Great time in Gifu (Takayama – Hida furukawa – Gero)

ภาพของแสงไฟสีเหลืองนวลจากบ้านหลังเล็กหลังน้อย หลังคาทรงคล้ายสามเหลี่ยมเรียงเป็นทิวแถว ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา ที่ถูกหิมะปกคลุม น่าจะเป็นภาพจำของใครหลายคนสำหรับหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) แห่งจังหวัดกิฟุ

ผมมีโอกาสได้มาท่องเที่ยวจังหวัดกิฟุ อยู่ 4-5 ครั้งในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ จะเห็นความแตกต่างระหว่างการท่องเที่ยวแบบมีเสื้อผ้าจัดเต็มและแบบสบายๆ เสื้อผ้าเบาบางหน่อยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะถามว่าผมชอบแบบไหนมากกว่า บอกได้ทันทีเลยว่า… ฤดูไหนที่กิฟุก็สวย ส่วนสำหรับคำถามพื้นฐานอย่างมีเวลา 2 วัน 1 คืน 3 วัน 2 คืนไปเที่ยวไหนบ้างนั้น

ถ้าถามเอาตามเส้นทางมาตรฐานคลาสสิก โดยเอาผมเป็นที่ตั้งแล้วก็ตามนี้เลย เริ่มแรกจากสนามบิน ไม่่ว่าคุณจะมาลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติ ชูบุ เซ็นแทร์ (นาโกย่า) หรือท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (โอซากา) มันจะไม่มีทางด่วนเส้นทางลัดวิ่งตรงมาหมู่บ้านโบราณแสนน่ารัก อย่างหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ถ้าคุณตั้งต้นที่นาโกย่าก็ให้นั่งรถไฟมุ่งเข้าไปที่เมืองทาคายามะ (Takayama) แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center อีกประมาณ 50 นาที หรือถ้าตั้งต้นจากโอซากา แนะนำให้นั่งรถไฟไปลงที่เมืองคะนะซะวะ (Kanazawa) แล้วต่อรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน

หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ในอดีตมีชื่อเต็มว่า “กัสโชซึคุริโอกิมาฉิ ชิราคาวาโกะ” ตั้งอยู่บนภูเขาในเขตจังหวัดกิฟุและโทยามะ (Gifu and Toyama Prefectures) ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู เป็นหมู่บ้านชาวนาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี ที่กระจายตัวไปตามแนวราบของหุบเขาขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ (Shokawa River) ประกอบไปด้วยหมู่บ้านน้อยใหญ่กว่า 16 หมู่บ้าน ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมพร้อมๆ กับภูเขาโกคายามะ จังหวัดโทยามะในปี 1995 สำหรับหมู่บ้านที่เราเห็นภาพกันบ่อยๆ คือ หมู่บ้านโอกิมาจิ (Ogimachi) ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่สุด นั่นเอง

สิ่งที่โดดเด่นของหมู่บ้านแห่งนี้คือลักษณะของหลังคาที่เรียกว่ากัสโชซึคุริ (Gasshozukuri) บ้านทรงพนมมือ รูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น บริเวณหลังคาของบ้านซึ่งมุงด้วยฟางทำทรงจั่วสูงชันขนาดใหญ่ถึง 60 องศาดูราวกับสองมือที่กำลังพนมเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้หิมะที่ตกหนักในช่วงฤดูหนาวได้ไหลลงมาได้อย่างสะดวกนั่นเอง

นอกจากนี้อีกหนึ่งความพิเศษของบ้าน แบบนี้คือ การสร้างโดยที่ไม่มีการตอกตะปู แต่ใช้เทคนิคในการเข้าไม้ เข้าลิ่ม และเดือย รวมถึงการใช้เชือก รวมไปถึงวัสดุธรรมชาติที่ใช้ยึดโครงสร้างของบ้านให้มั่นคงแข็งแรงได้อย่างน่าทึ่ง สำหรับบ้านไม้ที่มีขนาดใหญ่ 3-4 ชั้น จากเดิมที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวนาธรรมดาปลูกข้าวและอยู่อาศัยจริง ท่ามกลางหุบเขา แต่ในปัจจุบันชิราคาวาโกะ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนต้องเดินทางมาสักครั้งให้ได้

บนถนนสายหลักของหมู่บ้าน มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านค้า รวมถึงร้านอาหารเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ยิ่งในช่วงฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยวต่างมุ่งมาที่นี่ นอกจากจะเดินชมบรรยากาศของหมู่บ้านแล้ว บ้านหลายหลังเปิดให้เข้าพักได้ แต่ต้องจองล่วงหน้านานๆ สักหน่อย แต่ถ้าใครมีเวลาไม่มาก ก็สามารถเข้าชมบรรยากาศของบ้านบางหลังที่เปิดให้เข้าชมได้ เช่น บ้านวาดะ (Wada House) บ้านทรงกัสโชที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น มีอายุ มากกว่า 300 ปี ซึ่งภายในยังคงมีสภาพเดิม และสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงงานหัตถกรรมต่างๆ ที่ทำขึ้นในสมัยก่อนด้วย ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน สำหรับใครที่มีเวลาจำกัด มีตัวช่วยให้การท่องเที่ยวง่ายขึ้น ผมแนะนำให้ไปตั้งต้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วขอแผนที่ของหมู่บ้านมาเป็นแนวทาง มีฉบับภาษาไทยด้วย จะทำให้ง่ายต่อการเที่ยวชม และทำให้ไม่หลงอีกด้วย

ไฮไลต์หลักจะอยู่ที่จุดชมวิวบนเนินเขาที่สามารถมองเห็นหมู่บ้านในมุมสูงได้ ในช่วงหน้าหนาวเส้นทางเดินนี้ จะมีรถชัตเติลบัสให้บริการขึ้นไปด้านบนมีค่าโดยสารเพียง 200 เยนออกวิ่งทุก 20 นาที สะดวกมาก อีกหนึ่งไฮไลต์ของหมู่บ้านแห่งนี้คือ งานแสดงไฟของหมู่บ้านหรือ Shirakawago Light Up ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ซึ่งถือได้ว่าภาพของแสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องออกมาจากบ้านหลังเล็กๆ หลังน้อยท่ามกลางหิมะสีขาว เป็นภาพประทับใจหลายคนที่ได้ไปเห็นจริงๆ หลายคนที่จองที่พักได้ในหมู่บ้านก็จะสะดวกหน่อยแต่ถ้าไม่ได้จองก็สามารถเลือกพักที่เมืองทาคายามะได้

ทาคายามะ เมืองประวัติศาสตร์ ทาคายามะ หรือฮิดะทาคายามะ (Hida Takayama) ห่างจากชิราคาวาโกะประมาณ 1 ชั่วโมง โดยมากนักท่องเที่ยวมักนั่งรถไฟแล้วมาต่อรถบัสที่เมืองแห่งนี้ ถ้าเทศกาลประดับไฟ Shirakawago Light Up คือไฮไลต์ของชิราคาวาโกะแล้วละก็เทศกาลทาคายามะ มัตสึริ (Takayama Matsuri) ก็เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของทาคายามะเลยก็ว่าได้ เทศกาลนี้เรียกได้ว่าเป็น 1 ใน 3 เทศกาลที่มีความสวยงามตระการตา เทศกาลหนึ่งของญี่ปุ่นทีเดียว (อีกสองเทศกาล คือเทศกาลกิออนมัตสุริ (Gion Matsuri) ที่ เกียวโต และเทศกาลชิชิบุโยมัตสุริ (Chichibu Yomatsuri) ที่ไซตามะเทศกาลนี้จัดขึ้น 2ครั้งใน 1 ปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ วันที่ 14-15 เมษายน เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “งานเทศกาลซันโนมัตสึริประจำฤดูใบไม้ ผลิ” (Takayama Spring Festival)

ในงานจะมีงานแห่ยาไต (Yatai) ที่ประดับอย่างยิ่งใหญ่กว่า 12 หลัง ในขบวนพาเหรดผู้คนในชุดญี่ปุ่นดั้งเดิม เช่น คามิชิโมะ (ส่วน อีกครั้งคือ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง วันที่ 9 – 10 ตุลาคม จัดขึ้นในฐานะที่เป็น งานเทศกาลประจำปีของศาลเจ้าซากุระยามะฮาจิมังงู โดยเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮาจิมังมัตสึริ” ZHachiman Matsuri หรือ Takayama Autumn Festival) ภายในงานจะเป็นการแห่ยาไต 11 หลังแตกต่างจากช่วงฤดูใบไม้ผลิ ด้วยบรรยากาศที่คึกคักจะเป็นความสดชื่นให้กับ เมืองเก่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

แต่ถ้าคุณมีเวลามาในช่วงที่ไม่ตรงกับเทศกาลก็ไม่เป็นไรเพราะเมืองนี้ยังมีจุดอื่นให้เยี่ยมชมอีกมากอย่างเช่น ในช่วงเช้าตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงประมาณเที่ยงวัน ตลอดแนวกว่า 350 เมตร บริเวณริมแม่น้ำมิยางาวะ (Miyagawa River) ตั้งแต่สะพานคาจิบาชิ (Kajibashi Bridge) ถึงสะพานยาโยอิบาชิ (Yayoibashi Bridge) จะมีตลาดเช้าชื่อ ตลาดเช้ามิยางาวะ (Miyagawa Morning Market) ของที่มาขายก็จะมีตั้งแต่พืชผัก ผลไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ตามฤดูกาล และเครื่องเทศตรงบริเวณฝั่งที่ติดริมแม่น้ำ ส่วนอีกฝั่งก็มีขนมหวานและงานฝีมือ ของที่ระลึกจากญี่ปุ่นเช่นตะเกียบและของชิ้นเล็กๆ นอกเหนือไปจากของที่ระลึกในท้องถิ่น ของทาคายามะรวมถึงตุ๊กตาซารุโบโบะ (Sarubobo) และงานแกะสลักไม้ Ichii Itto-bori

อีกหนึ่งตลาดคือตลาดเช้าจินยะมาเอะ (Jinya- Mae Morning Market) ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่หน้า อาคารสำนักงานว่าการเมืองโบราณของทาคายามะ (Takayama Jinya) ไม่ไกลจากสะพานแดงนากาบาชิ ที่เป็นที่รู้จักมากนัก ตลาดนี้เริ่มมาตั้งแต่ 300 กว่าปีก่อน ต้นกำเนิดของตลาดเริ่มจากเกษตรกร ผู้เลี้ยงไหมที่ขายใบหม่อนและแม้กระทั่งทุกวันนี้มีเพียงเกษตรกรเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เปิดแผงขายซึ่งแผงขายอาหารหลายแห่งขายผักสดอาหารแห้งและผักดองโฮมเมด

หากพูดภาษาญี่ปุ่นได้ คุณจะรู้ว่าคุณลุง คุณป้าเกษตรกรเหล่านี้ยินดีที่จะบอกวิธีกินและเก็บรักษาอาหารของพวกเขาให้ด้วยจากตลาดเช้า สายหน่อยไปเดินต่อกันที่ย่านเมืองเก่า (Takayama Old Town) ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมิยางาวะ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ตลอดแนวของถนนซันโนะมาจิ (Sannomachi Street) นั่นเอง

ความน่าสนใจของที่นี่อยู่ที่อาคารบ้านเรือนแบบโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (1600-1868) และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม ตลอดสองฟากฝั่ง ถนนเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านกาแฟและโรงเหล้าสาเก ซึ่งบางแห่งมีมานานหลายศตวรรษ บ้านหลายหลัง เปิดให้เข้าชมด้านในซึ่งมีการปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์แกลเลอรี ให้ชมของใช้ในครัวเรือนแบบดั้งเดิมและศิลปะและงานฝีมือในท้องถิ่น

ร้านค้าในพื้นที่ส่วนใหญ่จะเปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น. กิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมทำกันหากมาที่นี่ คือการนั่งรถลากแบบโบราณชมเมือง ราคาประมาณ 7,000 เยน ใช้เวลา 30 นาที สำหรับคนที่รักการทำกิจกรรม ในตัวเมืองทาคายามะ มีร้านค้าขายของตุ๊กตาซารุโบโบะซึ่งเป็นของที่ระลึกประจำเมือง คำว่าซารุ (saru) แปลว่า ลิง และ โบโบะ (bobo) เป็นคำที่ชาวเมืองทาคายามะ ใช้เรียกทับศัพท์คำว่า เบบี้ หรือทารก เด็กน้อย

ดังนั้น ซารุโบโบะ แปลตรงตัวได้ว่า ลิงตัวน้อย เดิมซารุโบ โบะทำไว้เพื่อเป็นเครื่องรางนำโชคมาให้ลูกหลานและอวยพรให้ลูกสาวมีความสุขในชีวิตแต่งงาน ตุ๊กตาซารุโบโบะเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีหน้าตา สันนิษฐานว่าเป็นตุ๊กตาแห่งจินตนาการที่เราสามารถรังสรรค์ ให้เป็นหน้ามีความสุข หรือเศร้าไปกับเราได้ เดิมมีสีแดงสีเดียว หมายความว่า นำพาแต่ความสุขมาสู่ชีวิตคู่ คลอดลูกง่าย และปลอดภัย

ปัจจุบันมีสีเพิ่มเติมขึ้น อย่างเช่น สีฟ้า ช่วยให้โชคดีในเรื่องการเรียนและ การทำงาน, สีชมพู ช่วยให้โชคดีในเรื่องความรัก, สีเขียว ช่วยให้โชคดีในเรื่องสุขภาพ, สีเหลือง ช่วยให้โชคดีในเรื่องการเงิน เป็นต้น บางร้านขายของที่ระลึกเหล่านี้จะมีกิจกรรมให้คุณได้ลองทำตุ๊กตาซารุโบโบะ เป็นของตัวเองด้วย ลองสอบถามได้

ฮิดะฟุรุคาวะ (Hida Furukawa) เมืองเล็กที่แสนอบอุ่น ถ้าคุณใช้บัตร Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass จากโอซากา ผ่านคะนะซะวะ โทยามะ คุณจะผ่านเมืองฮิดะฟุรุคาวะ (Hida Furukawa) ก่อนที่จะเข้าทาคายามะ สำหรับเมืองนี้ถือได้ว่าเป็นเมืองคู่แฝดของเมืองฮิดะทาคายามะ ถึงจะเล็กกว่าแต่ก็สงบกว่าทาคายามะมาก มีแม่น้ำมิยางาวะ (Miyagawa River) ไหลผ่านเมือง

จุดท่องเที่ยวของเมืองนี้อยู่ที่คลองขนาดเล็กเลียบไปกับอาคารโบราณผนังสีขาวเรียกว่าชิราคาเบะ โดะโซ (shirakabe dozo) ซึ่งมีความหมายว่า “เมืองของโกดังกำแพงสีขาว” มีต้นหลิว สะพานหิน และภายในคลองมีปลาคาร์ปแหวกว่ายไปมา บรรยากาศโรแมนติกมาก

ยิ่งถ้ามาในวันที่ 15 มกราคมของทุกปี ซึ่งที่เมืองจะมีการจัดงานเทศกาล ซันเทระไมริ (Santera Mairi) หรือไหว้พระ 3 วัดซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นงานประจำปีที่สืบทอดมากว่า 300 ปี ในงานเทศกาลคุณจะเห็นภาพของคนญี่ปุ่นที่พร้อมใจกันแต่งชุดกิโมโนออกมาพร้อมใจกันไหว้พระ 3 วัด อันได้แก่ วัดเอ็นโคจิ (Enkoji Temple) วัดชินชูจิ (Shinshuji Temple) และ วัดฮงโคจิ (Honkoji Temple) เพื่ออธิษฐานขอพร ให้พบกับความรักและความสัมพันธ์ที่ดี

ภายในตัวเมืองก็จะมีเทียนและตะเกียงหิมะวางเรียงรายทั่วเมืองไปหมด เปลวเทียนที่ส่องสว่าง ให้ความรู้สึกอบอุ่นและโรแมนติกมาก สำหรับที่เที่ยวนอกจากบริเวณตัวเมืองเก่าแล้ว วัดหลัก 3 วัดอย่าง เช่น วัดเอ็นโคจิ วัดชินชูจิ และ วัดฮงโคจิ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน สำหรับวัดเอ็นโคจิวัดเก่าแก่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1667

ช่วงงานเทศกาล ซันเทระไมริ ตอนกลางคืนที่วัดจะมีการสวดมนต์ภายในวิหาร และด้านข้างก็จะมีการจุดไฟประดับประดาอีกด้วย

ส่วนวัดชินชูจิ เป็นวัดสำคัญที่ชาวเมืองใช้ประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนาภายในวัดเงยี บสงบและมีบริเวณกว้างขวางพอสมควรตั้งอยู่หัวมุมแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำมิยางาวะ สายหลักและแม่น้ำอะราคิงาวะ (Arakigawa) ซึ่งเป็นสายเล็กที่ไหลพาดผ่านเมือง และวัดฮงโคจิ ก็มีวิหารไม้สนไซเปรสขนาดใหญ่ที่สุดในเขตเมืองฮิดะเลย โดยเฉพาะจั่วของหลังคามีงานไม้แกะสลักสวยงามสมกับเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องของงานไม้แกะสลักเลย

เกะโระออนเซ็น (Gero Onsen) น­้ำพุร้อนกลางหุบเขา จากสถานีทาคายามะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ โดยรถไฟจะเข้ามาถึงเมืองเกะโระ ออนเซ็นที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น (อีก 2 แห่งคือ คุซัทสึ ออนเซ็น (kusatsu onsen) เมืองกุนมะ (Gunma) และ อาริมะ ออนเซ็น (arima onsen) เมืองโกเบ จังหวัดเฮียวโงะ ออนเซ็นที่เกะโระ นี้มีชื่อเสียงในเรื่องน้ำร้อนแห่งความงามที่ ทำให้ผิวนุ่มและมีสุขภาพดี

แต่ก่อนจะแช่ออนเซ็นไปเที่ยวกันที่ พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านโบราณญี่ปุ่น (Gero Onsen Gassho-mura) นั่งรถบัสไปแค่ 6 นาทีจากสถานีเกะโระ ไม่ไกลกันนัก ที่นี่มีบ้านโบราณคล้ายกับที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ คือบ้านที่มีหลังคาทรงกัสโชซึคุริ มี 9 หลัง บางหลังย้ายมาจากที่ชิราคาวาโกะ

ไฮไลต์หลักอยู่ที่บ้านเก่าของตระกูลโอโตะ (Odo House) เป็นบ้านสองชั้น โดยชั้นบนของบ้านมีการจัดแสดงจำลองวิถีการดำรงชีวิตของคนที่อยู่บ้านแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมให้ทำสไตล์หัตถกรรมญี่ปุ่น ทั้งการทำกระดาษพนต์เครื่องดินเผาและอื่นๆ หากมาพอดีช่วงเวลาก็จะได้ชมการแสดงโชว์พิเศษด้วย ใครที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรมแบบนี้น่าจะชื่นชอบทีเดียว กลับเข้าตัวเมืองเกะโระ

ความพิเศษที่แสนน่ารักของที่นี่ นอกจากเรื่องของออนเซ็น สาธารณะที่มีกระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง ทั้งแบบให้แช่มือ แช่เท้าหรือลงแช่ใกล้กับริมแม่น้ำ แล้วก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของกบที่มีกระจาย อยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วเมืองเป็นความเพลิดเพลินทีเดียวที่ได้แช่ออนเซ็นแล้วเดินหาสัญลักษณ์กบที่อยู่จุดต่างๆ

จังหวัดกิฟุเป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยธรรมชาติที่งดงามมากมายทั้งภูเขา แม่น้ำ นอกจากนี้ยังมีประเพณีและวัฒนธรรม มากมาย มีโอกาสให้ลองไปเยี่ยมชมสักครั้งให้ได้

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0