Ecuador Highlands – ดินแดนเทือกเขาแห่งเอกวาดอร์

เรื่องและภาพโดย…เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง

เอกวาดอร์ (Ecuador) อาจเป็นชื่อประเทศที่ไม่คุ้นหูสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยบางคนอาจจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าหมู่เกาะกาลาปากอสที่โด่งดัง เป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้ด้วย มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปเยือนหมู่เกาะกาลาปากอส แต่มองข้ามสถานที่อื่นๆ บนผืนแผ่นดินใหญ่ (Mainland)

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเอกวาดอร์เป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย โดยเฉพาะในเขตภูเขาสูง (Highlands) นอกจากเมืองหลวงเก่าแก่ที่ทรงคุณค่าอย่างกีโต (Quito) แล้ว พื้นที่แถบนี้ยังเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย เพราะมีทั้งภูเขาไฟ ทะเลสาบสวยๆ น้ำพุร้อน และป่าดิบฝน

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงกรุงกีโตหลายวัน ช่วงนั้นทุกคนอยู่ในโหมดเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อาจเป็นเพราะการเดินทางคนเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย จึงหลบหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ไปใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ รายล้อมด้วยธรรมชาติบนดินแดนเทือกเขาแทนหากเดินทางมาเยือนเอกวาดอร์ แล้วไม่ไปชมตลาดโอตาวาโล่ (Otavalo) อาจจะเรียกว่ามาไม่ถึง

เพราะที่นี่เป็นตลาดสินค้าพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ เมืองนี้มีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น พวกเขายังคงขนบวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้

ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายด้วยชุดสีสันฉูดฉาดสดใส การพูดคุยกันด้วยภาษากิชัว (Quichua) และการผลิตสินค้าพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์สวยงามมาขายให้กับนักท่องเที่ยว

ฉันชอบสินค้าแนวนี้อยู่แล้ว เดินชมตลาดไปต้องห้ามใจตัวเองเพราะพื้นที่ในกระเป๋ามีจำกัด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะได้ของเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือมาด้วย

โดยเฉพาะเสื้อกันหนาวที่ทำจากขนลามะลวดลายน่ารักและให้ความอบอุ่นดีเหลือเกิน

เวลาเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองฉันชอบไปเดินชมตลาดท้องถิ่น

เพราะเป็นสถานที่ที่เราจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของสถานที่นั้นได้อย่างแท้จริง

ที่เมืองปูจิลี (Pujilí) มีตลาดพื้นเมืองทุกวันอาทิตย์

ที่ชาวบ้านและจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะนำสินค้าประเภทอาหารและสินค้าทางการเกษตร พืชผัก ผลไม้ มาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันที่นี่แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย

หลังจากเที่ยวตลาด ฉันได้ออกเดินทางต่อไป ยังอีกหนึ่งที่หมายที่สายผจญภัยต้องไม่พลาด นั่นคือ ภูเขาไฟกีโลเตา (Quilotoa)

ความมหัศจรรย์จากธรรมชาติของที่นี่คือ “ทะเลสาบบนปล่องภูเขาไฟ” หรือที่เรียกว่า Crater ที่สวยงามติดอันดับต้นๆ ของโลก

น้ำในทะเลสาบสีเขียวมรกตงดงามยิ่งกว่าภาพถ่ายที่เคยเห็นมา กล่าวกันว่าทะเลสาบนี้เกิดจากการที่ลาวาปะทุทำให้เกิดเป็นแอ่ง และในภายหลังเมื่อฝนตกลงมาทำให้เกิดเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ความตั้งใจแรกของฉันคือการเดินเทรกกิ้งไปรอบๆ ตามริมขอบภูเขาไฟ (Quilotoa loop) ที่อาจใช้ เวลา 2-3 วัน ตอนนั้นฉันเริ่มมีอาการแพ้ความสูง (Altitude Sickness) เพราะร่างกายยังปรับตัวได้ไม่ดีกับพื้นที่ความสูงเกือบ 4,000 เมตรเหนือจากระดับน้ำทะเล หากหักโหมร่างกายอาจจะทรุดได้

ฉันจึงเปลี่ยนใจเป็นการเดินไต่เขาลงไปชมทะเลสาบในปล่องภูเขาไฟแบบใกล้ๆ แทน ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงในการเดินลงและเดินขึ้น ที่นี่มีบริการนั่งบนหลังม้าหรือลาด้วย โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่ค่อยชอบสนับสนุนการท่องเที่ยวแนวนี้เท่าใดนัก แม้ในอีกมุมหนึ่งคือ การเพิ่มรายได้ให้กับคนท้องถิ่น

แต่สำหรับฉันการใช้แรงงานสัตว์มากเกินไปนั้นไม่ถูกต้องนักและคิดว่าคนที่อยากสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิดควรจะลงมือไปสัมผัสมันด้วยตัวเอง ซึ่งทางเดินลงเขานั้นเป็นทางแคบๆ เมื่อมีม้าวิ่งสวนไปมากับคนที่เดินขึ้นลงก็ไม่ปลอดภัยนัก แถมยังมีฝุ่นจากดินภูเขาไฟคละคลุ้งไปหมด

ฉันและเพื่อนใหม่ร่วมเดินเขาด้วยกันต่างพากันหัวเสียกับการจัดระบบการท่องเที่ยวของที่นี่ เพราะพื้นที่ตามธรรมชาตินั้นสวยงามมากๆ แต่มนุษย์เข้าไปจัดการวุ่นวายจนเสียความสมดุล เราใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆ ก็ไปถึงทะเลสาบ

ที่นี่มีบริการเช่าเรือคายัคให้พายในทะเลสาบด้วย ฉันเลือกเดินเล่นบริเวณรอบๆ แทน เพื่อเก็บแรงไว้สำหรับตอนเดินขึ้นเขา มาถึงตรงนี้ฉันรู้สึกว่าทะเลสาบเดียวกัน แต่ไม่สวยงามเท่าตอนมองลงมาจากมุมสูง ของบางอย่างเมื่อมองจากระยะห่างๆ นั้นย่อมสวยงามกว่าการได้ชมมันใกล้ๆ

ขากลับ ฉันและเพื่อนร่วมเดินเขา 2-3 คน เลือกเดินขึ้นตามทางลัดเล็กๆ ที่สูงชันกว่ามาก แต่หลีกเลี่ยงการแชร์เส้นทางกับบรรดานักท่องเที่ยวบนหลังม้า แม้จะเหนื่อย แต่เราได้เพิ่มความรื่นรมย์ในการหันกลับไปมองวิวสวยๆ อย่างสงบไม่มีฝุ่นมาบดบัง และฉันก็แอบหยุดบ่อยเสียด้วย แกล้งหันไปถ่ายรูปเวลาที่เหนื่อยขยับขาต่อไปไม่ไหว เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวกับระดับความสูง

ฉันเริ่มคิดการใหญ่ไปเดินเขาที่ภูเขาไฟโคโตปักซี (Cotopaxi) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังบนเทือกเขาแอนดีส ภูเขาไฟโคโตปักซีเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่อยู่สูงที่สุดในโลก มีความสูงกว่า 5,896 เมตร ปากกรวยมีรูปร่างสมมาตรทุกด้าน บนยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดปี และระเบิดครั้งล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 1877

ซึ่งการปีนยอดภูเขาไฟต้องมีไกด์มืออาชีพ และเป็นนักปีนเขามืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ใกล้เคียงการปีนยอดเขาเอเวอเรสต์เลยทีเดียว

สำหรับนักเดินเขาสมัครเล่นอย่างเรา สามารถเดินจากลานจอดรถที่มีความสูงประมาณ 3,500 เมตร ไปยังกระท่อมพักชื่อว่า José Rivas refuge เป็นเหมือนเบสแคมป์สำหรับนักปีนเขาก่อนขึ้นไปสู่ ยอดที่ตั้งอยู่ระดับความสูงประมาณ 4,864 เมตร

ระหว่างที่นั่งรถมา เราจะได้เห็นวิวภูเขาไฟที่สวยงามเกือบตลอดเส้นทาง ใจฉันเต้นแบบเป็นสุขกับภาพตรงหน้า มันคือความสุขที่เกิดจากความตื่นเต้นเพราะยังไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่บ้าง แต่เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณอุทยานแห่งชาติโคโตปักซี

เมฆก้อนหนาครึ้มก็เริ่มเคลื่อนตัวแทนที่ฟ้าสีสดใสจนแทบมองไม่เห็นยอดเขาอีกต่อไปแต่ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้วจะให้หันหลังกลับก็คงไม่ใช่ ฉันค่อยๆ ก้าวเท้าเดินตามไกด์ท้องถิ่นไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศที่นี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย เดี๋ยวฝน เดี๋ยวแดด เดี๋ยวลมแรง และพายุหิมะก็มา

หันไปมองรอบๆ ตัว แต่ละคนต่างกำลังต่อสู้กับความปวดร้าวของกล้ามเนื้อขา และการหอบ หายใจที่ทวีคูณขึ้นจากสภาพอากาศเหน็บหนาวและอากาศเบาบางที่ระดับความสูงเกิน 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

เมื่อขึ้นไปถึงจุดหมาย หมอกขาวปกคลุมจนมองไม่เห็นวิวเลย ฉันรีบเข้าไปหลบหนาวในกระท่อม สั่งช็อกโกแลตร้อนมาดื่มเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย

ฉันชอบบรรยากาศที่นี่เหลือเกิน มีภาพถ่ายในวันที่ท้องฟ้าสดใสและลายเซ็นของนักปีนเขาจากหลายประเทศทั่วทุกมุมโลกที่ได้มาพิชิตยอดเขานี้ได้สำเร็จ ฉันหันไปแซวตัวเองกับไกด์ว่า ฉันมาถูกที่แต่ผิดเวลาจริงๆ ไกด์ปลอบใจว่า อย่างน้อยฉันก็เป็นผู้หญิงไทยคนแรกที่พิชิตเส้นทางนี้ร่วมกับเขา หลังจากเป็นไกด์ที่นี่มาเกือบ 20 ปี

ชีวิตก็แบบนี้ ยินดีกับความสำเร็จได้ไม่นาน มีขึ้นก็ต้องมีลง ฉันไม่ชอบเดินลง เพราะมันปวดเข่าปวดขากว่าตอนขึ้น ยิ่งเดินลงภูเขาไฟกรวดหินลาวาลื่นไถลได้ง่าย ทรงตัวยาก ข้อดีของการเดินลง คือมันไม่เหนื่อยมากและใช้เวลาน้อยกว่าการเดินขึ้นเท่านั้นเอง

สำหรับฉันแล้วการเดินเขาแต่ละครั้ง เปรียบคล้ายๆ กับการเดินทางของชีวิต ภูเขาแต่ละลูกสอนบทเรียนให้เราต่างกันไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันผิดหวังกับการเดินเขา แต่ก็สอนให้เราเข้าใจและยอมรับกับความเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาว่า

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นคือเรื่องตามธรรมชาติ เราต้องมีสติและมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ก่อนเดินทางกลับ ฉันให้รางวัลตัวเองด้วยการไปพักผ่อนหย่อนใจและคลายกล้ามเนื้อที่ บ่อน้ำพุร้อนตามธรรมชาติในเมืองปาปายักต้า (Termas de Papallacta) ที่นี่มีทั้งบ่อรวม บ่อสปา และบ่อส่วนตัวสำหรับผู้ที่มาพักที่โรงแรม ฉันใช้เวลาที่นี่ 3 วัน เป็นการปิดทริปการเดินทางที่ยาวนานและมหัศจรรย์ทริปหนึ่งในชีวิตได้ลงตัวที่สุด

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0