Copacabana..เมืองริมน้ำแสนรื่นรมย์

Story & Photo by กาญจนา หงษ์ทอง

ถ้าจะพูดถึง “โคปาคาบานา” ต้องบอกว่า ไม่ได้มีแค่ที่นครริโอเดอจาเนโร ในบราซิลเท่านั้น แต่ในประเทศโบลิเวียก็มีโคปาคาบานาด้วยเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ที่นี่คือเมืองไม่ใช่ชายหาด

Copacabana2

และเพราะบนรอยต่อระหว่างประเทศโบลิเวียกับเปรู มีทะเลสาบติติกากา เป็นฮ็อตสปอตในอเมริกาใต้ เมืองบนชายขอบของโบลิเวียที่ชื่อโคปาคาบานาจึงไม่เคยขาดแคลนนักเดินทาง

ใครไม่อัตคัดเวลาจนเกินไป มีเวลาว่างวันสองวันในโบลิเวียก็อยากจะพาตัวเองไปหาทะเลสาบติติกากาด้วยกันทั้งนั้น ฉันเป็นหนึ่งในนั้น ที่จริงมีเวลาว่างหลวมๆ เหลืออยู่วันเดียว ตอนแรกกลัวว่าอาจถูกโรคแพ้ความสูงโจมตีเลยเผื่อไว้สำหรับยามเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อแคล้วคลาดจากแอลติจูด ซิคเนส เลยมองหาที่เที่ยวนอกลาปาซ

Copacabana3

เป็นเพราะมาทะเลสาบติติกากาเมื่อหลายปีก่อน ได้แต่ป้วนเปี้ยนอยู่ฝั่งเปรู แต่ไม่ได้ข้ามมาฝั่งโบลิเวีย ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ฉันจะได้เห็นติติกากาในฝั่งโบลิเวียบ้าง

Copacabana4

จากเมืองหลวงอย่างลาปาซ มีรถบัสออกทุกวันๆละหลายรอบข้ามประเทศไปเปรู ถ้ารถบัสมีหลายแบบหลายราคาตั้งแต่ราคา 5-20 ดอลลาร์ก็อาจจะใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง  แต่ถ้าเช่าแท็กซี่ไปกลับก็อาจจะอยู่ราวๆ ไม่เกิน 100 ดอลลาร์ ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว

ระหว่างทางจากลาปาซไปโคปาคาบานา มีภาพน่าดูให้แวะดูไปตลอดทาง เพราะเราจะเห็นภาพของหญิงชาวอัยมาราสวมอาภรณ์สีฉูดฉาดเดินอยู่ริมทางมีให้ดูตลอดทาง

Copacabana9

ระหว่าทางผ่านตลาดหลายแห่ง ทำให้รู้เลยว่าตลาดของโบลิเวียนี่อุดมไปด้วยสีสัน ทั้งข้าวของและผู้คนสีสันฉูดฉาดและมีชีวิตชีวาไม่แพ้อินเดียเลย

เมื่อรถวิ่งมาถึงช่องแคบทิกุยน่าที่กว้างราวๆ 850 เมตร จุดนี้โชเฟอร์ทุกคันจะปล่อยให้ลงไปยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำห้องท่า จากนั้นแกบอกให้ลงจากรถได้ เพราะรถจะลงข้ามแพขนานยนต์ ข้ามช่องแคบทิกุยน่าเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือเมืองซานเปโดรเดทิกุยน่า ส่วนอีกฝั่งคือเมืองพาโบลเดทิกุยน่า

Copacabana11

ละแวกนี้เป็นทะเลสาบยิบย่อยที่เชื่อมไปหาทะเลสาบแม่อย่างติติกากา นั่งดื่มด่ำบรรยากาศได้ไม่เท่าไหร่ แพก็แตะฝั่งเสียแล้ว โชเฟอร์บอกจากนี้ไปอีกราวๆ ชั่วโมงเศษก็ถึงโคปาคาบานาแล้ว จะกี่ชั่วโมงก็ช่างเถอะ เพราะยิ่งใกล้โคปาคาบานาวิวสองข้างทางยิ่งสวย พอรถเข้าถึงเมืองโคปาคาบานา ยิ่งรู้เลยว่าที่นี่เป็นเมืองเล็กๆที่แอบคึกคักเกินความคาดหมาย

Copacabana8

ในเมืองที่พกพาส่วนสูงเกิน 3,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล การเดินเหินที่นี่ยังคงเคลื่อนไปอย่างช้าๆ มาถึงเมืองนี้มีทัวร์ล่องเรือออกไปดูเกาะแก่งน้อยใหญ่ทั้งเกาะแห่งดวงอาทิตย์และเกาะแห่งดวงจันทร์ที่อยู่กลางทะเลสาบติติกากา หรือใครมีเวลาเหลือเฟือจะไปค้างคืนบนเกาะก็ทำได้ แต่บางคนแค่นั่งชิลล์บนชายฝั่ง จิบโคคาทีแล้วทอดสายตามองผืนน้ำสีครามก็สุขใจแล้ว หรือใครจะเดินเล่นในตัวเมืองก็สนุก

Copacabana5

ส่วนฉัน หลังจากโชเฟอร์หย่อนลงตรงจัตุรัสกลางเมือง ก็เดินพุ่งไปหามหาวิหารแม่พระแห่งโคปาคาบานา (Basilica of Our Lady of Copacabana) ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 รอบนอกของศาสถานแห่งนี้มีแต่ชาวพื้นเมืองเดินกันให้ขวักไขว่ ใต้กำแพงสีขาวสไตล์มัวร์ของวิหาร น่าดูไปหมด ไม่ว่าจะเป็นยอดโดม การวางเสา โดม ไปจนถึงกระเบื้องเซรามิกที่ตกแต่งวิหาร

Copacabana13

พอเดินเข้าสู่ชายคาวิหารก็จะพบว่าด้านในนั้นช่างงดงามน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก การแกะสลักทำได้อย่างประณีตละเอียดลออ ทั้งรูปเคารพของนักบุญและแท่นบูชา

พอเดินไปด้านหลังแท่นบูชา มีรูปเคารพนักบุญองค์อุปถัมภ์ประจำเมืองตั้งอยู่เป็นสง่า นั่นคือแม่พระแห่งกันเดลาเรีย หรือในอีกชื่อคือแม่พระแห่งโคปาคาบานา บรรดานักแสวงบุญเดินทางมาจากแดนไกลเพื่อสักการะรูปเคารพนี้

Copacabana6

ชาวโบลิเวียมักนิยมเดินทางมาสักการะแม่พระแห่งกันเดลาเรีย หรือแม่พระแห่งโคปาคาบานา ที่ว่ากันว่าจะนำความโชคดีมาให้ นี่ขนาดมาไม่ตรงช่วงเทศกาลงานบุญนะคนยังเยอะเลย นี่ถ้ามาช่วงที่มีงานอย่างเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน และสิงหาคม เขาว่าคนจะแน่นจากจัตุรัสล้นเข้ามาถึงในชายคามหาวิหาร มีทั้งการเต้นระบำพื้นเมือง และอาหารการกินมาวางขาย แต่ที่แน่ๆ จะเนืองแน่นไปด้วยผู้แสวงบุญนับหมื่นคน

Copacabana14

ด้านในของมหาวิหารยังมีพิพิธภัณฑ์ที่มีภาพจิตรกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา ภาพจิตรกรรมและศิลปะที่น่าสนใจอีกหลายชิ้น แต่ที่ได้รับความสนใจจากนักเดินทางคือคอเลคชั่นนกกระเรียนโอริกามิที่หญิงชาวญี่ปุ่นนำมาสักการะ

ออกจากวิหารประจำเมือง เดินดุ่มไปที่เนินเขาเซอร์โร คัลบาริโอ สำหรับชาวเมืองพวกเขามักเดินขึ้นเขาเพื่อขึ้นไปขอพรและขอขมาจากพระเจ้าของพวกเขา แต่สำหรับนักท่องเที่ยว ข้อมูลที่รู้คือ บนเนินเขาแห่งนี้มีวิวพานอรามอันงดงามรออยู่ที่ปลายทาง เพราะเมื่อขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของเนินเขา โชเฟอร์บอกจะได้เห็นเวิ้งอ่าว ริ้วคลื่น และทะเลสาบติติกากาได้อย่างเต็มตา หากมองอีกด้านหนึ่งก็จะเห็นอาคารบ้านเรือนของชาวโคปาคาบานาที่เลื้อยไล่ไปบนเนินเขาหลายลูก

Copacabana15

พอรู้ข้อมูลเท่านี้ ฉันก็เดินไต่เนินเขาอันขรุขระไปด้วยหิน ที่ระหว่างทางมีทั้งคาเฟ่ให้แวะนั่งจิบชากาแฟ หรือใครจะแวะช้อปของที่ระลึกแก้เหนื่อย ก็มีให้แวะช้อปกันไปตลอดทาง

ระหว่างทางยังผ่านกางเขนหลายอัน เพราะทางเดินไต่เขานี้เขาเรียกว่าเส้นทางกางเขน สำหรับชาวเมืองแล้วการย่างสองเท้าขึ้นไปจึงเป็นการอุทิศแด่การทรมานของพระเยซู

Copacabana10

และที่ว่าเดินขึ้นมาบนยอดเขา ก็ไม่ได้เดินมาจากตีนเขาเหมือนฉัน แต่บางคนเดินเท้ามาจากลาปาซ ร้อยกว่ากิโล และบางกลุ่มก็เดินจัดขบวนจุดเทียนเดินมาจากวิหารแห่งโคปาคาบานา ยิ่งถ้าเป็นเทศกาลใหญ่ในเดือน ส.ค. จะเห็นพิธีกรรมแปลกตาของชาวเมืองเช่นเผาตัวอ่อนลามะ หรือไม่ก็เอาเบียร์สาดไปตามเนินเขา นี่คือเมืองโคปาคาบานา เมืองใกล้น้ำ ทั้งเบาสบายทั้งเบิกบาน

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0