กาญจนบุรี ประวัติศาสตร์และธรรมชาติ

Story & Photo by Editorial Staff

ในราวพุทธศักราช 2508 นักเขียนทมยันตีได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดกาญจนบุรีและเข้าเยือนความวิเวก ณ สุสานนานาชาติที่ทอดร่างของเหล่าทหารสัมพันธมิตร ที่แห่งนั้นสร้างแรงบันดาลใจจนเป็นต้นกำเนิดของนวนิยายเรื่องเยี่ยม “คู่กรรม” “แสงสว่างแห่งชีวิตอุบัติขึ้น และบัดนี้ แสงสว่างนั้นได้ดับลงแล้วฝากรอยจูบและหยดน้ำตามากับกลีบกุหลาบทุกกลีบ”

ถ้อยคำหอมหวานที่อมความเศร้าไว้อย่างลุ่มลึกในความรู้สึกนี้เขียนไว้บนการ์ดใบหนึ่ง ซึ่งผูกติดกับดอกไม้ช่องาม วางบนหลุมฝังศพของบุคคลอันเป็นที่รัก และได้จุดประกายความคิดของทมยันตี (ตัดตอนจากคำนำหนังสือคู่กรรม ฉบับ ณ บ้านวรรณกรรม)

สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก เป็นที่รำลึกแด่ทหารผู้เหนื่อยล้าและหลับใหลอย่างสงบ ในพื้นที่ที่ได้รับการตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงามเหนือหลุมฝังศพทุกหลุมมีแผ่นทองเหลืองจารึก ชื่อ อายุ และประเทศของผู้เสียชีวิต บรรทัดสุดท้ายเป็นคำไว้อาลัยที่โศกเศร้า หลายคนที่เดินทางมากาญจนบุรีมักจะแวะที่นี่เพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไป

ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง สะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กอันดับต้นของจังหวัดกาญจนบุรี สะพานเหล็กสีดำสนิทระยะทางประมาณ 300 เมตรที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำแคว ใหญ่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้ง 2 โดยกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งครั้งนั้นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรมาสร้างสะพานนี้เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่เมืองตาน-พยูซะยะ ประเทศเมียนมา ซึ่งสภาพภูมิประเทศและอากาศ ในช่วงนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากจากผลของสงคราม โรคภัยและการขาดแคลน อาหารทำให้เชลยศึกหลายคนล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย เวลาผ่านไปสะพานแห่งนี้มีการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและในช่วงประมาณปลายเดือน พ.ย. ถึงต้น ธ.ค. ของทุกปี ทางจังหวัดกาญจนบุรีจะจัดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควเพื่อรำลึก ถึงความสำคัญของการสร้างทางรถไฟสายมรณะ และสะพานแห่งนี้

สำหรับใครที่ต้องการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสถานที่ที่เก็บรักษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์เหล่านี้อยู่ที่ หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งอยู่ ไม่ไกลจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว อาคารพิพิธภัณฑ์สร้างในพื้นที่เกิดเหตุการณ์จริงที่กองทัพญี่ปุ่นใช้สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์อำนวยการในการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว ภายในอาคารมีการจัดแสดงสิ่งของ ทั้งเครื่องประดับ แสตมป์โบราณ ดาบ ลูกปืนมีภาพถ่าย และอุปกรณ์อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เช่น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ อีกด้วย

สถานที่หนึ่งหากคุณเดินทางจากกรุงเทพฯ ก่อนเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี แล้วน่าจะแวะเที่ยวก็คือ วัดถ้ำเสือ ที่อำเภอท่าม่วง สิ่งที่คุณจะเห็นได้แต่ไกล คือ หลวงพ่อชินประทานพร พระพุทธรูปปางประทานพรที่ประดับด้วยโมเสกสีทองอร่ามทั้งองค์ เรือนแก้วครอบองค์พระตั้งตระหง่านอยู่บนเนิน เมื่อเดินขึ้นบันไดมา 158 ขั้น ก็จะเห็นวิวทิวทัศน์มุมสูงของเมือง แต่ถ้าไม่ขึ้นบันได สามารถเลือกซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้านั่งไปกลับได้ในราคาเพียง 10 บาท

ด้านบนนี้มีพระเจดีย์เกษแก้วมหาปราสาท ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมสีส้มอิฐ สูงเด่นไม่ต่างกัน เจดีย์มีทั้งหมด 9 ชั้น มีบันไดวนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด ชั้น 9 ได้ โดยที่ชั้น 9 จะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย แต่ละชั้นก็จะมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีกมากมาย

จากวัดถ้ำเสือไปอีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงแลนด์มาร์กธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่ต้นจามจุรียักษ์ หรือ บางคนก็เรียกก้ามปูบ้าง ก้ามกุ้งบ้าง ต้นฉำฉา/สำสา หรือตุ๊ดตู่ บ้าง ส่วนชาวต่างชาติเรียกต้นไม้นี้ว่า Giant Rain Tree ต้นไม้ขนาดยักษ์ ขนาดยักษ์ชนิดที่ว่าลำต้นกว้างขนาด 10 คนโอบ ส่วนความสูงจากรากจรด ลำต้นประมาณ 20 เมตร ต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมให้ร่มเงานี้ มีอายุมากกว่า 100 ปีเลยทีเดียว ให้ทั้งความร่มรื่นและร่มเย็นแก่ผู้มาเยือน ปัจจุบันต้นไม้นี้อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 กรมการสัตว์ทหารบก

พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ถ้าคุณชื่นชอบเหล่าสัตว์น้อยใหญ่แล้วละก็ขอแนะนำที่นี่เลย สวนสัตว์เปิด ซาฟารี ปาร์ก แอนด์ แคมป์ นอกจากที่นี่จะเป็นสวนสัตว์เปิดแห่งแรกในจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว

ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ อนุรักษ์และขยายพันธุ์สัตว์นานาชนิดอีกด้วย

จุดเด่นที่คุ้นตาของที่นี่คงเป็นภาพของเหล่ายีราฟตัวสูงที่ยื่นหน้าเข้ามาภายในรถบัสของสวนสัตว์ที่มาพร้อมกับภาพของรอยยิ้มผู้คนที่ชื่นชมความน่ารักของมัน

นอกจากเหล่ายีราฟแล้วคุณจะเห็นเหล่ากวางน้อยใหญ่ที่น่ารักไม่แพ้กัน

หรือตื่นเต้นไปกับโซนเสือ อย่างเช่น เสือเบงกอล เสือดาว สิงโต

หากนั่งรถบัสมาโซนนี้อย่าลืมปิดกระจกให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัยด้วย

บอกเลยว่าค่าเข้าชม 200 บาทต่อคนคุ้มสุดๆ เพราะรวมบริการนั่งรถบัสเข้าชมสวนสัตว์ ชมการแสดงช้างและโชว์จระเข้แล้ว

แต่ถ้าต้องการซื้อแพ็กเกจเสริมอย่างป้อนนมลูกเสือ ลูกสิงโต ให้อาหารเสือ ก็ทำได้

ส่งท้ายสุดสัปดาห์ด้วยการย้อนอดีตกันที่ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 ที่ได้จำลองเอาวิถีชีวิตชาวสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาให้เราได้สัมผัสและลองไปใช้ชีวิตแบบผู้คนในอดีตยุคนั้น

อาจจะลองสวมชุดไทย ห่มสไบ เดินเล่นไปตามบ้านเรือนที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยโบราณหรือจะนั่งรถเจ๊กไปรอบเมือง ใช้เงินรู (เงินโบราณ) ในการจับจ่ายซื้อสินค้า หรือชิมขนมไทยแบบโบราณที่หายากในย่านร้านค้าของเมืองได้

ถ้าใครมาในช่วงกลางวันแนะนำให้รับประทานบุฟเฟต์อาหารกลางวัน ที่นี่มีเมนูอาหารไทยโบราณทั้งอาหารคาว รวมทั้งขนมหวานและเครื่องดื่มสมุนไพรให้เลือกมากถึง 16 เมนู หรือถ้ามาช่วงเย็นจะมีการแสดงให้ชม ถึง 6 ชุดในช่วงเวลาประมาณ 18.30 น.

กาญจนบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายทั้งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ ประเพณีและวัฒนธรรม ช่วงเวลาเพียงวันหยุดเสาร์อาทิตย์คงไม่เพียงพอ หากมีเวลาพักร้อนยาว แนะนำให้เลือกกาญจนบุรีเป็นตัวเลือกลำดับต้นได้เลย

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0