Happy Time in Montreal

Story by Editorial Staff

เรียกได้ว่ามีความมึนงงเล็กน้อย ยามที่ผมย่างก้าว อยู่ในเมืองมอนทรีออล (Montreal) แห่งนี้ คำทักทายอย่าง “Bonjour-hi” ที่เป็นการรวมเอาสองภาษาระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศสเข้าด้วยกันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมที่เข้ากันได้อย่างลงตัวสำหรับที่นี่

ความพิเศษและเจ๋ง (ในภาษาวัยรุ่น) ของมอนทรีออลสำหรับสายตาผม คือ การที่มีภูเขา Mont Royal ตั้งอยู่กลางเมืองซึ่งคุณสามารถชมวิวเมืองได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไกลมากนัก ขึ้นเขาที่อยู่กลางเมืองไปก็เห็นเลยว่างั้น ที่นี่เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของแคนาดาอยู่ในเขตการปกครองของรัฐควิเบก

คุณสามารถท่องเที่ยวไล่มาจากควิเบก มอนทรีออลและไปออตตาวาต่อได้ เดิมมอนทรีออลเคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการเงินของแคนาดามาก่อนทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองที่ผสมผสานกับความเก่าแก่ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองมอนทรีออลสามารถเดินเที่ยวได้ในบางสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ

ไม่ว่าจะเป็นย่านเมืองเก่า (old montreal) ที่มีโบสถ์ใหญ่สวยงามอยู่ใจกลางย่าน อย่างโบสถ์ notre-dame basilica cathedral ท่าเรือเก่าแก่ (old port) ที่คุณสามารถเดินกินลมชมวิวไปอย่างสบายๆ หรือจะออกไปนิดอีกหนึ่งกลุ่มอย่างโซนของพฤกษชาติ (Montreal Botanical Garden)

ที่จะมีอาคารสำคัญอย่าง Montreal Biodome หรือ Montreal Olympic Stadium ว่ากันว่าคนที่ออกแบบสวนที่อยู่บนภูเขา Mont Royal กลางเมือง นั่นเป็นคนคนเดียวกันกับที่ออกแบบสวนเซ็นทรัลปาร์ก (Central Park) ของนิวยอร์ก พอได้ยินแบบนั้นเลยรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในเซ็นทรัลปาร์กที่มีความพิเศษ

ยกระดับสูงโดยมีเมืองมอนทรีออลเป็นฉากประกอบกันเลย บนภูเขามีทะเลสาบบีเวอร์ ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นอยู่ด้วย ช่วงหน้าหนาวก็จะกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งให้เล่นกัน มองออกไปทางเมืองจะเห็น คลอง Rivière des Prairies พรมแดนทางเหนือของมอนทรีออลอยู่ลิบๆ ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นอยู่ด้วย ช่วงหน้าหนาวก็จะกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งให้เล่นกัน มองออกไปทางเมืองจะเห็น คลอง Rivière des Prairies พรมแดนทางเหนือของมอนทรีออลอยู่ลิบๆ

หลังจากชมวิวผมแวะที่ คริสตจักรเซนต์โจเซฟออราทอรี (Saint Joseph’s Oratory of Mount Royal) ด้านล่างเชิงเขานั่นเอง โบสถ์นี้ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ในปี 1904 ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Dalbe Viau และอัลฟองส์ Venne สร้างขึ้นในสไตล์เรอเนซองส์ของอิตาลี ที่นี่มีศาสนิกชนสนใจและศรัทธาเป็นจำนวนมากจนต้องมีการสร้างเพิ่มเติมจนปัจจุบันสามารถบรรจุได้ถึง 3,000 ที่นั่งกลายเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแคนาดา แถมยังมียอดโดมทองแดงที่เป็นหนึ่งในโดมที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกด้วยภายในโบสถ์เปิดโล่งและสว่างไสว ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็นไม้เท้า ค้ำยันหลายอันแขวนอยู่ตรงกำแพงซึ่งทางบาทหลวง André ผู้ก่อตั้งใช้รักษาผู้คนจนได้รับการยกย่องแต่งตั้งเป็นนักบุญ

ผมเป็นคนที่ชื่นชอบกับการเดินย่านเมืองเก่าเป็นพิเศษอย่างเช่นที่ ย่านเมืองเก่าของมอนทรีออลแม้จะอยู่ในแคนาดาแต่ก็มีกลิ่นอายฝรั่งเศส ยกตัวอย่างเช่นทางเดินหิน เป็นต้น แนะนำให้เริ่มจากบริเวณ Pointeà- Callière จุดกำเนิดของเมือง แล้วเดินไปตามถนน Rue Saint-Paul ถนนเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่ของเมือง ลัดเลาะไปชมพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ของมอนทรีออลโดยเฉพาะซึ่งเป็นคฤหาสน์เก่า ที่เคยใช้เป็นที่พักของผู้ว่าการรัฐในศตวรรษที่ 18 อย่าง Château Ramezay หรือไปชมพิพิธภัณฑ์ Marguerite-Bourgeoys ชมรากฐานของโบสถ์หินแห่งแรกของเมืองซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนใหญ่ตึกรามบ้านช่องของย่านนี้เป็นโทนสีเข้มๆ ทึมๆ แต่ให้ความรู้สึกคลาสสิกและอบอุ่นเป็นที่สุด ตึกเก่าสุดมีมาตั้งแต่ปี 1600 ถึงแม้จะปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกอย่างแบบเมืองอื่นๆ แต่ก็ยังมีผู้คนท้องถิ่นอาศัยอยู่เหมือนกัน

สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปแนวขาวดำ หรือเล่นแสงเงาน่าจะชอบและที่สวยจับใจผม คงเป็น โบสถ์นอเทอร์ดามของมอนทรีออล (notre-dame basilica cathedral) โบสถ์นี้เสียค่าเข้าชมนิดหน่อย แต่ผมบอกเลยว่าคุ้ม แค่คุณได้ไปเห็นออร์แกนขนาดใหญ่ที่อยู่ในโบสถ์ก็คุ้มแล้ว คนดังของแคนาดาหลายคนนิยมมาแต่งงานกันที่โบสถ์นี้ อย่างเช่น เซลีน ดิออน (celine dion) นักร้องที่ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ไททานิก เป็นต้น

สถาปัตยกรรมเป็นแบบสไตล์นีโอกอธิก สังเกตเห็นหอคอยคู่ตึกสูงตระหง่าน ภายนอกอาจดูเรียบๆ ไปหน่อย แต่พอเดินเข้าไปข้างในบอกเลยว่าอลังการมาก สีทองโดดเด่นเป็นสีหลัก มีแทรกด้วยสีฟ้าบ้างบางจุด สีทองเด่นเห็นมาแต่ไกลคือ แสงสีทองที่ส่องประกายออกมาจากแท่นบูชาที่ประดับประดาสวยงามวิจิตรตระการตา โบสถ์นี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Sainte-Chapelle ที่กรุงปารีส

เราจะเห็นเทคนิคสีสันคัลเลอร์นี้ได้จากการแหงนหน้ามองเพดานของโบสถ์ ส่วนหน้าต่างกระจกสีของโบสถ์นอเทอร์ดามจะแสดงประวัติความเป็นมาทางศาสนาของอาณานิคม Ville-Marie ที่กลายมาเป็นมอนทรีออลในปัจจุบัน และอย่างที่พูดไว้ข้างต้นในสวนด้านหลังของโบสถ์จะมีไปป์ออร์แกนขนาดใหญ่ตั้งอยู่สร้างขึ้นในปี 1891 โดยบริษัทแคนาดา Casavant et Frères ถ้าคุณอยากได้ฟังการบรรเลงออร์แกนเก่าแก่นี้จากเฉลียงด้านบนก็จ่ายเงินอีกเล็กน้อย ก็จะสามารถสัมผัสความสุนทรีย์ทางดนตรีจากออร์แกนอันนี้ได้

เดินต่อกันอีกหน่อยจากย่านเมืองเก่าไปที่ท่าเรือเก่า (old port) ซึ่งไม่ไกลมากนัก แม้ว่าปัจจุบันที่นี่จะไม่ค่อยมีเรือใหญ่มาจอดเพราะมีท่าเรืออีกแห่งที่ริมแม่น้ำ St.lawrence แต่ก็ยังมีบริการให้เช่าเรือล่องแม่น้ำชมวิวทิวทัศน์อยู่ ท่าเรือแห่งนี้สร้างตั้งแต่สมัยอาณานิคมปี 1600 และรุ่งเรืองสุดๆ ในช่วงปี 1896 ถึง 1930 ปัจจุบันเป็นสถานที่ผ่อนคลายยอดนิยมสำหรับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเพราะตลอดริมน้ำกว้าง เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และกิจกรรมมากมาย ภาพที่เห็นได้ชินตาก็จะเป็นนักท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ออกมาเดินออกกำลังกายหรือเล่นกีฬากัน อย่างเช่น ปั่นจักรยาน วิ่งจ๊อกกิ้ง หรือเล่นรถไฟฟ้าแบบยืนสองล้อ โรลเลอร์เบลด เป็นต้น

วันต่อมาผมมีโอกาสได้ไปชมสวนพฤกษชาติมอนทรีออล (Montreal Botanical Garden)เดิมที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสวนดอกไม้ของเมืองเท่านั้น แต่กลับได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนกลายเป็นสวนพฤกษชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยพื้นที่ร่วม 185 เอเคอร์ (1 เอเคอร์ ประมาณ 2.53 ไร่ = 468 ไร่) มีพืชพรรณไม้ทั้งไม้ยืนต้นและไม้พุ่มรวมแล้วกว่า 7,000 ชนิด จัดเป็นธีมต่างๆ รวม 30 รูปแบบ เช่นสวนกุหลาบ (Rose Garden), สวนแบบจีน (Chinese Garden) ซึ่งอันนี้จัดแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่เมืองจีนเลย สวนแบบญี่ปุ่น (Japanese Garden) ที่บางช่วงจะมีกิจกรรมชงชาด้วย และมีเรือนกระจกอีก 10 หลัง

ด้วยอาณาบริเวณกว้างขนาดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าคุณจะต้องเดินเหนื่อยจนขาลาก ที่สวนมีรถบัสบริการฟรีให้คุณสามารถขึ้นลงชมส่วนต่างๆ ของสวนได้ ช่วงที่น่ามาที่สุด ผมแนะนำว่าเป็นฤดูใบไม้ร่วงเพราะคุณจะเห็นใบไม้พร้อมใจกันผลัดใบปรับเปลี่ยนสีสันไปตามฤดูกาล หรือในช่วงฤดูร้อนที่มักจะมีกิจกรรมหลากหลายให้ร่วมสนุกกัน ภายในสวนจะมีอุทยานแมลงที่จัดแสดงแมลงกว่า 250,000 ชิ้น เป็นพิพิธภัณฑ์แมลงที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือเลยทีเดียวถ้ามีเวลาผมก็อยากแนะนำให้เข้าชม ส่วนนี้แม้มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม แต่การได้ชมคอลเลกชันแมลงสตัฟฟ์หายากที่มาจาก 80 ประเทศ ผมว่าคุ้มราคาอยู่

และถ้าคุณอยากรู้จักสภาพอากาศแคนาดามากขึ้นแบบเร่งรัด ผมว่าที่มอนทรีออลไบโอโดม (Montreal Biodome) น่าจะให้คำตอบคุณได้เป็นอย่างดี เพราะที่นี่เขาจะจำลองระบบนิเวศที่แตกต่างกันห้าแบบของทวีปอเมริกาตั้งแต่แบบร้อนชื้นไปจนถึงแบบอาร์กติก ให้คุณได้สัมผัสสภาพอากาศหลายแบบในที่เดียวซึ่งระบบนิเวศนี้สร้างอยู่ภายใต้โดมกระจกขนาดใหญ่ของเวโลโดรมที่สร้างไว้สำหรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่มอนทรีออลในปี 1976 นั่นเองบางครั้งเราก็เรียกบริเวณนี้เป็นสนามกีฬาโอลิมปิกสเตเดียม (Montreal Olympic Stadium)

เดินแบบเร็วใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้ มอนทรีออลไบโอโดมอยู่ตรงข้ามกับสวนพฤกษชาตินั่นเองหากมาแล้วแวะทั้งสองที่ได้เลย หลายคนที่เดินทางมาออตตาวา และควิเบกมักที่จะเฉียดมอนทรีออลไปๆ มาๆ เพราะเป็นเหมือนทางผ่านของสองเมืองใหญ่ แต่สำหรับใครที่ได้มาแคนาดาครั้งหนึ่งผมแนะนำให้แวะมาเที่ยวชมมอนทรีออลสักครั้งทานอาหารแบบแคนาดา อย่าง Poutine คุณจะรู้ว่าเฟรนช์ฟรายส์ ราดเกรวี่และชีสเคิร์ด (Cheese Curd) มันอร่อยแค่ไหน

– อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์แคนาดา ประมาณ 30.5 บาท
– เวลาในประเทศแคนาดาช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 14 – 15 ชั่วโมง และถูกแบ่งออกเป็น 6 โซนโดยอิงตามพื้นที่ ซึ่งในแต่ละโซนจะมีเวลาต่างกัน 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
– แคนาดามีธรรมเนียมการให้ทิป โดยต้องให้ 10 – 15% แก่พนักงานเสิร์ฟ คนขับแท็กซี่ ช่างทำผม พนักงานโรงแรมและบาร์เทนเดอร์ ฯลฯ

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0