Getting around London

….ต้องจากเธอไกล เพื่อไปลอนดอน
อย่าทำแสนงอน เมื่อตอนพี่ไป
เธอต้องทำใจ ไว้ให้หนักหน่วง
อย่ามาคิดลวง หยุดดวงพี่เลย….
ขึ้นต้นมาด้วยเพลงจากไปลอนดอน ของวงชาตรีเช่นนี้
หลายคนอาจจะพอเดาอายุของผมได้เป็นแน่แท้

นครลอนดอน (London) คือเมืองหลวงของอังกฤษซึ่งอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของ สหราชอาณาจักร (United Kingdom) หรือชื่อเต็มคือ สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) ประกอบด้วย ดินแดน 4 ส่วนหรือแคว้นโดย 3 ส่วนอยู่บนเกาะอังกฤษ คือ แคว้นอังกฤษหรืออิงแลนด์ แคว้นสกอตแลนด์ และ แคว้นเวลส์และ 1 ส่วนอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ คือ แคว้นไอร์แลนด์เหนือ โดยประเทศอังกฤษนั้นเป็นส่วนหนึ่งบนเกาะบริเตนใหญ่ แต่ถึงอังกฤษจะถูกนิยมเรียกว่าประเทศก็จริง แต่หลังจากที่มีการสถาปนาอาณาจักรบริเตนใหญ่ ขึ้นเป็นประเทศในปี พ.ศ. 2250 แล้ว อังกฤษก็ไม่ถือว่า เป็นรัฐอิสระอีกต่อไป แต่เรามักจะชอบใช้ คำว่า อังกฤษ แทนสหราชอาณาจักรอยู่

สำหรับเมืองหลวงอย่างนครลอนดอนนั้น มีชื่อเสียงในเรื่องของวัฒนธรรมเฉพาะตัว รวมถึงเป็นเมืองเก่าแก่ที่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจโลกมาหลายศตวรรษในลอนดอน สะดวกสบายด้วยระบบขนส่งมวลชนต่างๆ มากมาย ให้คุณได้เลือกการเดินทางแม้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ตาม คุณก็สามารถเดินทางได้ทั่วเมือง ด้วยระบบขนส่งที่ทันสมัยและครอบคลุมในหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารประจำทาง รถไฟใต้ดิน และแท็กซี่ที่ให้มองข้ามไปเพราะค่อนข้างแพง และเมื่อมาลอนดอนแล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ประจำเมืองก็คือรถไฟใต้ดินของลอนดอน ปี 2017 นี้ก็ครบรอบ 154 ปีแล้ว สัญลักษณ์ของสถานีรถไฟใต้ดิน คือป้ายวงกลมสีแดง มองหาป้ายที่ว่าแล้วมุดลงใต้ดินไปเที่ยวทั่วลอนดอน กันได้เลย

และเมื่อพูดถึงลอนดอน หลายๆ คนก็จะนึกถึงพระราชวังเก่าๆ และ ตึกเก่าๆ แต่มันจะมีตึกทันสมัยอยู่หนึ่งตึกที่สะดุดตาผมเป็นที่สุด ออกแบบเป็นรูปเกลียวดูคล้ายแตงกวาดอง ตึกนั้นเรียกว่า เดอะ เกอร์คิน (The Gherkin) หรือที่ปัจจุบันมีชื่อว่า 30 St Mary Axe ตึกนี้สร้างโดยสถาปนิก ชื่อดังของโลกอย่าง Norman Foster เจ้าของผลงาน ตึก HSBC ในฮ่องกงนั่นเอง นอกจากจะมีการออกแบบที่แปลกตา ยังมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอีกด้วย อีกทั้งด้วยการออกแบบโครงสร้างให้สูงถึง 180 เมตร มี 41 ชั้น ทำให้อาคารใช้พลังงานประมาณครึ่งหนึ่งของอาคารส่วนใหญ่ในขนาดเดียวกัน อาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านการเงินของ City of London แต่เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสำนักงานและที่อยู่อาศัย จึงไม่ค่อยเปิดให้เข้าชม ปัจจุบัน อาคารแห่งนี้ถูกซื้อไปโดยเศรษฐีชาวบราซิลรายหนึ่ง หลังจากถูกขึ้นป้ายขายต่อหลายต่อหลายครั้ง และถือเป็นอาคารที่มีราคาแพงที่สุดในเกาะอังกฤษปัจจุบัน ผมเองชอบมาเดินเล่นตรงพลาซ่าที่อยู่ติดๆ กัน แล้วก็อดทึ่งไม่ได้ว่า กระจกโดยรอบที่เหมือนโค้งมนนั้น แท้จริงมีกระจกโค้งเพียงแผ่นเดียวในอาคาร คือ แผ่นที่อยู่บนยอดเท่านั้น น่าทึ่งไหมล่ะ

ไม่ไกลจากตึกแตงกวานัก คุณจะเห็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของลอนดอนนั่นก็คือ สะพานหอคอย (Tower Bridge) ที่สร้างมา เพื่อใช้ข้ามแม่น้ำเทมส์ เป็นสะพานยกและสะพานแขวนอยู่ รวมกัน ใกล้กันนั้นคือหอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสะพานว่า “ทาวเวอร์บริดจ์” นั่นเอง ซึ่งถ้า มารถใต้ดินก็ลงที่สถานี Tower Hill ได้เลยหอคอยแห่ง ลอนดอน เดิมทีเป็นพระราชวังเดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียม ที่ 1 แห่งอังกฤษ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ เป็นสถาปัตยกรรม แบบโรมาเนสก์ หอคอยแห่งนี้นอกจากเป็นป้อมปราการ พระราชวัง คลังเก็บอาวุธ ท้องพระคลัง สวนสัตว์ โรงกษาปณ์หลวง และอีกหลายอย่างแล้วยังเป็นที่คุมขังอีกด้วย โดยเฉพาะ สำหรับนักโทษที่มียศศักดิ์สูง และเดิมยังมีการประหารผู้คนที่ทำผิดกัน ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ชวนขนหัวลุกที่หนึ่งของลอนดอน ทุกครั้งที่ผมแวะมาที่นี่ก็จะเลือกช่วงเวลาที่ไม่พลบค่ำมากนัก และมักจะเดินรวมๆ ตัวอยู่กับนักท่องเที่ยวทั้งหลาย แม้จะมีของสวยๆ งามๆ ให้ชม แต่ก็ไม่ได้อยากชมเจ้าของเครื่องใช้เหล่านั้นด้วย ออกจากหอคอยมา เราข้ามสะพานเดินมาเรื่อยๆ จะเจอทางเดินริมแม่น้ำเทมส์ หรือที่เรียกว่า Queen’s walk เป็นหนึ่งจุดที่เป็นแหล่งรวมผู้คน ร้านค้า ร้านอาหารบนพื้นที่กว้างขวาง กับ บรรยากาศดี แม้ลมจะแรงไปบ้างแต่ก็สดชื่นไม่ใช่ย่อย หลายคนจึงเลือกที่จะออกมาพักผ่อนกันที่นี่ นั่งกินลมชมวิวไปพลางๆ แบบไม่เสียเงินสักปอนด์ก็สุข ไม่ใช่น้อย

นอกจากชื่อสหราชอาณาจักร กับอังกฤษที่คนมักจะเรียกกันอย่างผิดๆ แล้ว หอเอลิซาเบธ (Elizabeth Tower) ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรามักเรียกกันผิดๆ ว่า ที่นี่เป็น บิ๊กเบน (Big Ben) ทั้งที่จริงแล้ว บิ๊กเบนเป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุด หนักถึง 13,760 กิโลกรัม ซึ่งแขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ทั้งนี้มีระฆังรวมทั้งสิ้น 5 ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วนบิ๊กเบนจะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา นั่นเอง แต่ด้วยความเคยชินคนส่วนใหญ่กลับใช้ชื่อบิ๊กเบนเรียกตัวหอทั้งหมด ผมได้ยินข่าวมาว่า รัฐสภาอังกฤษได้ประกาศว่า จะให้ระฆังบิ๊กเบน ในหอนาฬิกาเอลิซาเบธ แห่งนี้ ลั่นเสียงบอกเวลาครั้งสุดท้าย ในวันที่ 21 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะหยุดทำงานเป็นเวลา 4 ปีเต็ม เพื่อทำการปรับปรุงซ่อมแซม ครั้งใหญ่ โครงการปรับปรุงซ่อมแซมนี้ทำเพื่อรักษานาฬิกาให้มีอายุยืนยาวต่อไปนั่นเอง ใครไปอังกฤษ หลังวันที่ 21 สิงหายังได้ยินเสียงนาฬิกาหรือไม่อย่างไร กลับมาเล่าให้ฟังกันได้

และที่ลืมไม่ได้ ข้างๆ ติดกับหอนาฬิกาเป็นที่ตั้งของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (The Palace of Westminster) ตึกรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ เป็นสถานที่ที่สภาสองสภาของรัฐสภาแห่ง สหราชอาณาจักรประชุมกัน

พอคุณเดินข้ามสะพาน Westminster มา คุณก็จะเห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ที่เปิดตัวเมื่อปี 2000 เดิมที่นี่ถูกเรียกว่า มิลเลนเนียมวีล (Millennium Wheel) หลังจากนั้นเมื่อเดือนมกราคมปี 2015 เป็นต้นมา ชื่อของที่นี่ก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็นโคคา โคล่า ลอนดอน อาย (Coca Cola London Eye) หลังจากบรรลุข้อตกลงกับบริษัทเครื่องดื่มน้ำดำยักษ์ใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแต่ทุกคนก็ยังจะติดเรียกว่า ลอนดอนอาย (London Eye) อยู่ดี ชิงช้าสวรรค์นี้ประกอบไปด้วย 32 แคปซูล ซึ่งเป็นตัวแทนของ 32 เมืองแห่งอังกฤษ แต่ตัวเลขที่ติดไว้หน้า แคปซูลจะมีตัวเลขตั้งแต่ 1 – 33 นั่นก็เพราะว่า ตัวเลขที่ 13 ถูกดึงออกไป ด้วยเรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของโชคลาง ภายในแต่ละแคปซูลสามารถจุคนได้ราวๆ 30 คนนั้น จะมีจอ LCD เล่าเรื่องราวของลอนดอนอาย สำหรับตั๋วมีหลายแบบหลายราคา ใครใคร่ซื้อแบบไหนเลือกได้ รอบๆ ลอนดอนอาย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งสร้างอาชีพและเวทีการแสดงอีกแห่ง เพราะนอกจากจะมีร้านค้า ร้านอาหาร และผู้คนที่มาพักผ่อนกันแล้ว ยังมีศิลปิน และนักแสดงหลากหลายรูปแบบมาแสดงความสามารถกันอย่างมากมาย ในย่านนี้นอกจาก 2 – 3 สัญลักษณ์เด่นๆ ของ ลอนดอนแล้ว ที่หนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้แวะ เพราะนอกจากจะมีอะไรให้ชมเยอะแล้ว ที่นี่ยังเข้าฟรีอีกด้วย

สำหรับ พิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) หรือที่นิยมเรียกกันว่า พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ ถ้ามารถไฟให้ลงที่สถานี Tottenham Court Road หรือ สถานี Holborn ก็ได้เขาจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะเดินตามไปเดี๋ยวก็เจอพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1753 (พ.ศ. 2296) แบ่งเป็น 3 ชั้น มีห้องจัดแสดงกว่า 100 ห้อง รวมระยะทางเดินประมาณ 3.2 กม. หากจะเดินดูกันแบบเต็มที่ เชื่อว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายวันเลย โดยแต่ละชั้นก็จะ แบ่งเป็นหมวดหมู่กันไป ซึ่งที่นี่นั้นนับเป็นหนึ่งสถานที่ที่มีความสำคัญของโลกเราก็ว่าได้ สมบัติหลายๆ ชิ้นที่นี่เกิดจากที่นักสะสม นักเดินเรือ ขนมาจากยุคที่อังกฤษเป็นผู้ล่าอาณานิคมนำเอามารวบรวมไว้ที่นี่

ว่ากันว่า มัมมี่ที่จัดแสดงอยู่ที่นี่ มากกว่ามัมมี่ที่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ของอียิปต์เสียอีก แต่ที่ผมรู้สึกทึ่งและรู้สึกสะเทือนใจที่สุดคงเป็นผนังของวิหาราร์เทนอน (Parthenon) ที่ถูกทูตชาวอังกฤษ ขนมาจากเมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ ตั้งแต่สมัยกรีซถูกปกครองภายใต้จักรวรรดิออตโตมันของพวกเติร์กขนภาพแกะสลักทั้งหลายของวิหารและรูปปั้นหลายชิ้น กลับอังกฤษและต่อมาขายต่อให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เยอะขนาดไหน คุณนึกภาพว่าเอามาเรียงกันเกือบเท่าๆ ความกว้างของวิหารพาร์เทนอนเดิมทีเดียว แม้ว่าจะมีการทวงคืน จากทางรัฐบาลกรีซ แต่อังกฤษเองก็ยังไม่ยอมคืน ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผมอดเศร้าไม่ได้ เหมือนอารมณ์ของบางชิ้นน่าจะได้อยู่ในที่ทางของมัน แต่กลับต้องมาพลัดถิ่นแบบนี้

หากคุณรู้สึกหดหู่ใจไปกับสิ่งของในพิพิธภัณฑ์แบบผม แล้วละก็ แนะนำให้ไปชาร์จพลังงานบวกกันที่นี่ สวนสาธารณะไฮด์ปาร์ก (Hyde Park) สวนสาธารณะขนาดกว่า 350 เอเคอร์หรือ 875 ไร่ (โดยรวมเอาส่วนของ Kensington Gardens ไว้ด้วย) ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอากาศดีๆ แสงแดดอุ่นๆ บรรยากาศดีแบบนี้จึงไม่แปลกที่จะเห็นชาวลอนดอนหรือแม้แต่นักท่องเที่ยวเอง ออกมาทำ กิจกรรมกัน ไม่ว่าจะวิ่งออกกำลังกาย เดินเล่น ปั่นจักรยาน นั่งเรือ ขี่ม้า หรือแม้แต่เอาอาหารออกมาปิกนิกกัน สังเกตได้วา่ ยิ่งในวันที่แดดจัดๆ ผคู้ นจะยิ่งออกมากันเยอะเต็มสวนอย่างว่าเขาเมืองหนาว ก็ต้องชื่นชอบแสงแดดเป็นธรรมดา สำหรับคนเมืองร้อนอย่างผม อากาศที่ไฮด์ปาร์กยามเช้ากับช่วงเย็นอาทิตย์เกือบลับขอบฟ้า ดีที่สุดแล้ว สำหรับการมาที่นี่สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย Piccadilly ไปลงสถานี Hyde park corner ได้ คุณอาจจะชมสวนถึงเวลาใกล้ๆ 10 นาฬิกา จากนั้นให้เดินไปสักนิดไปดูพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาพระองค์ในเวลา 11 นาฬิกา พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) จะมีขบวนทหารพาเหรด และทหารม้า เดินกันอย่างสวยงาม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นกิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชม

ปิดท้ายเที่ยวลอนดอนของผมด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินไปลง สถานี Euston เพื่อต่อรถไฟแบบ Railway ไปยังสถานี Watford junction เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของ Warner Bros. Studio Tour London – The Making of Harry Potter อาณาจักรเวทมนตร์ ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ สำหรับการไป Warner Bros. Studio Tour London นั้นต้องไปจองตั๋วล่วงหน้าก่อนจากเว็บไซต์ของ Warner Studio เพราะทางด้านหน้าไม่มีตั๋วขาย ทำการจองโดยเข้าที่เว็บไซต์ www.wbstudiotour.co.uk แล้วเลือกวันและ เวลาที่ต้องการไปทัวร์

สตูดิโอแห่งนี้เป็นสตูดิโอที่ภาพยนตร์ Harry Potter ถูกสร้างขึ้นคุณจะได้เห็นฉากต่างๆ ของภาพยนตร์ เริ่มกันตั้งแต่ห้องใต้บันได เรื่อยไปจนถึงห้องเรียน ห้องนอนที่พักของแฮร์รี่ และเพื่อนๆ ซึ่งจะมีส่วนของโรงภาพยนตร์ที่เป็นหนังสั้น รวมเรื่องราวสำคัญของ Harry Potter ทุกภาค พร้อมกับ สัมภาษณ์นักแสดงอยู่ด้วย ผมว่าแฟนภาพยนตร์เรื่องนี้คงชื่นชอบแน่นอน นอกจากฉากต่างๆ แล้วยังมีชุดและที่สำคัญคือของ ที่ระลึกจำหน่ายอีกด้วย ขนาดผมไม่ถึงกับเป็นแฟนพันธุ์แท้ ยังได้สินค้าติดไม้ติดมือมาฝากเจ้าตัวเล็กที่บ้านหลายชิ้น

การเดินทางถือได้ว่าเป็นการสร้างประสบการณ์อย่างหนึ่งและการได้ออกมาชมสถานที่ที่แปลกตา จากที่คุ้นเคย ถือได้ว่าเป็นการเปิดโลก และเรียนรู้ในสิ่งใหม่ได้เป็นอย่างดี สำหรับ ลอนดอนเอง ในทุกครั้งที่ผมได้มาก็สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ และ พิเศษให้ผมเสมอ |

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0