Great time, Great Ocean Road

ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามายามที่ฉันเลื่อนกระจกลงออกไปรับสายลมทะเล ส่งผลให้วันที่มืดหม่นกลายเป็นวันที่สดใสดั่งท้องฟ้าวันนี้แทบในทันที และเชื่อว่าหากคุณได้เดินทางบนเส้นทางกว่า 250 กิโลเมตรที่ผ่านทั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ภูเขา บ้านเรือน บางส่วนก็เลียบชายฝั่งที่สวยงาม ไม่ว่าวันนั้นจะแย่เพียงไหน มันจะกลายเป็นวันและช่วงเวลาที่แสนพิเศษกับเส้นทางที่แสนพิเศษแห่งนี้สมกับคำว่า Great Ocean Road

เกรท โอเชียน โรด (Great Ocean Road) หรือเรียกย่อกันว่า ‘GOR’ นั้น เป็นถนนเลียบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย อยู่ที่รัฐวิกตอเรีย (Victoria) มีระยะทางประมาณ 243 กิโลเมตร เริ่มจากเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงด้านการไปชายหาดเพื่อเล่นเซิร์ฟบอร์ด อย่างเมืองทอร์คีย์ (Torquay) อยู่ใกล้กับเมืองกีลอง (Geelong) ซึ่งไม่ไกลจากเมลเบิร์น (Melbourne) โดยมากคนมักจะเริ่มต้นจากการมาลงที่เมลเบิร์นก่อนจะเดินทางต่อไปทางตะวันตก ยาวไปถึงเมืองออลลันส์ฟอร์ด (Allansford) ซึ่งใกล้กับเมืองวอรร์นัมบูล (Warrnambool)

หลังจากที่เดินทางออกจากเมลเบิร์นมาทางตะวันตกเฉียงใต้ได้ประมาณชั่วโมงนิดๆ เมืองแรกที่แวะกันคือกีลอง (Geelong) สิ่งหนึ่งที่คุณจะเห็นถ้ามากีลองคืองานประติมากรรมเสาที่ตกแต่งเป็นรูปคนสีสันสดใสเข้ากับท้องฟ้าและท้องทะเลเป็นที่สุด ศูนย์กลางความเจริญของกีลองน่าจะอยู่ตรงบริเวณซิตี้วอเตอร์ฟรอนต์ (City’s waterfront) พื้นที่สาธารณะริมหาดอีสเทิร์น (Eastern Beach) ซึ่งผู้คนก็ออกมาเดินเล่นและทำกิจกรรมกัน บ้างก็ออกมานั่งปิคนิค หรือไม่ก็ว่ายน้ำเล่นกีฬา ใช้เวลากลางแจ้งกัน นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ แค่เดินถ่ายรูปกับประติมากรรมแกะสลักสีก็สนุกสนานแล้ว

ออกจากกีลองประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงเมืองทอร์คีย์ (Torquay) เมืองสวรรค์ของนักเซิร์ฟ และยังเป็นเมืองต้นกำเนิดแบรนด์เสื้อผ้าสำหรับนักกีฬาเอาต์ดอร์ชื่อดังอย่าง Rip Curl และ Quiksilver อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจนักที่หาดหลายหาดของเมืองนี้จะเหมาะกับการโต้คลื่นไม่ว่าจะเป็นหาดที่ขึ้นชื่ออย่างหาดเบลส์ บีช (Bells Beach) หาดแจนจุก (Jan Juc) เป็นต้น แม้จะไม่ใช่ช่วงที่เป็นเทศกาลแข่งเซิร์ฟระดับโลกอย่างงาน World Surf League (WSL) แต่เราก็จะเห็นคนมาเล่นเซิร์ฟกันบ้าง หากมาช่วงงานคงสนุกไม่ใช่น้อย งานจะจัดประมาณช่วงสุดสัปดาห์ของเทศกาลอีสเตอร์ ภาพของนักโต้คลื่นกับหน้าผาสวยๆ ข้างหลัง คงตื่นเต้นน่าดู ถ้ามีเวลาลองไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการเซิร์ฟที่ Australian National Surfing Museum เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับกีฬากระดานโต้คลื่นและวัฒนธรรมชายหาดทีใหญ่ที่สุดในโลกหรือไปชมสัตว์น้ำที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำ Point Danger Marine Sanctuary กันได้

ระหว่างจากเมืองทอร์คีย์ ไปยังอนุสรณ์ รำลึกถึงกลุ่มคนผู้ก่อสร้างถนนสายนี้ ซึ่งคนที่สร้างนั้นคือเหล่าทหารที่มากกว่า 3,000 คน ที่กลับมาจากศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 อนุสรณ์นั้นชื่อ Memorial Arch at Eastern View เราแวะกันที่ประภาคารชื่อ Spilt Point Light House ที่อยู่ระหว่างทางก่อน ประภาคารสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1891 ทำหน้าที่ส่องแสงนำทางให้เรือที่ผ่านไปมาเดินทางได้อย่างปลอดภัย ปัจจุบันที่นี่ยังคงทำงานทุกคืนด้วยระบบอัตโนมัติ ประภาคารแห่งนี้ปรากฏในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง ‘Round the Twist’ อีกด้วย ถ้าขึ้นไปด้านบน คุณก็จะเห็นวิวมุมสูงที่สวยงาม หรือถ้าโชคดีคุณอาจเห็นโลมาหรือวาฬจากระเบียงด้านบนประภาคาร

จากประภาคารประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงอนุสรณ์ Memorial Arch at Eastern View เป็นซุ้มประตูโค้งเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางสู่เส้นทาง Great Ocean Road ที่นี่ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1918 – 1930 ใช้เวลา 12 ปี โดยคนที่ร่วมกันสร้างคือเหล่าทหารที่รอดชีวิตกลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งสงครามครั้งนั้นออสเตรเลียได้ส่งคนเข้าร่วมกว่า 330,000 คนอาสาไปต่อสู้ในยุโรป ตุรกี และตะวันออกกลาง กว่า 60,000 คนถูกฆ่าตายและอีก 160,000 คน บาดเจ็บ อัตราการสูญเสียมากกว่า 64% สูงกว่าของประเทศอื่นๆ

อนุสรณ์สถานแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงความเสียสละและการอุทิศตนของทหารเหล่านั้น ซุ้มประตูนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่ 4 หลังจากที่ 2 ครั้งก่อนหน้านั้นพังเพราะไฟไหม้ พายุ และการขยายถนนสายนี้ใกล้กับซุ้มประตูก็มีรูปปั้นของผู้ที่รวมกันสร้างตั้งอยู่ด้วย รูปปั้นนี้ได้รับการติดตั้งในปีที่ครบ 75 ปีแห่งการสร้างถนนแห่งนี้เพื่อเป็นการยกย่องผู้ที่ร่วมก่อสร้างถนนสายนี้ ปกติถ้ามากับรถท่องเที่ยวที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่รถจะแวะ

ขับถัดไปอีกนิดเป็นเมืองลอร์น (Lorne) เป็นอีกหนึ่งจุดแวะพักที่น่าสนใจเพราะมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารและ แกลเลอรีตั้งอยู่บนเส้นทางสัญจรหลักของเมือง เราสามารถ หยุดผ่อนคลายด้วยกาแฟสักแก้ว นั่งชมเมือง รับลมทะเลใต้ต้นไม้บนชายฝั่งหรือรับประทานอาหารทะเลสดใหม่ที่ร้านอาหารท้องถิ่นก็ย่อมได้ สำหรับใครที่ชอบการตกปลา ที่ท่าเรือของเมืองลอร์นเหมาะสำหรับการตกปลาเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามาช่วงเดือนพฤษภาคมและกันยายน คุณอาจโชคดีได้เห็นวาฬอีกด้วย ทางใต้สุดของถนนจอร์จ (George Street) มีจุดชมวิว Teddy’s Lookout ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของแม่น้ำเซนต์จอร์จและชายฝั่ง

สำหรับเมืองถัดไปบนเส้นทางนี้ คือ อะพอลโลเบย์ (Apollo Bay) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่หลายคนเลือกที่จะพักก่อนไปชมวิวของเสาหินทเวลฟ์ อะพอสเซิล ไฮไลต์หลักของเส้นทางนี้ เมืองนี้ห่างจาก พอร์ตแคมป์เบลล์ (Port Campbell) อีกเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมเลือกพักเช่นกัน ประมาณ 130 กิโลเมตร (ขับประมาณชั่วโมงกว่าถึง 2 ชั่วโมง) เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ริมทะเล สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ตก็ต้องอยู่บนถนนสายหลักของเมืองแห่งนี้ หลายคนเลือกที่จะแวะพักที่เมืองนี้ แต่สำหรับเราเลือกที่จะไปพักที่พอร์ต แคมป์ เบลล์

ระหว่างทางไปนั้นก็จะผ่านประภาคารที่น่าสนใจอีกหนึ่งประภาคารคือ Cape Otway Lighthouse Station เป็นประภาคารที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของออสเตรเลีย ที่นี่เสียค่าเข้าอยู่ที่ประมาณ 20 AUD ด้านในมีจัดแสดงนิทรรศการประวัติความเป็นมา ด้านบนของประภาคาร ก็จะเห็นห้องทำงานของคนดูแล ใกล้ๆ กันนั้นคือ อุทยานแห่งชาติเดอะเกรทอ็อตเวย์ (Great Otway National Park) เป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ จุดเด่น คือ ป่าเฟิร์นขนาดใหญ่ น้ำตก ดูแล้วเหมือนป่าโบราณเลยทีเดียว

ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่พักของเหล่านักท่องเที่ยว พอร์ตแคมป์เบลล์ (Port Campbell) เมืองที่เพียบพร้อมไปด้วยร้านอาหาร ห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่สำคัญไม่ไกลจากเสาหินทเวลฟ์ อะพอสเซิล มากนัก ที่นี่มีที่พักหลายแบบมาก โดยมากจะเป็นบ้านพักหลังเล็ก แล้วมีห้องนอนพร้อมที่ทำอาหาร หากมาเป็นกลุ่มทำกับข้าวกันกินเองก็สนุกดีไม่ใช่น้อย แต่ถ้าไม่ทำกับข้าว ก็มีร้านอาหารที่เปิดบริการ ถ้าใครขับรถมาถึงเร็วสามารถขับไป ทเวลฟ์อะพอสเซิล ยามเย็นได้ จากพอร์ตแคมป์เบลล์ไปใช้เวลาเพียง 15 – 20 นาที เท่านั้น ช่วงเวลาประมาณสัก 16.00 น. หรือ 4 โมงเย็น แสงกำลังสวย และแดดก็ไม่แรงมากด้วย รอจนพระอาทิตย์ลับข้ามฟ้าไปได้ หรือจะตื่นแต่เช้าไปชมแสงยามเช้าก็ได้เช่นกัน

เสาหินทเวลฟ์ อะพอสเซิล (Twelve Apostles) หรือเสาหินสาวกทั้ง 12 หนึ่งในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอยู่ในอุทยานแห่งชาติพอร์ตแคมป์เบลล์ (Port Campbell National Park) เป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่คุณมาเส้นทาง เกรท โอเชียนโรด (Great Ocean Road) แล้วต้องแวะให้ได้ ว่ากันว่าเมื่อ 20 ล้านปีมาแล้ว เสาหินเหล่านี้เชื่อมต่อกับหน้าผาบนแผ่นดินใหญ่ แต่เวลาผ่านไป ถูกคลื่นและลมกัดกร่อนจนเขาหินปูนชายฝั่งกลายเป็นโพรง เกิดเป็นถ้ำ ในเวลาต่อมาเมื่อถ้ำยุบตัวลงก็เหลือแต่โครงเสาหินเท่านั้น เมื่อราวต้นศตวรรษที่ 20 หรือ 100 กว่าปีก่อน

กลุ่มเสาหินเหล่านั้นถูกเรียกว่า แม่หมูและลูกหมู (Sow and Piglets) ซึ่งแม่หมูแทนด้วยเกาะ Mutton Bird Island ส่วนลูกหมูคือเสาหินเล็กๆ อยู่ถัดไปทางตะวันตก ต่อมามีการตั้งชื่อกลุ่มเสาหินขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดมาทางตะวันออกราว 2 กิโลเมตร ว่า “12 Apostles” หมายถึงสาวกทั้ง 12 คนของพระเยซูที่ร่วมโต๊ะเสวยมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ถึงแม้ว่าจะมีเพียง 9 ต้นเท่านั้น ไม่ใช่ 12 ต้นแบบชื่อที่ตั้งก็ตาม ทำให้กลายเป็นที่สนใจและนิยมเรื่อยมา จนเมื่อปี ค.ศ. 2005 ที่ผ่านมา มีต้นหนึ่งที่สูงถึง 50 เมตร ได้ถูกน้ำกัดกร่อนจนเสาหินโค่นลงเหลือเพียง 8 ต้นเท่านั้น แต่กระนั้นที่นี่ก็ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

หลังจากพักผ่อน เราออกไปท่องเที่ยวกลุ่มเสาหินปูนกัน ทั้งเริ่มจากวิ่งรถไปที่เสาหินทเวลฟ์ อะพอสเซิล เพื่อให้ทันแสงช่วงเช้าที่บอกเลยว่าสวยงามมาก จากนั้นเราก็ขับรถไล่กลับมาเข้ามาทางเมืองพอร์ตแคมป์เบลล์อีกครั้งเพื่อชมเสาหินปูนและโตรกผาใกล้เคียงอย่างล็อก อาร์ด จอร์จ (Loch Ard Gorge) เดิมที่นี่เรียกว่า London Bridge เนื่องจากเป็นหินที่ยื่นต่อจากฝั่ง มองแล้วรูปร่างคล้ายสะพานลอนดอน จนเมื่อปี ค.ศ. 1878 มีเรือสำเภาที่แล่นมาจากอังกฤษกว่า 3 เดือนมายังเมลเบิร์น ชื่อว่า Loch Ard ชนกระแทกเข้ากับเกาะ Mutton Bird ตรงบริเวณนี้ จนเรืออับปาง ผู้โดยสารบนเรือ 52 คนเสียชีวิต มีเพียงเด็กวัยรุ่น ชายหญิง 2 คนคือ Tom Pearce และ Eva Carmichael ที่รอดชีวิต หินช่วงเชื่อมต่อกับฝั่งพังลง ส่วนที่เหลือมีรูปร่างเป็นประตูโค้งลอยโดดๆ อยู่กลางทะเล จึงเปลี่ยนมาเรียกว่า Loch Ard Gorge มาถึงปัจจุบัน

จุดที่น่าชมของกลุ่มหินโซนนี้คือทอม และอีวา (Tom and Eva Lookout) ซึ่งเดิม Island Archway ที่เป็นแท่งหินรูปร่างคล้ายประตูโค้งเมื่อกลางปี 2009 หิน Island Archway ช่วงตรงกลางพังลง จนปัจจุบันกลายเป็นแท่งหิน 2 ก้อนไม่เชื่อมต่อกัน จึงได้ตั้งชื่อว่าเป็น Tom กับ Eva ซึ่งเป็นชื่อของเด็กสองคนที่รอดชีวิตนั่นเองหรือ The Razorback กลุ่มหินปูนขนาดใหญ่ เป็นแนวหน้าผากว้างออกไปยังท้องทะเล และอีกจุดชื่อเหมือนกลุ่มหินโซนนี้ นั่นก็คือ ล็อก อาร์ด จอร์จ (Loch Ard Gorge) จุดสังเกตที่เห็นได้ชัด คือ โตรกหินขนาดใหญ่ที่ถูกแยกออกเป็นสองส่วนมีช่อง ตรงกลางให้น้ำทะเลได้ลอดผ่านเข้ามาเป็นแอ่งทะเลสาบ และช่องให้ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามจุดหนึ่ง ที่นี่เปิดตลอดทั้งปี สภาพอากาศในพื้นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สามารถถ่ายรูปได้ตลอดเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงกลางดึก

หากคุณขับรถกลับไปทางพอร์ตแคมป์ เบลล์ และไปอีกด้านหนึ่งก็จะเจอกลุ่มเสาหิน อีกกลุ่มที่เป็นที่รู้จักนั่นก็คือ ลอนดอนบริดจ์ (London Bridge) แนะนำว่ากินกลางวันที่ พอร์ตแคมป์เบลล์ก่อนแล้วมาช่วงบ่ายแก่ เห็นแสงแดดกระทบกับซุ้มโค้งสวยงามมาก เหตุที่ชื่อลอนดอนบริดจ์ เพราะโขดหินบริเวณนี้มีลักษณะเป็นเนินลาดและมีซุ้มโค้งกลางทะเล คล้ายสะพานลอนดอนบริดจ์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษนั่นเอง ด้วยสภาพอากาศคลื่นลม ทำให้ช่วงปี ค.ศ. 1990 บางส่วนได้ทลายลงไปมาก จนปัจจุบันเสาสองแท่งเกือบแยกออกจากกัน

ขากลับพวกเราเลือกเส้นทางที่ไม่เลียบฝั่งทะเล ผ่านเข้ากลางแผ่นดิน สู่เมืองออลลันส์ฟอร์ด (Allansford) ซึ่งใกล้กับเมืองวอรร์นัมบูล (Warrnambool) และเข้าเมลเบิร์น ความสวยงามของเส้นทางสายนี้นอกจากจะมีฝั่งหนึ่งเป็นภูเขาผาสูงตระหง่าน อีกฝั่งเป็นท้องทะเลสวยงามที่ตัดลัดคดเคี้ยวไปมา ความเป็นธรรมชาติ และภูมิอากาศ รวมไปถึงท้องฟ้าที่สวยงาม ทำให้ทุกช่วงเวลาของการเดินทางบนเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยงาม และน่าประทับใจที่สุด สมเป็น Great time สำหรับเราทีเดียว

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0