Slow life in Kichijoji

Story & Photo by Orawan

Kichijoji 9215

เพียง 15 นาทีโดยรถไฟสายด่วน JR Chuo line จากสถานีชินจุกุ (Shinjuku) หรือ 18 นาทีโดยรถไฟสายด่วน Keio Inokashira line จากสถานีชิบูย่า (Shibuya) คุณก็สามารถมาเดินเตร่เที่ยวแบบ slow life กับที่นี่ เมืองคิชิโจจิ (Kichijoji) ย่านที่ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติยกให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในญี่ปุ่นหลายต่อหลายครั้ง เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังมีธรรมชาติที่สวยงามให้สัมผัสในทุกฤดูกาล

Kichijoji 9212

Let’s go shopping
เพียงก้าวแรกที่คุณเดินออกมาจากสถานีคิชิโจจิคุณจะเห็นร้านค้าและร้านอาหารมากมาย สำหรับขาช้อปคงตาลุกวาวกันเลยทีเดียว ถ้าออกจากสถานีทางทิศเหนือจะเห็นวงเวียนที่มีรถบัสมากมายจอดอยู่ ข้ามถนนไปก็จะเจอกับโซนแรกคือ SUNROAD ซึ่งจุดเด่นหลักคือหลังคาสีฟ้า ด้านในเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งเสื้อผ้า ร้านขายยา ร้านอาหารแม้จะไม่ใช่อาหารพื้นบ้าน เป็นอาหารแฟรนไชส์ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ก็เหมาะสำหรับคนที่กินอาหารญี่ปุ่นเบื่อแล้ว หรือต้องการใช้เวลาในการกินไม่นาน เพื่อจะได้เดินเที่ยวต่อก็เหมาะทีเดียว

Kichijoji 9214

ส่วนด้านซ้ายมือของสถานีคือห้างสรรพสินค้าพาร์โก้ (Parco) ที่มีร้านมากกว่า 100 ร้านทั้งร้านอุปกรณ์ตกแต่ง ร้านเครื่องสำอาง อุปกรณ์กาน้ำ ร้านนวด ร้านทำเล็บ เสริมสวย ที่สำคัญ ร้านค้าบางร้านร่วมบริการเป็นร้านปลอดภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ถัดไปอีกหน่อยคือตรอก Harmonica ตรอกนี้แนะนำให้มาช่วงเย็นหรือค่ำ จะคึกคักสุดๆ เพราะเป็นแหล่งรวมของร้านอาหารแบบสังสรรค์ที่เรียกว่า Izakaya มีเครื่องดื่มและเมนูปิ้งย่างพูดคุยกันให้บรรยากาศของพนักงานออฟฟิศญี่ปุ่นหลังเลิกงานสุดๆ

Kichijoji 9274

จากทางออกทางเหนือนี้เอง เดินตรงไปทางซ้ายเรื่อยๆ จะเห็นตึกยูนิโคล่ (Uniqlo) ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เสื้อผ้าลดราคาที่นี่มีครบแทบทุกไซซ์ ไม่ต้องแย่งใครแบบห้างในโตเกียว และข้างๆ ตึก 7 ชั้นของยูนิโคล่มีถนนเล็กๆ ที่ชื่อถนน Nakamichi

Kichijoji 9280

สำหรับคนที่มาคิชิโจจิแล้วมาไม่ถึงโซนนี้ถือว่าพลาดตลอดถนนเรียงรายด้วยร้านขายของประดับและเสื้อผ้าสไตล์ Zakka เน้นความเรียบง่าย เป็นทั้งงานประดิษฐ์และทำมือ โทนจะออกหวานแนวพาสเทล หรือมินิมอล แต่เก๋ไก๋

Kichijoji 9284

มาโซนนี้เชื่อได้ว่าเงินเยนในกระเป๋าของคุณต้องสั่นระริกเป็นแน่แท้ ฉันสังเกตเห็นของตกแต่งบ้านหลายชิ้น น่ารักน่าซื้อไปหมด

Kichijoji 9285

Kichijoji 9283

เสื้อผ้าก็เป็นแนวที่ใส่สบายเหมาะกับนำกลับมาใส่เมืองร้อนเช่นเมืองไทยของเรา เครื่องประดับก็กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักน่าซื้อไปหมด

Kichijoji 9275

Kichijoji 9276

Kichijoji 9269

นอกจากเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้านและร้านคาเฟ่หรือร้านอาหารของที่นี่ก็น่าเข้าไปนั่งพักไปเสียหมดทุกร้าน

Kichijoji 9281

Kichijoji 9277

บางร้านมีเมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ หอมกรุ่นมาก หรือบางร้านก็มีการตกแต่งประดับให้เราสามารถปล่อยอารมณ์จนลืมเวลากันทีเดียว

Kichijoji 9290

อย่างเช่นร้านโดนัท : ฮะระ HARA DONUTS แค่หน้าร้านสีขาวก็น่ารักน่าถ่ายรูปแล้ว ร้านนี้เดิมเขาขายเต้าหู้มาก่อน ก่อนที่จะนำกากเต้าหู้มาดัดแปลงเป็นแป้งโดนัทสูตรพิเศษ และนำมาทำโดนัทถั่วเหลืองเพื่อสุขภาพ

cof

ซึ่งโดนัทมีรสให้เลือกมากมาย กลิ่นหอมมาก กรอบนอกนุ่มใน มีรสของถั่วเหลืองนิดๆ แปลกลิ้นแต่ประทับใจไม่ใช่น้อย นอกจากจะมีรสปกติแล้วบางทีก็จะมีรสพิเศษตามเทศกาลอีกด้วย

Kichijoji 9325

ใกล้ๆ กันนั้น ร้านที่มีประตูสีฟ้าสดใส ร้านกาแฟ Light Up Coffee เหมาะสำหรับนั่งพักหลังจากเดินมาตลอดเส้นทาง

Kichijoji 9296

Kichijoji 9315

Kichijoji 9304

มีกาแฟหลากหลาย แต่ที่พิเศษคือ มีเมล็ดกาแฟจากหลากหลายประเทศให้คนที่ติดใจซื้อติดมือกลับบ้านไปด้วย Nature is all around me

Kichijoji 9319

Kichijoji 9288

สำหรับคนที่ไม่ใช่ขาช้อปและไม่ได้เป็นแนว zakka แต่เป็นแนว Nature ที่นี่มีสวนสาธารณะเก่าแก่อีกแห่งของโตเกียว ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 ซึ่งครบ 100 ปี ในปี ค.ศ. 2017 ที่ผ่านมา

Kichijoji 9218

Kichijoji 9220

นั่นคือสวนอิโนคะชิระ (Inokashira Park) จากสถานีรถไฟเดินมาที่สวนใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น สามารถเข้าชมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่ไกลกันนั้นก็มีสวนสัตว์ (จุดนี้มีค่าบริการเข้าชมเล็กน้อย)

Kichijoji 9221

ภายในสวนมีสระน้ำที่กว้างใหญ่มากชื่อ อิโนคะชิระ ชื่อเดียว กับสวนซึ่งโชกุนโทกุกะวะที่ 3 เป็นผู้ตั้งชื่อให้มีความหมายว่าแหล่งต้นน้ำของน้ำกินน้ำใช้ เพราะแต่เดิมที่นี่เคยเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของผู้คนสมัยเอโดะที่ช่วยกักเก็บน้ำจากแม่น้ำคันดะ (Kanda River) นั่นเอง

Kichijoji 9226

ผู้คนสมัยนั้นนิยมนำน้ำจากที่นี่ไปใช้ในพิธีชงชา แต่ปัจจุบันผู้คนใช้สระแห่งนี้เป็นที่พายเรือหรือถีบเรือเป็ดในช่วงเวลาว่างหรือวันหยุดเสียมากกว่า ด้วยเพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเห็นต้นซากุระผลิดอกสีชมพูสะพรั่ง งดงาม รายล้อมสระน้ำไปหมด คนญี่ปุ่นก็จะออกมานั่งปิกนิกชมซากุระในเทศกาลฮานามิกัน

Kichijoji 9233

หากใครมาช่วงดังกล่าวไม่ควรพลาดที่จะแวะมาที่นี่ นอกจากได้ชมดอกไม้ คุณจะ ได้เห็นวิถีชีวิตที่แสนอบอุ่น และเรียบง่ายของเมืองนี้ เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจมาก หรือจะออกกำลังกายโดยการใช้บริการถีบเรือเป็ด ก็ไม่แพงมากนัก ราคาเพียง 700 เยนต่อเวลา 30 นาที ไม่เพียงแต่หนุ่มสาวที่นิยมมาถีบเรือเป็ดกัน ฉันเห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกหรือแม้แต่คุณตาคุณยาย แทบทุกคน ทุกเพศทุกวัยก็ใช้เวลาออกไปถีบเรือกันอย่างสนุกสนาน

Kichijoji 9223

ยิ่งในวันหยุดแล้วก็ยิ่งเห็นผู้คนคึกคักมากเป็นพิเศษเพราะในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะมีตลาดนัดขนาดย่อมๆ ให้ได้จับจ่ายซื้อสินค้าทำมือน่ารักๆ จากศิลปินเอง หรือชมการแสดงเช่น ละครใบ้ การเล่นดนตรี การเล่านิทาน การวาดภาพ ซึ่งเป็นที่ชื่นชมสำหรับเหล่าเด็กๆ เป็นอย่างมาก สวนเปิดบริการตั้งแต่ 09.30 – 17.20 น. ของทุกวัน (เวลาอาจปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล) นอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามทั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงแล้ว

Kichijoji 9235

ที่นี่ยังมีสวนสัตว์อยู่ภายในสวนสาธารณะอีกด้วย ชื่อ สวนสัตว์อิโนคะชิระปาร์ก (Inokashira Park Zoo) ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูและหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราต้องแวะมาสวนสัตว์นี้ แต่ถ้าบอกว่าสวนสัตว์แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของช้างไทยที่มีชื่อว่า “ฮะนะโกะ” แล้วละก็คงพอคุ้นกันบ้าง เมื่อช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ช้างน้อยที่ชื่อฮะนะโกะในวัย 2 ขวบได้ถูกส่งตัวมาที่ญี่ปุ่นเพื่อเป็นทูตสันถวไมตรี

Kichijoji 9224

ฮะนะโกะเคยอยู่ที่สวนสัตว์อุเอะโนะเมื่อปี 1949 ก่อนจะย้ายมาที่นี่ ฮะนะโกะอยู่ที่ญี่ปุ่นนานมากจนถูกเรียกว่าคุณยายฮะนะโกะ และเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 คุณยายฮะนะโกะได้ล้มลง (เสียชีวิต) มีอายุรวม 69 ปี สร้างความสะเทือนใจต่อชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก เพราะคนรุ่นก่อนจะผูกพันกับคุณยายฮะนะโกะมาก หลายคนเคยมาเยี่ยมและพาลูกหลานมาสัมผัสกับความเป็นมิตรของคุณยายฮะนะโกะ

Kichijoji 9229

เมื่อคุณยายฮะนะโกะเสียชีวิต จึงรู้สึกเสียใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนหลังจากคุณยายฮะนะโกะเสีย ทางสวนสัตว์เปิดโอกาสให้คนมาวางดอกไม้ เขียนข้อความส่งถึงฮะนะโกะเป็นครั้งสุดท้าย มีคนมาวางดอกไม้และเขียนจดหมายมอบให้กว่า 10,000 ฉบับและงานอาลัยที่จัดขึ้นในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ก็มีคนมาร่วมงานกว่า 3,000 คน

Kichijoji 9225

ซึ่งความผูกพันนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งรวบรวมเงินเพื่อทำรูปปั้นช้างฮะนะโกะขึ้นมา รูปปั้นนี้อยู่บริเวณหน้าสถานีคิชิโจจิ รูปปั้นมีความสูง 2.5 เมตร โดยช้างอยู่ในท่าที่ยื่นขาขวาออกมาข้างหน้า เป็นลักษณะของการแสดงการทักทาย ใช้เงินในการสร้างประมาณ 14 ล้านเยน

Kichijoji 9230

ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีเงินบางส่วนที่ได้รับการบริจาคจากประเทศไทยด้วย นอกจากช้างไทย ที่เป็นตำนานที่นี่แล้วในสวนสัตว์ก็ยังมีสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย ค่าเข้าชมคนละ 400 เยนเท่านั้น

Kichijoji 9236

เดินกินลมชมวิวกันไปอีกหน่อย ท้ายสวนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อนิเมะสุดน่ารักของค่ายหนังสตูดิโอ จิบลิ พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) จิบลิ (Ghibli) หรือที่คนญี่ปุ่นอ่านว่า จิ-บุ-หริ นั้นเป็นชื่อเครื่องบินรบของอิตาลีระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหมายถึงสายลมร้อนที่พัดผ่านทะเลทรายซาฮาร่า

Kichijoji 9237

ชื่อนี้ไม่ได้ตั้งเพียงเพราะความหลงใหลในเครื่องบินของฮะยะโอะ มิยะซะกิ (Hayao Miyazaki) ผู้ก่อตั้งเท่านั้นแต่ยังแฝงไปด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้ลมแห่งความมหัศจรรย์ในโลกแอนิเมชันของเขาพัดผ่านไปถึงคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ และเชื่อว่าตอนนี้พัดเข้าสู่ภายในใจของคนทั่วโลกก็ว่าได้

Kichijoji 9241

พิพิธภัณฑ์สตูดิโอจิบลิแห่งนี้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2001 ด้านในได้เก็บรวบรวมผลงานอนิเมะของสตูดิโอจิบลิมาจัดแสดงให้ดูแบบเต็มอิ่ม ไม่ว่าจะเป็นตัวละครสุดน่ารักอย่างเจ้าโตโตโร่จากเรื่อง My Neighbor Totoro เด็กน้อยโปเนียว จากเรื่อง Ponyo และการ์ตูน Spirited Away

Kichijoji 9254

ด้านชั้นบนสุดที่จะเป็นชั้นลอยยังจะได้เห็นการประดับตกแต่งด้วยหุ่นยักษ์จากเรื่อง Laputa-Castle in the Sky ที่สูงถึง 15 ฟุต เรียนรู้สถานที่จริงเบื้องหลังฉากดังในภาพยนตร์ “Howl’s Moving Castle” ชมหุ่นต้นแบบของเครื่องจักรไอน้ำ และเครื่องบิน ดูการจัดแสดงมากมาย เช่น Totoro zoetrope

Kichijoji 9243

นอกจากจะมีการจำลองบางฉากบางตอนจากตัวการ์ตูนดังๆ เหล่านั้นมาจัดแสดง ให้เราได้สัมผัสได้ ถ่ายรูปได้ ยังมีการนำเสนอกระบวนการทำงานแอนิเมชันตั้งแต่เริ่มต้นจากลากเส้นจนกลายเป็นตัวการ์ตูนแสนน่ารักบนแผ่นฟิล์มที่มีบรรยากาศสมจริง

Kichijoji 9242

มีโรงหนังที่หมุนเวียนฉายเรื่องสั้นของ Ghibli ตลอดทั้งวัน เดินเหนื่อยๆ ก็สามารถแวะพักดื่มชาหรือกินขนมชิลๆ ในร้าน Straw Hat Cafe ได้

Kichijoji 9245

การเข้าชมที่นี่ต้องมีการจองตั๋วล่วงหน้าเท่านั้นไม่มีการจำหน่ายตั๋วด้านหน้า แต่ด้านหน้าที่เห็นจะเป็นที่แลกบัตร และเมื่อแลกบัตรแล้วยังจะได้รับฟิล์มจากแอนิเมชันเป็นของที่ระลึก สำหรับการจองตั๋วสามารถจองออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ www.lawson.co.jp/ghibli_museum/ หรือสามารถซื้อตั๋วผ่านทางเอเจนต์เมืองไทยได้ แต่ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 เดือนก่อนเดินทาง ถ้าได้มาชมที่นี่แม้ไม่รู้จักตัวการ์ตูนเหล่านี้มาก่อน ฉันก็เชื่อว่า กลับออกไปคุณต้องกลายเป็นแฟนคลับตัวการ์ตูนสักตัวอย่างแน่นอน

Kichijoji 9249

การเดินทาง : สามารถมาได้ 2 วิธี จากสถานีคิชิโจจิเดินมาทางสวนอิโนคะชิระ และทะลุออกทางด้านหลังของสวนแบบฉัน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือลงที่สถานีมิทากะ (Mitaka Station) ออกทางออกทางทิศใต้แล้วขึ้นรถบัสจากป้ายหมายเลข 9 สาย Loop Bus Via Ghibli Museum พิพิธภัณฑ์เปิดตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 1,000 เยน / เด็ก 13-18 ปี 700 เยน / เด็ก 7-12 ปี 400 เยน / เด็ก 4-6 ปี 100 เยน

คิชิโจจิ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายจุดและมีร้านค้า ร้านอาหารอีกหลายร้านที่น่าแวะ สำหรับฉันการเดินทางมาที่นี่ 1 วันแบบช้าๆ ไม่เพียงพอ ครั้งหน้าจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0