Favorite Route : DANANG – HUE-HOI AN (ดานัง เว้ ฮอยอัน)
Story by Editorial Staff
หากจะให้ปักหมุดเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม สำหรับเวียดนามกลางแล้วละก็ ชื่อ ดานัง (Danang), เว้ (Hue), ฮอยอัน (Hoi An) คงไล่บี้กันมาแบบสูสีเป็นแน่แท้ แต่เราไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะไปเมืองไหนเลยเพราะเราสามารถเดินทางไปทั้ง 3 เมืองได้ในคราเดียวกันในวันหยุดพักร้อนสุดพิเศษของคุณเ ริ่มต้นจากเข้าเว็บไซต์ของสายการบิน ไทยเวียตเจ็ท
จองตั๋วเครื่องบินเพื่อบินตรงจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ สู่ท่าอากาศยานนานาชาติ ดานังประเทศเวียดนาม ด้วยเที่ยวบินที่มากถึง 3 เที่ยวบินต่อวันครอบคลุมทุกช่วงเวลา เช้า สาย บ่าย ตามใจที่คุณต้องการใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาที คุณก็มายืนกินลม ชมวิวอยู่ที่ดานังได้แล้ว
ฮอยอัน ผมรักเธอ
ครั้งที่แล้วผมเคยแวะเที่ยวดานังไปแล้ว ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้หลังจากลงเครื่อง ออกจากสนามบินผมมุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองฮอยอัน (Hoi An) ในทันที เราสามารถเรียกรถสาธารณะทั้งแท็กซี่และแกร็บจากที่สนามบินได้เลย ใช้เวลาอีกชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงที่พัก งัดเอาชุดประจำชาติเวียดนามหรือชุดอ่าวหญ่าย (Ao dai) ขึ้นมาเลย
จุดถ่ายรูปแรกของเราอยู่เมืองโบราณฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) ภาพของโคมไฟที่แขวนประดับตามตึกสีมัสตาร์ดสไตล์ชิโนโปรตุกีสผสมผสานโคโลเนียลกับยานพาหนะ ทั้งจักรยาน สามล้อและเรือแจว พร้อมทั้งกลิ่นกาแฟหอมกร่นุ
จากคาเฟ่เล็กๆ มุมหนึ่งของเมืองเป็นเสมือนสัญญาณต้อนรับที่ดีจากเมืองโบราณแห่งนี้ ฮอยอันหรือโห่ยอานเป็นเมืองริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ที่มีขนาดเล็ก แต่ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 ที่นี่กลับเป็นเมืองท่าที่คับคั่งไปด้วยผู้คนหลากหลายชนชาติทั้ง จีน ญี่ปุ่น ดัตช์ อินเดีย ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายและพัฒนาเมือง หลอมรวมเป็นวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวจนทำให้หลายคนตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบสำหรับที่นี่
ในช่วงกลางวันจะเห็นผู้คนออกมาเดินชมเมือง แวะจิบกาแฟ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่แทรกตัวตลอดเส้นทางของเมือง ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน หรือหมู่บ้านอาณานิคมที่อยู่ติดกับศาลเจ้าของชาวจีน ส่วนกลางคืนเราจะเห็นผู้คนกับกระทงเทียน เรือนำเที่ยวและแสงสีจากโคมไฟกระดาษที่ถูกจุดยามตะวันลาลับขอบฟ้า
ความสวยงามเช่นนี้ทำให้เมื่อปี 2542 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลกสำหรับการท่องเที่ยวเมืองโบราณแห่งนี้มีการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อบำรุงเมืองอยู่ที่คนละ 120,000 VND สามารถเข้าชมสถานที่ประวัติศาสตร์ได้ 5 แห่ง
หนึ่งในกิจกรรมที่หลายคนชอบทำเวลามาที่นี่ คือ การเยี่ยมชมภายในบ้านโบราณของย่านเมืองเก่า จากบัตรที่คุณซื้อมาจะเลือกเข้าชมได้ 1 หลัง นอกนั้นต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งโดยมากจะเลือกบ้านเลขที่ 101 บ้านประจำตระกูล Tan Ky เพราะค่อนข้างโดดเด่นเรื่องสวยงาม บ้านไม้ทั้งหลัง ไม่มีหน้าต่าง เหนือบานประตูประดับเครื่องหมายสัญลักษณ์หยิน-หยาง ภายในบ้านมีการจัดแบ่งพื้นที่ห้องเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดสมัยก่อน ห้องรับแขก และห้องครัวภายในมีบ่อน้ำตั้งอยู่กลางบ้านเหมือนบ้านชาวจีน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แต่นอกจากนี้ยังมีเช่น บ้านเลขที่ 77 ที่มีอายุกว่า 80 ปี หรือ บ้านเลขที่ 22 บ้านเก่า 2 ชั้น ของชาวจีนที่เข้ามาติดต่อเพื่อซื้อขายอบเชย สร้างมาเกือบ 90 ปีแล้ว ภายในแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ บ้านไม้ และบ้านปูนเก่าสร้างอย่างประณีต เป็นครอบครัวใหญ่ที่เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้
สถานที่สำคัญอื่น เช่น สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) หนึ่งในสถาปัตยกรรมแห่งศตวรรษที่ 17 เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและมิตรภาพ เดิมสร้างขึ้นโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองฮอยอันเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นได้ทำการค้ากับพ่อค้าชาวจีนที่อาศัยอยู่บนฝั่งทิศตะวันออกของคลองได้ ปัจจุบันสะพานแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและจุดถ่ายรูปที่สำคัญสะพานทอดข้ามคลองเพื่อกั้นแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่น มีรูปทรงโค้ง หลังคามุงกระเบื้องดินเผาโบราณสีเหลืองและเขียว ขณะเดินเข้าและออกจากสะพานปลายสะพานด้านหนึ่งมีรูปปั้นสุนัข ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งเป็นรูปปั้นลิงแฝงความหมายว่าสะพานนี้เริ่มสร้างในปีวอก และสร้างเสร็จในปีจอนั่นเอง ป้ายไม้บริเวณทางเข้าสะพานถูกนำมาแขวนไว้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1700 แต่เปลี่ยนชื่อสะพานจาก “สะพานญี่ปุ่น”เป็น “สะพานแด่นักเดินทางจากแดนไกล” การข้ามสะพานจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
หรือจะเป็นสมาคมฟุกเกี๋ยน (Phuc Kien Assembly Hall) สมาคมเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นโดยผู้ที่อพยพมาจากเมืองฟุกเกี๋ยนที่มีแซ่เดียวกัน เพื่อรำลึกถึงถิ่นกำเนิดที่จากมา บูชาบรรพบุรุษ
ตลอดจนใช้เป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ของคนหลายรุ่นภายในสมาคมมี 3 อาคารหลัก คือ ศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ศาลบรรพบุรุษชาวฟุกเกี๋ยน และศาลเจ้าแม่ทับทิม(เทียนเห่า) ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน เราจึงเห็นการใช้สีแดงศาลเจ้าและสีเขียวเข้มเป็นหลักภายในค่อนข้างกว้างและดูหรูหรา โดดเด่นด้วยงานไม้แกะสลักที่สวยงาม
สำหรับคนที่มีเวลา ห่างจากเมืองฮอยอันไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 50กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หมีเซิน (My Son Sanctuary) โบราณสถานที่ตั้งอยู่บริเวณหุบเขาสูง โดยคำว่า หมีเซิน (My Son) มีความหมายว่า ภูเขาอันสวยงาม มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร หุบเขาแห่งนี้สร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู ประกอบด้วยศาสนสถานที่สร้างด้วยอิฐมากกว่า 70 แห่งนอกจากตัวปราสาทแล้วยังมีรูปปั้น วัด และถูกห้อมล้อมไปด้วย ป่าดงดิบ แต่ในช่วงสงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ใช้ปราสาทหมีเซินเป็นกองบัญชาการฝ่ายอเมริกันจึงได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดบริเวณนี้ โบราณสถานจำนวนมากจึงถูกสะพานญี่ปุ่นสมาคมฟุกเกี๋ยนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หมีเซินทำลายไป ทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพยี ง 22 หลัง ที่นี่จัดได้ว่าเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน มีอายุยาวนานกว่า900 ปี และได้รับประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2542
เมืองเว้ ไม่ว้าเหว่
จากฮอยอันไปเว้ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า สามารถเดินทางไปทั้งรถบัสหรือใช้บริการเหมารถเช่าหรือซื้อทัวร์กรุ๊ปไปเที่ยวสถานที่สำคัญในเว้ 1 วัน ราคาประมาณ 10-15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภูเขาไฮเวิน (Han Van) กั้นดานังและเว้ออกจากกัน พื้นที่ของเมืองเว้เป็นที่ราบสูงเต็มไปด้วยหินภูเขาไฟ หาดทราย เนินทรายและทะเลสาบ อากาศของเว้ค่อนข้างจะร้อน อุณหภูมิสูงสุดในหน้าร้อนเกือบ 40 องศาเซลเซียส และต่ำสุด 20องศาเซลเซียส แนะนำว่าซื้อทัวร์นั่งแอร์เย็นๆ เที่ยวตามโปรแกรมสักวัน แล้วไปพักเว้สักคืน เที่ยวเองในตัวเมืองจะเต็มอิ่มกว่า โดยมากสถานที่ต่างๆ ที่แวะของทัวร์แต่ละเจ้าก็จะคล้ายคลึงกัน โดยมากก็จะเป็นสุสานทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก (Tomb of Tu Duc)ได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่สวยที่สุดและนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมมากที่สุดในบรรดาสุสานราชวงศ์เหงียนทั้งหมดจักรพรรดิตือดึ๊กเป็นสมเด็จพระจักพรรดิของเวียดนามที่ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะนักปราชญ์ สุสานไม่ใหญ่มากนักแต่สร้างได้กลมกลืนกับธรรมชาติ มองผ่านๆ อาจคิดว่าเป็นพระราชวังหลวงจำลองขนาดเล็ก จุดเด่นน่าชมของสุสานแห่งนี้ คือตำหนักลูเคียม อาคารไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูเคียม อันรายล้อมด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั่ว อีกตำหนักคือ ตำหนักซุงเคียม มีบันไดทอดจากตัวตำหนักไปยังสุสานเลืองเคียม สถานที่เก็บรักษาเครื่องเรือน แจกันและหีบเครื่องประดับ สำหรับสสุ านฝังพระศพของพระเจ้าตอื ดึ๊กนนั้ อย่ดู า้ นในสุด ทั้งนี้เพื่อป้องกันโจรปล้นสุสาน ร่างจริงของพระองค์ พร้อมทรัพย์สมบัติมหาศาลนั้นจึงได้ถูกฝังไว้ในสถานที่ลับ ที่นี่เป็นเพียงสุสานจำลอง ล้อมไปด้วยความร่มรื่นของทิวสนต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปีแสดงถึงความเป็นอมตะขององค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียนต่อมา
อีกหนึ่งสถานที่ นั่นคือ สุสานจักรพรรดิมินห์มาง (Tomb of Minh Mang) ตั้งอยู่บริเวณปากน้ำตาตรัคและหูตรัคซึ่งเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำหอมมาบรรจบกัน บริเวณหมู่บ้านบานเวียด โดยสุสานแห่งนี้มีแผนผังแบบสมมาตร ตัวอาคารสร้างตามแนวแกนตรง ความโดดเด่นของสุสานแห่งนี้คือ รูปแกะสลักหินของบรรดาช้าง ม้า ทหาร และขุนนาง ที่ตั้งเรียงรายอยู่บริเวณลานกว้างของสุสาน ตามอิทธิพลของคติจากจีน ถัดไปจะเห็นศิลาจารึกที่เป็นแท่นบูชาดวงวิญญาณ บริเวณโดยรอบของพระตำหนักด้านในเป็นบึงน้ำและสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ว่ากันว่าไม่มีใครรู้ได้ว่าตำแหน่งของพระศพที่แท้จริงอยู่บริเวณไหนของเนินดินที่เป็นหลุมฝังพระศพ เพราะผ้ทู ี่ทำการฝังนั้นได้ฆ่าตัวตายตามพระองค์ไปด้วยเพื่อที่จะเป็นข้ารับใช้ในภพหน้าด้วย
อีกหนึ่งสุสานที่เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะสร้างแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกแบบจีนร่วมกับสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบกอทิก นั่นคือสุสานของพระเจ้าไคดิงห์ (Tomb of Khai Dinh)คุณจะเห็นทางเดินที่ตกแต่งเป็นบันไดมังกร สู่ลานกว้างที่มีรูปปั้นของช้าง ม้า ข้าราชการทหารและพลเรือนเป็นแบบจีน
แต่ภาพในพระราชวังเทียนดิงห์ ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีปูพื้นจิตรกรรมฝาผนังภาพมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ และภาพเฟรสโกอันเต็มไปด้วยสีสันที่ตกแต่งด้วยการฝังกระจกสีและกระเบื้องนับพันชิ้น โดยมีรูปปั้นสัมฤทธิ์ขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์ ซึ่งสร้างที่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2465 ตั้งอยู่
และที่พลาดไม่ได้คือ นครจักรพรรดิ หรือนครต้องห้าม (ImperialEnclosure / Forbidden Purple City) ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเว้เป็นการก่อสร้างตามความเชื่อของจีน ที่เห็นเด่นชัดเลยคือ ออกแบบกำแพงล้อมรอบถึง 3 ชั้นด้วยกัน
เมื่อเราผ่านประตูกำแพงชั้นนอกเข้าไปก็จะเห็นปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า ขวามือ แทนเทพ 5 องค์จาก 5 ธาตุได้แก่ โลหะน้ำ ไม้ ไฟและดิน อีก 4 องค์แทนฤดูกาล 4 ฤดูกาล
ลอดผ่านซุ้มประตูใหญ่ด้านนอกมาเป็นกำแพงชั้นกลาง จะเห็นสระบัว สวนดอกไม้
เมื่อเราผ่านประตูชั้นที่สองเข้าไปจะเห็นสะพานน้ำทอง ซึ่งเดิมอนุญาตให้เฉพาะเชื้อพระวงศ์ลำดับสูงหรือเอกอัครราชทูตจากต่างประเทศเท่านั้นที่จะเดินเข้าไปยังพระราชวังไทเฮา อันเป็นวังที่สำคัญที่สุดในนครจักรพรรดิได้
ภายในกำแพงมีวัดสำคัญคือ วัดเถเหมียว อาณาบริเวณโดยรอบค่อนข้างกว้างใหญ่ จะเดินให้ครบต้องใช้เวลาเป็นวัน และด้วยอากาศที่ร้อนของเว้ แนะนำให้เช่ารถไฟฟ้าขับพาไปยังจุดสำคัญๆ ดีกว่านี่เป็นหนึ่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของเมืองเว้
โบราณสถานอันงดงามและทรงคุณค่าควรแก่การรักษา จึงไม่แปลกที่เมืองเว้จะได้รับการยืนยันจากองค์การยูเนสโกประกาศให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2536 ให้เป็นมรดกโลก World Heritage 1 ใน 3 แห่งที่มีอยู่ในประเทศเวียดนามอีกด้วย
ปลายทางดานัง
แม้ว่าผมจะเคยมาดานังมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ดานังก็ยังคงมีเสน่ห์ที่น่าแวะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลายคนมาดานังคงไม่พลาดที่จะขึ้นไปสัมผัสหมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village) ที่ตั้งอยู่ด้านบนยอดเขาบานาฮิลส์ (Ba Na Hills)
และไปเดินชมสวนแห่งความรัก ถ่ายรูปกับสะพานลอยฟ้าสีทอง (Golden Bridge) ที่อยู่ในอุ้งมือขนาดใหญ่ ไฮไลต์เด่นของบานาฮิลส์ แต่สำหรับผมแล้วการได้นั่งกินลมชมวิว ที่หาดไชน่า (China Beach) ราวกับว่าเคยเป็นทหารอเมริกันมาพักผ่อน เหมือนในอดีตน่ารื่นรมย์เป็นที่สุด
จากนั้นก็ไปจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดฮาน (Han Market) ก่อนจะปิดท้ายที่บริเวณสะพานมังกร (Dragon Bridge) เพื่อชมมังกรพ่นไฟตอน 3 ทุ่ม (21.00 น.)
แค่นี้ก็มีความสุขแล้วเวียดนามตอนกลาง น่าจะเหมาะกับผู้คนที่ต้องการศึกษาวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และดื่มด่ำไปกับธรรมชาติอีกทั้งปัจจุบันการเดินทางมาดานังก็แสนง่าย สุดสัปดาห์นี้เก็บกระเป๋ามาท่องเที่ยวสถานที่สุดฮิตที่เวียดนามอย่างเช่น ดานัง เว้ ฮอยอัน กันดีกว่า
สายการบินไทยเวียตเจ็ทบินตรงทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน จากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ)สู่ดานัง
– เที่ยวไป ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 09.00 น. ถึงดานัง 10.40 น.หรือเวลา 10.50 น. ถึงดานัง 12.30 น. และเวลา 15.50 น. ถึงดานัง 17.30 น.
– เที่ยวกลับ ออกจากดานัง เวลา 11.15 น. ถึงกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) 12.55 น.หรือเวลา 13.15 น. ถึงกรุงเทพฯ 14.55 น. และเวลา 18.10 น. ถึงกรุงเทพฯ 19.50 น.สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ www.vietjetair.com