2020 Taiwan Lantern Festival in Taichung

Story & Photo by Editorial Staff

งานเทศกาลโคมไฟของไต้หวันปี 2020 ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 31 แล้ว นับเป็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับโลก

เปรียบเสมือนสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ที่ไม่มีรถไฟเหาะ (Disneyland without Roller Coasters) เทศกาลในปีนี้จัดขึ้นที่เมืองไถจง ซึ่งเป็นเมืองตอนกลางของไต้หวัน (นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 3 หลังจากปี 2003, 2015)

เนื่องด้วยทางทีมงานได้หมายเชิญจากสำนักงานการท่องเที่ยวไต้หวันประจำกรุงเทพฯ เพื่อมาเที่ยวชมงานเทศกาลโคมไฟไต้หวันปี 2020 และยังได้แวะสถานที่เที่ยวของไต้หวันอื่นๆ นำมาฝากผู้อ่าน เพื่อเป็นข้อมูลไปเที่ยวไต้หวันกัน เพราะไต้หวันไปเที่ยวได้ตลอดปี

Day 1

เพื่อเป็นการเตรียมตัว เราได้เดินทางถึงไต้หวันก่อนงานโคมไฟ 1 วัน และเที่ยวเก็บสถานที่เที่ยวต่างๆ กันก่อน เมื่อถึงสนามบินเถาหยวนเรียบร้อย เราตรงดิ่งมาเช็กอินที่ตึกไทเป 101 หลายคนคงเคยเข้าไปเยี่ยมชมกันมาแล้ว

แต่บางคนอาจจะมาแค่ภายนอกครั้งนี้เราจะพาผู้อ่านทุกคนเข้าไปชมด้านในกัน วันที่เรามาอุณหภูมิราว 16 องศาฯ ซึ่งกำลังเย็นสบายๆ แต่มีฝนปรอยๆ จึงทำให้มองไม่เห็นยอดของตึกไทเป 101 เพราะยอดตึกจิ้มหายเข้าไปในเมฆสีเทา รู้สึกแปลกตาไปอีกแบบ

เจ้าตึกไทเป 101 สูงถึง 508 เมตร เนื่องด้วยไต้หวันเป็นเกาะ ตัวตึกจึงมีการออกแบบให้รองรับแรงพายุและแผ่นดินไหว เมื่อซื้อตั๋วที่ชั้น 5F (ค่าขึ้นชม 600 TWD)

เสร็จแล้วเราขึ้นลิฟต์วาร์ปไปยังจุดชมวิวที่ชั้น 89 ใช้เวลาเพียง 37 วินาที ก็มาถึงจุดหมาย ในชั้นนี้จะ แบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนเหนือและใต้ เราสามารถเดินชมวิวและสถานที่สำคัญของเมืองไทเปในมุมสูงได้แบบ 360 องศา

และยังมีจุดถ่ายรูปเก๋ๆ เป็นระยะๆ เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นอกจากนี้เราสามารถเดินเข้าไปในโซน Wind Damper เพื่อเยี่ยมชมเจ้าลูกตุ้มสีเหลืองที่มีน้ำหนักถึง 600 เมตริกตัน

ลูกตุ้มดังกล่าวมีไว้สำหรับลดการสั่นสะเทือนเมื่อเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุลมแรง นักท่องเที่ยวสามารถเลือกที่จะดูวิดีโออธิบายลูกตุ้มสีเหลืองลูกนี้ หรือลงบันไดเพื่อมาดูใกล้ๆ ที่ชั้น 88 ได้

จากนั้นลงมาที่ชั้น 6 เพื่อสัมผัสกับความสนุกแบบ 5D กับ i-Ride Taipei (ค่าเข้าเล่นเครื่องเล่น 480 TWD)

คุณจะได้สัมผัสไต้หวันในแบบ 360 องศา ภายในเวลา 15 นาที ด้วยเครื่องเล่นที่จะพาคุณเหาะขึ้นฟ้า แล้วพามุดลงมหาสมุทรสัมผัสและรับรู้ได้ถึงลมที่ปะทะบนใบหน้า และสายน้ำที่ฉ่ำเย็น

นอกจากจะได้ตื่นเต้นหวาดเสียวเบาๆ ไปกับวิวที่สวยงามแล้ว ยังได้เห็นประเพณีสำคัญๆ ได้ในคราเดียวกันอีกด้วย (เนื่องจากตอนเล่นเครื่องเล่นห้ามถ่ายรูป จึงอดนำภาพสนุกๆ มาฝากกัน)

เดินมาอีกไม่ไกลจากตึกไทเป 101 ก็จะมาถึงหมู่บ้านซื่อซื่อหนันซุน (Si Si Nan Cun)

ซึ่งเป็นหมู่บ้านทหารโบราณ ที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นต้นแบบของการอนุรักษ์หมู่บ้านเก่าแก่ และนำมาปรับปรุงพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยว การศึกษาทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ในอดีตของไต้หวันอีกด้วย

เป็นแหล่งยอดนิยมสำหรับผู้ชื่นชอบการถ่ายรูปแนวอาร์ตๆ หรือคู่แต่งงานมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง จากตรงนี้สามารถมองเห็นตึกไทเป 101 ได้แบบเต็มๆ

ทุกวันหยุดจะมีตลาดนัดให้เดินช้อปเล่นๆ กันอีกด้วย

หากมาไทเปแล้วไม่มาไหว้พระขอพรที่วัดหลงซาน ถือว่าพลาดอย่างมหันต์

วิธีมาก็แสนง่าย แค่เพียง นั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินมาลงที่สถานี Longshan Temple ถึงหน้าวัดเลย

วัดหลงซานเป็นวัดที่มีอายุยาวนานกว่า 280 ปี ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุด 1 ใน 3 ของไต้หวัน

วัดหลงซานมีผู้มากราบไหว้ขอพรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การเดินทาง การงาน หรือความรัก

นอกจากนี้บริเวณประตูทางเข้าของวัด จะมีเสามังกรหล่อจากสัมฤทธิ์ 1 คู่ ซึ่งเป็นเสาที่มีเพียงแห่งเดียวในไต้หวัน

สำหรับการเดินเข้าวัดของไต้หวันจะเดินเข้าประตูทางขวา (หันหน้าเข้าวัดขวามือเรา) ที่ถือเป็นปากมังกร และเดินออกทางซ้ายมือที่เป็นปากเสือ

เรานั่งรถไฟความเร็วสูง THSR จากไทเปไปเมืองไถจง ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีถึงเมืองไถจง

เราได้แวะไปที่หมู่บ้านสายรุ้ง (Rainbow Village) เดิมเป็นหมู่บ้านของทหารผ่านศึก ยุคสงครามกลางเมืองของจีนที่ลี้ภัยมายังไต้หวัน

ต่อมามีการพัฒนาเมืองจึงทำให้ต้องรื้อถอน เมื่อปี 2010 มีนายทหารเก่า ชื่อ คุณปู่หวง หย่ง ฟู่ (Huang Yung-Fu) หรืออากงฝู

หรือจะเรียกคุณปู่สายรุ้งก็เก๋ดี (ปัจจุบันอายุกว่า 90 ปี พื้นเพจริงๆ เป็นคนฮ่องกง)

มีความคิดริเริ่มที่จะวาดภาพแต่งเติมสีสันให้กับกำแพงรอบหมู่บ้าน

จนทำให้หมู่บ้านดังกล่าวเป็นที่สะดุดตา และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของไถจง

อีกทั้งทางรัฐบาลไต้หวันยังได้ประกาศให้หมู่บ้านดังกล่าวเป็นเขตอนุรักษ์อีกด้วย

Day 2

เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปยังหมู่บ้านเฉินจี้ (Shenji New Village) ที่ถนนหมินเซิง (Minsheng Rd.)

เป็นหมู่บ้านทหารเก่าอีกเช่นกัน (ทางไต้หวันมีการนำแหล่งที่อยู่อาศัยของทหารเก่า มาพัฒนาคุณค่าให้สร้างมูลค่าต่อได้)

ลักษณะตัวตึกในหมู่บ้านจะเป็นตึก 2 ชั้น มีการทำทางเดิน เชื่อมต่อกัน

มีร้านขายของเก๋ๆ และมุมถ่ายรูปน่ารักๆ

เรามาเช้าไปนิดร้านค้าต่างๆ เพิ่งเริ่มตั้งร้าน พอช่วงสายๆ คนจะเริ่มมาก

ที่นี่เป็นสถานที่ที่ให้เด็กๆ ได้มาขายของเพื่อสร้างรายได้ ทั้งของกิน ของแนวแฮนด์เมด ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดีมากๆ

เราเดินทางมาต่อที่ตลาดดอกไม้เมืองจงชิ (Zhongshe Flower Market)

เป็นเช้าที่อากาศดีมาก ดอกไม้สวยงามบานสะพรั่ง เหมาะสำหรับถ่ายภาพ

ข้างในแบ่งออกเป็น 3 โซนคือ โซนขายดอกไม้ พันธุ์ไม้ (ไม่เสียค่าเข้า) และโซนร้านอาหารบุฟเฟต์ปิ้งย่าง ถ้ากินอาหารจะได้รับบัตรเข้าสวนดอกไม้ฟรีคนละใบ และโซนสวนดอกไม้ จะต้องเสียค่าเข้า 120 TWD (ถ้า ม.ค. ถึง มี.ค. จะ 150 TWD)

บริเวณสวนดอกไม้จะมีจุดถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก มีเครื่องดนตรีให้แอ็กชั่นเล่นดนตรี เก๋ดี

ต่อมาเราแวะมาที่สวนสนุกลี่เป่า แลนด์ (Lihpao Land) เป็นสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นมากมายกว่า 23 ชนิด อาทิ รถไฟเหาะ Sky Dream

อีกทั้งยังมีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่สุดของไต้หวัน และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไถจงอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสวนน้ำกลางแจ้ง และเอาต์เลตให้ช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์ดังที่ลดกันถึง 80% กันเลย

และที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดงานแถลงข่าวงานเทศกาลโคมไฟปี 2020 ด้วย สำหรับงานเทศกาลโคมไฟไต้หวัน 2020 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-23 กุมภาพันธ์ 2020 ปีนี้มีการจัดงานทั้งหมด 3 พื้นที่คือ

1. Houli Forest Park เป็นพื้นที่จัดนิทรรศการหลัก ของเทศกาลโคมไฟไต้หวันในปีนี้มีการจัดแสดงโคมไฟหลักในธีม Guardian of the Forest : Tree of Light (ผู้พิทักษ์ป่า – ต้นไม้แห่งแสง) โดยลำต้นของต้นไม้ประกอบด้วยแกน 22 แกน

สื่อถึงเมืองไต้หวัน 22 เมือง และประกอบด้วยใบไม้รูปหัวใจ 2,359 ใบ เป็นสัญลักษณ์ของชาวไต้หวัน 23.59 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีโคมไฟจากหลากหลายประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น และประเทศฝรั่งเศส

อีกหนึ่งพื้นที่คือ 2. Wenxin Forest Park ซึ่งเป็นพื้นที่จัดงานโคมไฟรอง

และพื้นที่สุดท้ายคือ 3. Horse Ranch Park ซึ่งอยู่ห่างจาก Houli Forest Park Area ไม่มาก ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที

งานเทศกาลโคมไฟของไต้หวัน นับเป็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับโลก เปรียบเสมือนสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ที่ไม่มีรถไฟเหาะ (Disneyland without Roller Coasters)

งานเทศกาลโคมไฟจะจัดขึ้นในทุกเมืองของไต้หวัน แต่งานหลักที่ใช้เป็นพิธีเปิดจะจัดใหญ่กว่าเมืองอื่นๆ ซึ่งในปีนี้จัดอยู่ที่เมืองไถจง การเดินทางจากไทเปมาไถจง สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูง THSR ใช้เวลาประมาณ 50 นาที หรือจะนั่งรถไฟ TRA ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ ถือว่าเดินทางมาสะดวก

Day 3

เช้าตรู่เราออกเดินทางไปที่เมืองหนานโถว (Nantou) เพื่อมาเที่ยว 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของไต้หวัน ฟาร์มแกะชิงจิ้ง (Cingjing Farm) ที่ได้รับขนานนามว่า “สวิตเซอร์แลนด์แห่งไต้หวัน”

เพราะมีอากาศที่บริสุทธิ์ และเย็นสบาย ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล ถึง 1,750 เมตร เราสามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา

นอกจากนี้ยังสามารถซื้ออาหารเลี้ยงแกะ หรือชื่นชมมองเห็นภาพแกะแทะเล็มยอดหญ้าริมเนินเขา นอกจากนี้ยังสามารถเลือกช้อปผลิตภัณฑ์จากแกะอย่างไอศกรีมนม หรือตุ๊กตาแกะน่ารักๆ จากร้านที่อยู่ข้างลานแสดง

ในส่วนการแสดงของฟาร์ม นอกจากจะมีการแสดงตัดขนแกะ และการต้อนแกะด้วยสุนัขเลี้ยงแกะแสนซนแล้ว ยังมีการแสดงขี่ม้าผาดโผนที่ต้องบอกเลยว่า อึ้ง ทึ่ง และตื่นเต้นไปกับนักแสดงเป็นอย่างมาก

การแสดงดังกล่าวเป็นการแสดงที่ต้องฝึกฝนอย่างหนัก นักแสดง จึงได้รับเสียงปรบมือดังกึกก้องจากผู้ชมรอบเวที

เมื่อเดินออกมาด้านนอกฟาร์ม ยังมีทางเดิน Cingjing Skywalk ให้ได้เดินเล่น

ทางเดินดังกล่าวเปิดใช้งานเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา และมีการต่อเติมเพิ่มความยาวอีก

เดินไปตามทางจะเห็นวิวโดยรอบที่สวยงามราวกับสวรรค์ ฟาร์มเปิดบริการทุกวัน 08.00 – 17.00 น. ค่าเข้ารวม 3 รายการที่กล่าวข้างต้น 220 TWD ถือว่าคุ้มค่ามาก

จากฟาร์มฯ เราเดินทางต่อมาที่ยอดเขาอู่หลิง (Wuling) ภูเขาเหอหวน (Hehuan Mountain)

จุดสูงสุดของไต้หวันที่ถนนทางหลวงวิ่งผ่าน ถ่ายรูปกับป้าย “Wuling” ที่ระดับความสูง 3,275 ฟุต

อากาศเย็นสบายตลอดปี วันที่เราไปอากาศ 2 องศาฯ และลมแรงมาก

หิมะเพิ่งตกไปเมื่อคืน จึงยังเห็นหิมะกระจายอยู่บริเวณโดยรอบ ระหว่างทางที่เรานั่งรถมาก็มีหิมะปกคลุมตามทางมา

ถือว่ายังโชคดี เพราะถ้าหิมะตกหนักจะต้องปิดเส้นทางไม่สามารถขึ้นมาได้

บนนี้มีร้านคาเฟ่ 3158 Cafe ซึ่งเป็นร้านคาเฟ่ ที่สูงที่สุดของไต้หวันเปิดให้บริการ แต่ราคานั้นกลับไม่สูงตามสถานที่

ถือว่าอยู่ในราคาปานกลางที่สามารถซื้อดื่มได้ต้องบอกเลยว่าไม่ใจรักไม่ขึ้นมาเปิดบริการถึงที่นี่ และหากอากาศดีๆ บริเวณนี้ยังมีกิจกรรมเดินเขาด้วย

คนไต้หวันนิยมเดินเขากันมาก แม้กระทั่งผู้สูงอายุก็มา คนไต้หวันจึงมีร่างกายแข็งแรง อีกกิจกรรมที่นิยมคือ ปั่นจักรยานขึ้นเหอหวนซาน (Hehuanshan) ระหว่างทางกลับไปที่พัก

เราผ่านต้นไม้ที่มีอายุกว่า 3,000 ปี ดูจากขนาดต้นและหน้าตาของทวดต้นไม้ต้นนี้ต้องบอกว่าแก่ได้ใจจริงๆ

Day 4

เวลาแห่งความสนุกมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับแล้ว จึงต้องรีบไปเก็บความสวยงามของธรรมชาติที่ได้สรรค์สร้างเอาไว้ เราจึงมุ่งสู่เมืองฮวาเหลียน (Hualien) เมืองที่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าไม้และชายหาด

ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลแปซิฟิกของไต้หวัน มีแนวเทือกเขาเป็นตัวกั้นระหว่างฝั่งตะวันตกและตะวันออก เราจึงต้องเดินทางตัดเขาจากฝั่งตะวันตกมาทางฝั่งตะวันออก เส้นทางดังกล่าวค่อนข้างคดโค้งเป็นอย่างมาก

ใครมาเส้นทางนี้ควรพกยาแก้เมารถติดมาด้วย เรามาถึงที่เส้นทางอุโมงค์เก้าโค้ง (Tunnel of Nine Turns) เป็นส่วนที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของ ช่องเขาไท่หลู่เก๋อ (Taroko Gorge)

ในอุทยานแห่งชาติทาโรโกะ Taroko National Park (คำว่า ไท่หลู่เก๋อ เป็นชื่อชนเผ่าพื้นเมืองที่อพยพจากตอนกลางของไต้หวัน มาตั้งรกรากที่นี่) ไฮไลต์ของที่นี่คือทางเดินที่ตัดทะลุแนวเขาระยะทางประมาณ 700 เมตร

ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที ระหว่างทางจะเห็นลำน้ำสีเทอร์คอยซ์ไหลผ่านช่องเขาหินอ่อน

ลวดลายเส้นสายของหินอ่อนตัดกับสีน้ำเทอร์คอยซ์ ช่างเป็นภาพที่ตรึงจิต ชนิดตาค้างกันไปทั้งกลุ่ม (ถ้าเป็นช่วงฝนตกน้ำจะเป็นสีขุ่น)

เดินมาสุดทางจะมีอักษรจีนบริเวณผนังเขา คือ “Coiled dragon of the nine turns” มีความหมายว่า “มังกรขดเก้ารอบ” เพราะเส้นทางเดินโค้งไปมาเหมือนมังกรขดตัวเก้าโค้ง

ใช้เวลาเดินและเก็บภาพที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง และก็ทึ่งกับผู้ที่สร้างเส้นทางนี้ ให้เราได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติ

ซึ่งในส่วนของอุทยานแห่งชาติทาโรโกะ จะมีที่เที่ยวมากมายจากที่เราได้ไปมา ทั้ง เทียนเสียง (Tien-Hsiang) มีทั้งเจดีย์เทียนเฟิง วัดเสียงเต๋อ ฯลฯ

ทั้งเส้นทางธรรมชาติไป๋หยาง (Baiyang Trail) ทางเดินเลียบลำธารยาวกว่า 2 กม. ผ่านอุโมงค์ทะลุเขาอีก 450 ม.

เส้นทางธรรมชาติผานางแอ่น (Swallow Grotto Trial) เดินชิลๆ 1 กม.

ระหว่างเดินผ่านหุบเขาจะเป็นที่อยู่อาศัยของนกนางแอ่นบ้านและนกนางแอ่นแปซิฟิก หรือเรียกอีกชื่อว่า หุบเขาเสียงนางแอ่น และยังมีอีกหลายเส้นทางธรรมชาติในอุทยานฯ นี้

หลังจากที่เดินทางชมภูเขากันมาเยอะแล้ว มาชมทะเลของไต้หวันกันบ้าง ที่ทะเลเจ็ดดาว (Chisingtan)

ทะเลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก น้ำทะเล สีฟ้าคราม

มีก้อนหินก้อนกรวดกลมมนสวยงามตลอดแนวชายหาด

ทะเลที่ไต้หวันเป็นทะเลลึก คือจากน้ำทะเลที่ตื้นๆ แล้วก็ดิ่งลึกลงไปเลย (สังเกตจากสีน้ำเข้มคือส่วนที่ลึกดิ่งลงไป) ไม่ได้ไล่ระดับจากตื้นไปลึกเหมือนทะเลฝั่งบ้านเรา จึงห้ามลงไปเล่นเด็ดขาดเพราะอันตราย

ก่อนเดินทางกลับไทเปด้วยรถไฟ พวกเราแวะเที่ยวอีกหนึ่งสถานที่คือ สวนสน (Pine Garden) ความพิเศษของสวนสนที่นี่คือ เคยเป็นที่บัญชาการของทหารญี่ปุ่นในสมัยที่ปกครองไต้หวัน

บรรยากาศโดยรอบคือเป็นตัวอาคารที่ปกคลุมด้วยไม้เลื้อยและมีภาพสวนสนเป็นฉากหลัง

ตัวอาคารนั้นปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และศูนย์การเรียนรู้ของเมือง

ด้านข้างของอาคารเป็นอุโมงค์ที่เคยเป็นหลุมหลบภัยมาก่อน ภายในอุโมงค์มีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายของอดีตทหารญี่ป่นุให้เราได้ชมอีกด้วย

ที่นี่เปิดให้บริการทุกวัน (ยกเว้นวันอังคารที่สองของเดือน) เวลา 09.00-18.00 น. ไต้หวันยังมีสถานที่เที่ยวอีกมากมาย ไม่ว่าจะแหล่งช้อปปิ้ง

หรือจะค้นหาความสวยงามของธรรมชาติที่มีอยู่มากมาย การเดินทางแสนสะดวกเพราะรถไม่ติด จะเดินทางระหว่างเมืองก็สะดวกเพราะมีรถไฟความเร็วสูงที่ช่วยย่นระยะเวลาได้

ไต้หวันเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยสูง ไต้หวันเดินทางมาง่าย ค่าครองชีพก็ไม่สูง หากมาเที่ยวไต้หวันแล้ว เชื่อเลยว่าคุณจะต้องมาอีก เพราะไต้หวันมาครั้งเดียวไม่พอจริงๆ

ขอขอบคุณ : สำนักการท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ (Taiwan Tourism Bureau Bangkok)
สอบถามหรือติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวไต้หวันได้ที่
https://www.facebook.com/itstimefortaiwanth/
https://line.me/R/ti/p/%40visittaiwan





Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0