Exploring 3 cities in Yunnan

Story & Photo by Kanjana Hongthong

แผ่นดินจีนนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเดินทางไปเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถทำความรู้จักได้ครบ นี่ขนาดฉันเดินทางเทียวไปเทียวมาในจีนกว่า 10 รอบแล้ว ยังรู้จักจีนไม่ทั่วถึงเลย เอาเป็นว่า เที่ยวนี้เราเจาะลึกเฉพาะในเขตมณฑลยูนนาน (Yunnan) กันก่อน นี่คือหนึ่งในมณฑลที่คนไทยคุ้นเคยกันดี มาดูกันว่า ถ้าจะไปสำรวจยูนนาน มีเมืองไหนบ้างที่น่าไปทำความรู้จัก

ZHONGDIAN

จงเตี้ยน หรือที่รู้จักกันในชื่อของแชงกรีลา คือเมืองอันเร้นลับที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาหิมาลัยอันศักดิ์สิทธิ์ และดินแดนอันบริสุทธิ์สงบงาม ที่รอการไปเยือนของนักเดินทางผู้ไม่ยี่หระให้กับอุปสรรคและความลำบาก นั่นแหละแชงกรีลา

ดินแดนมนตร์ขลังสุขขอบโลกที่ใครๆ พากันตามหานี่คือเมืองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนานเป็นดินแดนที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยธรรมชาติอันทรงพลัง มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์

เพราะแม่น้ำแถวนี้จะมีชาวธิเบตอาศัยอยู่บริเวณนี้ส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีชาวฮั่นและชนเผ่าต่างๆ เช่น ชาวนาซี เผ่าลีซูและเผ่ายี ซึ่งผู้คนที่นี่ก็ยังใส่ชุดพื้นเมืองกันซะเป็นส่วนใหญ่เมื่อนักเดินทางมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าต้องไปเยือนศูนย์รวมจิตใจชาวเมืองจงเตี้ยนอย่างวัดซงจ้านหลิน (Songzanlin Monastery)

นี่คือศาสนสถานที่มีความคล้ายคลึงกับพระราชวังโปตาลา (Potala) ในกรุงลาซา (Lhasa) อย่างไรอย่างนั้น นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้ที่นี่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น ลิตเติล ทิเบต (Little Tibet)

วัดซงจ้านหลินเป็นวัดเก่าแก่นิกายลามะแบบทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน สร้างในยุคดาไลลามะองค์ที่ 5 หรือในช่วงศตวรรษที่ 18

ในวันปกติเราอาจจะเห็นความสงบแผ่คลุมวัดทั้งที่มีพระจำพรรษาอยู่กว่า 700 รูป

แต่ถ้าใครมาเจอในช่วงที่มีเทศกาลงานประเพณี วัดนี้จะมีการเต้นระบำหน้ากากและมีพระออกมาเป่าแตร เรียกว่าสีสันฉูดฉาดสุดๆ

นอกจากศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองอย่างวัดซงจ้านหลินแล้วจงเตี้ยนยังมีเมืองเก่าที่น่าเดินทอดน่องดูบ้านช่องห้องหับของชาวเมืองอย่างยิ่ง

เมืองเก่าของจงเตี้ยน มีรสชาติดิบๆ เดิมๆ ก็จริง แต่ยังมีร้านรวงขายของที่ระลึก คาเฟ่และร้านอาหารน่านั่งหลายแห่ง บอกได้เลยว่าบนถนนสายแคบๆ ของเมืองเก่าแห่งจงเตี้ยนนั้นน่าเดินทอดน่องอย่างยิ่งซึ่งถ้าใครที่ชอบช้อป

ที่นี่มีของน่าช้อปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพวกเครื่องปั้นดินเผาจากหมู่บ้านนีซี หางจามรี เครื่องประดับจากทิเบต สมุนไพรจีนก็เยอะ แต่กลายเป็นว่าช้อปตามร้านในเมืองใหม่ราคามักจะถูกกว่าย่านเมืองเก่า

และอีกมุมหนึ่งที่ทำให้หลายคนเผลออมยิ้มคือวงเต้นรำที่มีแถวจัตุรัสแต่จะให้ดีไปสัก 2 ทุ่มถึงจะคึกคักแถบชานเมืองของจงเตี้ยน ยังมีอีกหลายจุดที่น่าสนใจ เช่นทะเลสาบนาพา (Napa Lake)

ที่อยู่ห่างจากเมืองเก่าไปประมาณ 5 กิโลเมตร จะให้เก๋ลองเช่าจักรยานสักคันปั่นไปที่นั่น ระหว่างทางเจอทั้งทุ่งหญ้าและสัตว์ยืนเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายใจ

LIJIANG

จีนมีเมืองสวยๆ เยอะเลย แต่ถ้าให้เฟ้นออกมาประเภทงามคลาสสิกแล้วละก็ รับรองว่าลี่เจียงต้องเป็นเมืองที่ติดอยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน นี่คือเมืองมรดกโลกที่มีเมืองเก่าอายุกว่า 800 ปีเหนี่ยวนักเดินทางให้มุ่งหน้ามายังเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนานแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย

ความที่ลี่เจียงเป็นเมืองถูกโอบล้อมไว้ด้วยภูเขา และตัวเมืองอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,400 เมตรจึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่าที่นี่เป็นถิ่นฐานของชาวเผ่านาซีราว 2 แสนคนอาศัยอยู่

แถมยังมีชาวฮั่น และชาวไป๋อาศัยรวมอยู่ด้วยเพราะลี่เจียงเป็นเมืองพรมแดน ระหว่างทิเบตกับจีน บรรพบุรุษของชาวนาซีคือชาวทิเบตที่เดินทางเร่ร่อนไปอย่างอิสระในทุ่งกว้าง กระทั่งได้มาพบที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ที่นี่ จึงได้ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองลี่เจียงแต่ถ้าอยากหาต้นเหตุแห่งความงามอย่างคลาสสิกของลี่เจียงหาไม่ยาก

ลองพาสองเท้าไปเดินโต๋เต๋ในเขตเมืองเก่า แล้วคุณจะพบว่า เมืองโบราณที่ทางเดินปูด้วยหิน และประพรมไว้ด้วยสถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวนาซี ช่างรื่นรมย์เหลือเกินมาถึงที่นี่ ลองเดินไต่ขึ้นเนิน แล้วมองลงมาที่เมืองเก่า ก็จะเจอภาพหลังคากระเบื้องเก่าสีดำเป็นทิวเทือก มุมที่เหมือนมีมนตราสะกดให้ยืนดูอย่างไม่รู้เบื่อ

ในมุมสูงนอกจากหลังคาสีดำเทาเรียงรายลดหลั่นกันแน่นขนัดแล้วยังเห็นสายน้ำคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามบ้านช่องห้องหับของผู้คนถนนทุกสายและตามตรอกซอกซอย ปูด้วยหินแกรนิตก้อนใหญ่บางช่วงเป็นเนิน

บางอารมณ์ดูแล้วเหมือนยุโรป นั่นอาจจะเป็นที่มาของฉายาที่ลี่เจียงถูกยัดเยียดให้เป็น “Venice of China” ชุมชนโบราณแห่งนี้มีวิถีชีวิตในการใช้น้ำไม่เหมือนกับที่อื่น ชาวเมืองจะผันน้ำที่เกิดจากภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) จัดสรรทางเดินน้ำเป็นหลายสาย ไหลลดเลี้ยวผ่านบ้านเรือนแทบทุกหลังด้วยคลองส่งน้ำที่อยู่ติดบ้านเรือน

นอกจากนี้ ยังมีอุโมงค์น้ำใต้บาทวิถีกำหนดให้สายน้ำตอนบนสำหรับใช้ดื่มกิน และด้วยเหตุที่มีคลองเยอะ เลยทำให้ที่นี่มีสะพานหินข้ามคลองเยอะตามไปด้วย เพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างสองฝั่งคลองเลี้ยวลดไปตามซอกตามมุมของเมืองเก่า

จึงพบว่าบรรยากาศอันแสนโรแมนติกในเมืองเก่าต้ายั่นนั้นซุกซ่อนไว้ตั้งแต่หลังคายันหินปูพื้นอารมณ์โรแมนซ์อาจจะกำลังกรุ่นได้ที่ แต่อย่าลืมไปสำรวจลี่เจียงในมุมอื่นด้วยอย่างน้อยก็ที่สระน้ำมังกรดำ (Black Dragon Pool) ที่อยู่ห่างจากเมืองเก่าไปราวกิโลฯ เศษ

น้ำใสๆ ในสระน้ำมังกรดำอาจจะเป็นจุดขายยิ่งในวันที่มียอดเขาหิมะมังกรหยกทอดเงาลงน้ำ ยิ่งเป็นฉากและชอตแห่งความทรงจำ แต่ภายในสวนยังมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานเคล้าวัฒนธรรมกันระหว่างชาวฮั่น ทิเบต และนาซีอย่างกลมกลืน

KUNMING

คุนหมิงคือเมืองที่มีดอกไม้บานสะพรั่งได้ทุกฤดูและเป็นเมืองที่มีดอกไม้ผลิบานอยู่ทั่วเมืองจนถูกเรียกว่าเป็น สปริง ซิตี้ (Spring City) อีกเหตุผลน่าจะมาจากที่นี่มีอากาศเย็นสบายเหมือนกับว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี

อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีราว 16 องศา หนาวสุดก็แค่ประมาณ 8 องศา ร้อนสุดไม่เกิน 25 องศา อากาศแบบนี้เลยทำให้มีดอกไม้บานสะพรั่งได้ทุกฤดู จนได้รับฉายาว่า Flower Capital อีกฉายาหนึ่ง

คุนหมิงไม่ได้เป็นเมืองใหญ่และเมืองใหม่แต่อย่างใด หากแต่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของเมืองจีนในอดีต

ดินแดนแถบนี้เป็นเขตเชื่อมต่อทางการค้าระหว่างมณฑลเสฉวน ทิเบต พม่า และอินเดีย บางครั้งจึงมีคนเรียกดินแดนแถบนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม

แม้ว่าพื้นที่ของคุนหมิงจะมีการตั้งรกรากและผ่านประวัติศาสตร์มานับ 2,000 ปี แต่คุนหมิงวันนี้ก็เปลี่ยนไป ดูทันสมัย โฉบเฉี่ยวและเป็นเมืองขนาดใหญ่ เรียกว่าทั้งรูปโฉมและขนาด สะท้อนความเป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนานอย่างเต็มตัวอาคารสูงใหญ่ผุดขึ้นมาก ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแข่งกันแจ้งเกิด

ขณะที่ร้านโชห่วย ร้านซ่อมจักรยาน ร้านตัดผมคุณผู้ชาย ไปยันร้านขายบะหมี่ ยังฝังตัวอยู่บนถนนสายต่างๆ ของเมืองใหญ่แห่งนี้อาจไม่ใช่เมืองสวยที่สุดของจีน แต่ค่อยๆ ละเลียดเล็มวิวไปให้ทั่วคุนหมิง แล้วคุณจะแอบเห็นมุมงามที่คุนหมิงซ่อนไว้นี่คือ 3 เมืองแห่งมณฑลยูนนานที่หากใครมีโอกาสไปจีนต้องแวะไปสำรวจกัน แล้วจะรู้ว่าแค่ยูนนานมณฑลเดียวก็ทำให้รู้เลยว่า จีนช่างไม่ธรรมดาเอาซะเลย

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0