง และสร้างหอบัง (อะซาน) พร้อมขยายสระน้ำและที่อาบน้ำละหมาดให้ดูสง่างามยิ่งขึ้น ภายในมัสยิดประดับด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม ภาพจำยังชัดเจนและสวยงามจริงๆ
ไม่ไกลจากมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี สถานที่ต้องแวะมาสักการะขอพรเลยก็คือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
ตำนานว่า เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี เป็นสตรีชาวจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง จากเมืองจีนมาตามหาพี่ชายเดินทางมาค้าขายที่ปัตตานี สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครองกรุงศรีอยุธยาหรือรายอฮีเยาครองปัตตานี บิดามารดาและญาติพี่น้องต่างเป็นห่วง
น้องสาวจึงอาสาติดตามพี่ชาย และตั้งสัจวาจาไว้ว่าหากทำการไม่สำเร็จ นางจะขอยอมตายในที่สุดลิ้มกอเหนี่ยวก็เดินทางถึงปัตตานี และได้พบพี่ชายขณะนั้นเป็นนายช่างกำลังก่อสร้างมัสยิดบริเวณบ้านกรือเซะและกำลังหล่อปืนใหญ่เพื่อถวายรายอฮีเยา สตรีเจ้าเมืองปัตตานี
นางพยายามอ้อนวอนพี่ชายให้กลับสู่เมืองจีน แต่ลิ้มเตาเคียนปฏิเสธบอกว่าเขาเป็นมุสลิม มีครอบครัวแล้วด้วย นางผิดหวังและเสียใจอย่างยิ่ง จึงตัดสินใจผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ใกล้มัสยิด
ว่ากันว่าที่ลิ้มเตาเคียนสร้างมัสยิดไม่สำเร็จ เมื่อก่อหลังคาครั้งใดก็ถูกฟ้าผ่า จนถึงสามครั้งสามครา มัสยิดที่กรือเซะจึงสร้างค้างคามาจนทุกวันนี้ เป็นเพราะคำสาปแช่งของลิ้มกอเหนี่ยว เดิมที่นี่คือ ศาลเจ้าโจวซือกง เนื่องจากมีองค์โจวซือกง (พระหมอเชงจุ้ยโจวซือกง) เทพเจ้าแห่งการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย
ต่อมาได้อัญเชิญรูปแกะสลักองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเดิมอยู่ในศาลเจ้าใกล้กับสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ใกล้กับมัสยิดกรือเซะ) มาประทับที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จึงเรียกขานศาลเจ้าแห่งนี้ว่าศาลเจ้าเล่งจูเกียง หมายถึง ศาลเจ้าแห่งความเมตตาและศักดิ์สิทธิ์ ส่วนใหญ่เรียกว่า ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้
บริเวณข้างๆ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวยังมีหอนิทรรศน์สานอารยธรรม จังหวัดปัตตานี หรือพิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
อาคารสถาปัตยกรรมแบบจีน มีส่วนที่จัดแสดงเกี้ยวที่ใช้อัญเชิญ และงานพิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว, ห้องมัลติมีเดีย และห้องรำลึกมหาราชา ฯลฯ
ประมาณ 10 นาที จากศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ก็จะมาพบกับสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอีกหนึ่งที่ คือ สกายวอล์กปัตตานี แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของปัตตานี
ตั้งอยู่ภายในบริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ สวนเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา หรือสวนแม่สวนลูก ต.สะมิแล อ.เมืองปัตตานี
เป็นสะพานเหล็กขนาดใหญ่มั่นคง มีความสูงเท่ากับตึก 3 ชั้น หรือประมาณ 12 เมตร มีทางเดินด้านบนยาวประมาณ 400 เมตร เป็นตาข่ายเหล็กสามารถมองเห็นด้านล่างได้ มีบันไดขึ้น-ลง 2 จุด
ระหว่างทางเดินมีศาลาที่พัก 5 จุดไว้ให้นั่งพักชมบรรยากาศ แต่ละศาลาจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันด้วยเช่น ศาลาจิกทะเล, ศาลาสารภีทะเล ฯลฯ
สถานที่แห่งนี้มีทั้งส่วนทางเดินด้านบน กับส่วนพื้นดินที่เป็นสวนป่าชายเลนเป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ส่วนด้านบนจะมองเห็นทั้งสวนสาธารณะป่าชายเลนด้านล่างที่สวยงาม อุดมสมบูรณ์ มีนกและสัตว์น้ำ
อีกด้านจะเห็นท้องทะเลอ่าวไทย มองไปอีกนิดจะเห็นปลายแหลมตาชี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าแหลมโพธิ์
การได้เดินทางมาจังหวัดปัตตานีครั้งนี้ แม้เป็นช่วงเวลาไม่นาน ไม่สามารถเที่ยวได้ทั้งจังหวัด แต่ก็เก็บความประทับใจกลับไปได้มากโข รวมทั้งยังได้เพิ่มภาพจำจากภาพถ่ายให้มีมิติเพิ่มขึ้นผ่านดวงตาจากสถานที่จริง เป็นภาพที่ไม่ได้ผ่านการตกแต่งด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพต่างๆ ให้สวยงามเกินจริงเพราะที่เห็นของจริงต้องบอกว่าสวยจริงๆ ไม่ใช่สวยเกินจริง