Memory in Mostar

Story & Photo by Kanjana Hongthong

รถบัสคันนั้นไม่ได้หอบผู้โดยสารจากเมืองซาราเยโว (Sarajovo) ไปส่งที่เมืองมอสตาร์ (Mostar) เท่านั้น แต่ยังหอบนักเดินทางผู้กระหายใคร่รู้และอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของประเทศบอสเนีย แอนด์ เฮอร์เซโกวินา (Bosnia and Herzegovina) จากขวานทองติดเอาไปด้วย

Mostar 7442

ที่จริงแค่ซาราเยโวเมืองเดียวก็ทำให้ฉันซึ้งกินใจในเรื่องราวของบอสเนียแล้ว แต่เชื่อเหลือเกินกว่ามอสตาร์เป็นอีกเมืองหนึ่งที่จะช่วยประติดประต่ออดีตอันขมขื่นที่เพิ่งผ่านไปไม่นานของชาวบอสเนียฯ ได้สองชั่วโมงกว่าบนบัสฉันแทบตุนไม่ได้ซักเงียบเดียว เพราะมัวแต่เคลิ้มไปกับทิวทัศน์ระหว่างทาง ทะเลสาบผืนใหญ่ช่วยคลายเรื่องหม่นเศร้าของบอสเนียฯไปได้เยอะ บางช่วงร่างทะมึนของเทือกเขาไดนาริค แอลป์สก็ปรากฏอยู่นอกหน้าต่างรถบัส

Mostar 7423

แต่ความที่บัสจอดรับและส่งผู้คนตามรายทาง ความเพลิดเพลินอีกอย่างหนึ่งจึงเป็นการนั่งสังเกตผู้คนที่ขึ้นลงหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน ถึงจะไม่ควรทึกทักสรุปว่าชาวบอสเนียฯ พ.ศ. นี้เขาเลิกเศร้ากับเรื่องราวในอดีตกันไปแล้ว แต่เท่าที่สังเกตดู มันเป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ ชาวบอสเนียฯ ไม่ใช่คนยิ้มยาก ถึงแม้จะผ่านทุกข์โศกมาได้ไม่นานนักก็ตามที

Mostar 7747

นักสอดส่องต้องขยับตัวเมื่อบัสแน่นิ่งที่สถานีรถประจำทาง ไม่มีป้ายบอกกล่าวทางเข้าเมืองเก่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป เพราะทั้งเจ้าถิ่นและคนต่างถิ่นเดินพุ่งไปในทิศทางเดียวกันหมด ไม่ต้องบอกว่าถึงเมืองเก่าก็รู้ว่ากำลังย่างสองขาในเขตเมืองเก่าเข้าแล้ว เพราะบ้านเรือนที่ขนาบถนนสายแคบๆ อยู่ ไม่มีใหม่ซักหลัง นี่ขนาดว่ารีโนเวทกันหลังสงครามมาแล้ว แต่ความเก่าก็ยังแผ่หลาอยู่

Mostar 7567

คาเฟ่สุดชิคริมแม่น้ำเนเร็ทวา (Neretva River) ทำระเบียงยื่นออกไปให้นักชิมบรรยากาศได้ชมเวิ้งน้ำที่คดโค้งน่ามอง มุมนี้ก็เช่นกัน ไม่มีใครมานั่งเศร้ากับเรื่องราวในอดีต ทั้งที่มอสตาร์คือหนึ่งในเมืองที่บาดเจ็บแสนสาหัสไม่น้อยไปกว่าซาราเยโว หนุ่มสาวของบอสเนียฯ มานั่งตั้งวงสนทนาพ่นน้ำลายและพ่นควันกันอย่างเมามัน

Mostar 7665

ยิ่งขยับตัวเข้าเบียดมอสตาร์ ฉันยิ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครๆ ที่มาถึงบอสเนียฯ จึงไม่ยอมหยุดอยู่แค่ซาราเยโว แต่ทุกคนต้องมุ่งหน้ามาเห็นเมืองมอสตาร์กันให้ได้ ถนนปูด้วยหินก้อนใหญ่ในเขตเมืองเก่าเติมแต่งความคลาสสิกให้มอสตาร์ไปโดยปริยาย แต่เตือนไว้ซะก่อนเลยว่าไม่รู้เป็นหินอะไร ทั้งใหญ่ทั้งลื่น แต่น่าจะขนมาจากแม่น้ำเนเร็ทวา ใครโหนมาบนส้นสูงอาจลำบากใจ หน่อยที่จะยิ้มให้มอสตาร์ แต่นั่นล่ะ ทำให้มอสตาร์เป็นเมืองคลาสสิกชะมัด

Mostar 7600

ริมแม่น้ำเนเร็ทวา ไม่ได้มีแค่คาเฟ่ให้นั่งชิลล์เอ้าท์กันเท่านั้น แต่บรรดาร้านขายของก็ใช่ย่อย บางครั้งฉันก็วัดระดับความสุนทรีย์ของเมืองนั้นจากข้าวของที่วางขายนั่นแหละ ที่ไหนมีช่างฝีมือหลายแขนงมานั่งประดิดประดอยค่อยๆ ตอกค่อยๆ วาด แน่นอนว่าย่อมน่าดูกว่าเมืองที่เต็มไปด้วยของผลิตซ้ำเป็นโหลมาวางขายเกลื่อนเหมือนกันทุกร้าน มอสตาร์ก็เป็นแบบนั้นแหละ บนถนน Kujundziluk เราจะเห็นช่างเหล็กนั่งตอกเสียงดังโป้กเป้กอย่างไม่สนใจใยดีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ร้านติดกันอาจจะขายของเก๋ๆ ที่ทำจากทองแดง และร้านขายภาพเขียนคือสิ่งที่เมืองสุนทรีย์ขาดไม่ได้เด็ดขาด

Mostar 7737

ถ้าจะมีอยู่อย่างเดียวที่นักท่องเที่ยวต้องไปยืนทำความเคารพคือ สะพานโบราณ (Old Bridge) หรือสตารี มอสต์ (Stari Most) สะพานหินเล็กนิดเดียวแต่เป็นโลโก้ที่เข้มแข็งของมอสตาร์ สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในยุคออตโตมันเหมือนเมือง มอสตาร์นั่นแหละ

Mostar 7543

ช่วงกลางศตวรรษที่ 16 สุลต่านแห่งอาณาจักรออตโตมันทรงสั่งให้สร้างสะพานนี้ขึ้น และในช่วงที่เกิดสงครามยืดเยื้อในบอสเนียฯ สะพานนี้ก็ไม่รอดจากการถูกละเลงจนเสียโฉม พวกโครแอตระเบิดซะพัง จนสงครามเลิกนั่นแหละ สะพานโบราณแห่งนี้ถึงได้ถูกปะแต่งซ่อมบำรุงขึ้นใหม่ เท่าที่รู้ เขาพยายามไปสรรหาพวกวัสดุที่เคยใช้สร้าง วิธีก็เน้นแบบดั้งเดิมที่สุด

Mostar 7521

จะว่าไปหากไม่โดนระเบิดสะพานอายุ 400 กว่าปีคงจะดูเก่าคร่ำและคลาสสิกพิลึก แต่หลังจากโมดิฟายเสร็จยูเนสโก้ก็เจิมสายสะพายมรดกโลกให้เลย ฉันคงโชคไม่ดีเท่าไหร่ เลยไม่ได้เห็นพวกนักกระโดดน้ำ ดิ่งพสุธาลงไปหาแม่น้ำเนเร็ทวา อุตส่าห์เฝ้ารออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็น เขาว่าแถวสะพานจะมีนักกระโดดน้ำมาแข่งกระโดดน้ำกัน หรือถ้าไม่ได้แข่งขัน ก็จะเป็นกระโดดโชว์นักท่องเที่ยวเพื่อขอทิปจากนักท่องเที่ยว แต่ตอนนี้เขาห้ามนักท่องเที่ยวกระโดด เพราะมีคนมาทิ้งชีวิตกันในแม่น้ำเนเร็ทวากันเยอะ

Mostar 7725

ละจากคอสะพานมานิดเดียวเป็นพิพิธภัณฑ์สะพานโบราณ (Old Bridge Museum) ที่นี่เขาเปิดให้ชมฟรี จึงเลอค่าน่าเข้ามาก ด้านในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงนิทรรศการและภาพถ่ายที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ของสะพาน และมีของแถมเป็นวิวเมืองที่มองจากด้านบนแล้วแจ่มพอควร แต่คนซุกซนอย่างฉัน ออกจากพิพิธภัณฑ์จึงเดินลัดเลาะลงไปหาแม่น้ำเนเร็ทวา ดูเหมือนไม่ได้มีแค่ฉันหรอก ครอบครัวสุขสันต์ก็ลงมานั่งวาดรูปกันริมแม่น้ำ เงยหน้ามองสะพาน ยอดมัสยิด อาคารบ้านเรือนที่ระเกะระกะอยู่ริมตลิ่ง ไม่ได้แค่ชอบ แต่ฉันจดจำโมเมนท์นั้นได้แม่นยำ ถึงไม่ใช่คนที่ นั่งละเลงสี แค่นั่งนิ่งๆ ทอดสายตามองสิ่งรอบตัว ได้ยินแม้แต่เสียงสายน้ำ มันเป็นนาทีที่สุนทรีย์จนลืมความชอกช้ำของเมืองมอสตาร์ไปสนิทใจ

Mostar 7698

สำหรับนักท่องเที่ยวมอสตาร์ในวันนี้ยังคงเป็นเมืองน่าเที่ยว แต่ในความสุนทรีย์ที่เห็นอยู่ มอสตาร์ในบางมุมกลับยังมีรอยร้าวที่ซ่อนอยู่ ฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเป็นพวกโครแอตที่นับถือศาสนาคริสต์แบบคาทอลิก อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเป็นชาวบอสเนียที่นับถือมุสลิม คนแถวนั้นบอกเดาง่ายๆ ว่าฝั่งไหนเป็นพวกโครแอตหรือบอสเนีย ให้สังเกตดูว่าถ้าฝั่งไหนเจริญกว่า มีตึกสูงกว่านั่นคือฝั่งโครแอต โรงเรียน ตลาด บ้านเรือน สำนักงาน แยกกันชัดเจน

Mostar 7699

ฉันเดินละจากริมแม่น้ำมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวเมืองเก่า พยายามเข้าใจความเป็นอยู่ของชาวเมืองมอสตาร์ทั้ง 2 ฝั่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประติดประต่ออะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ เพราะในเขตเมืองเก่าก็ชวนน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย สิ่งปลูกสร้างในยุคโบราณยังคงหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ที่ทุกวันนี้หลายบ้านแปลงสภาพมาเป็นพิพิธภัณฑ์

Mostar 7500

ที่นี่ยังมีมัสยิดที่แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนมัสยิดสีฟ้าในนครอิสตันบูลแต่บางทีนี่อาจจะเป็นสถานที่ที่ยังชวนให้นึกถึงอดีตในยุคออตโตมัน บอกไม่ถูกว่า ความทรงจำในมอสตาร์เป็นแบบไหนกันแน่ มันกึ่งสุขกึ่งเศร้า คล้ายกำลังมองหญิงสาว ที่สวยเหลือเกินแต่ในดวงตาของหล่อนเจือความเศร้าและบอกเล่าทุกข์ร้อน รถบัสเคลื่อนออกห่างจากมอสตาร์มาไกลแล้ว แต่ความห่วงใยยังคงทอดยาวเป็นทาง

Mostar 7748

 

– มีสายการบินจากกรุงเทพฯ ไปกลับซาราเยโวทุกวัน ใครจะแวะเที่ยวอิสตันบูลเป็นของแถมก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้คนไทยเข้าตุรกีไม่ต้องทำวีซ่า
– จากหัวเมืองใหญ่ในยุโรปตะวันออก เช่น บูดาเปสท์ เบลเกรด และซาเกร็บ มีรถไฟนั่งไปซาราเยโว แต่ใช้เวลาหน่อย โดยสามารถใช้พาสประเภท Balkan Flexipass คลิกไปดูรายละเอียดของตารางรถไฟได้ที่ www.raileurope.co.th
– จากซาราเยโวไปมอสตาร์มีรถบัสประจำทางออกวันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า
– มอสตาร์เป็นเมืองที่กำลังมาแรง จึงมีที่พักให้เลือกค่อนข้างเยอะและหลากหลายระดับ แนะว่าให้พักในเขตเมืองเก่าจะดีกว่า เพราะใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช้อปปิ้ง
– เดือนที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งคือ ก.ค. และ ส.ค. เพราะอากาศจะร้อนจัดแล้วนักท่องเที่ยวเยอะมาก ค่าที่พักค่อนข้างแพง เช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางที่ www.weather.com
– คนมีวีซ่าเชงเก้นเดินทางเข้าบอสเนียแอนด์เฮอร์เซโกวินาได้แล้ว มีเงื่อนไขแค่ว่า คุณจะต้องเดินทางมาจากประเทศอื่นในกลุ่มเชงเก้นเช่นมาจากโครเอเชีย อิตาลี หรือมอนเตเนโกรก่อนก็ได้ และวีซ่าเชงเก้นอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน
– สกุลเงินของบอสเนียแอนด์เฮอร์เซโกวินาใช้สกุล BAM 1 ยูโร แลกได้ประมาณ 1.95 BAM หรือ 1 BAM ประมาณ 22 บาท

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0