สัมผัสฤดูร้อน แสนสดชื่น ชูโงะกุ ตอน 1 -ยะมะงุชิ (Yamaguchi)

Story & Photo by Orawan

แสงสีทองทาทับไปทั้งขอบฟ้า ผืนน้ำและแผ่นดินทั่วทั้งบริเวณศาลเจ้าโมะโตะโนะสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari) แสงเรืองรองเคลือบฉาบผิวสีแดงของเสาโทริอิ (Torii) ตลอด 123 ต้น ที่ทอดยาวจากเนินเขาสู่พื้นราบที่แนบชิดท้องทะเลเป็นความสวยงามที่จับใจอย่างยิ่ง สร้างความอบอุ่น และอ่อนโยน แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลังงานส่งผ่านให้กับผู้คนที่ได้พบเห็นและสัมผัส เป็นการปิดท้ายของวันเดินทางวันแรกในภูมิภาคชูโงะกุ (Chugoku) ที่ทำให้คนเดินทางเช่นฉันรู้สึกดีเป็นอย่างมาก

ย้อนไปเมื่อตอนเช้าของวันนี้ ล้อเครื่องบินแตะสนามบินฟุกุโอกะอย่างสวยงาม พร้อมๆกับสีของเมฆบนท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนจากขาวเป็นเทาอมดำ และติดตามฉันไปตลอดทั้งการเดินทาง เริ่มตั้งแต่ฉันลงรถไฟ JR ที่สถานีชิโมะโนะเซะกิ (Shimonoseki station) จังหวัดยะมะงุชิ (Yamaguchi)

ในใจภาวนาขอให้ฉันได้ถึงตลาดปลาคะระโตะ (Karato Market) ได้ลองลิ้มชิมรสปลาปักเป้า ของขึ้นชื่อของเมืองชิโมะโนะเซะกิ เมืองติดทะเลทางตอนใต้สุดของเกาะฮอนชูแห่งนี้ก่อนเถอะ ฝนอย่าเพิ่งโปรยปรายเลย

ที่ตลาดปลาแห่งนี้นอกจากจะมีขนาดใหญ่ เปิดขายพืชผัก ผลไม้ และเนื้อต่างๆ ทั่วไปแล้ว เอกลักษณ์เด่นของที่นี่คือ มีการขายซูซิมากมายหลายหน้า

สะดุดตาฉันที่สุดคือเป็นหน้าปลาไหลที่ปลาไหลชิ้นใหญ่จนกลบข้าวมิด ต่อด้วยซูซิหน้าปลาปักเป้าสัญลักษณ์ของเมืองนี้ เนื้อปลาปักเป้ามีเนื้อสีขาว เวลาแล่แล้วจะบางใส สวย สนนราคาซูซิต่อชิ้น (ต่อคำ) ไม่แพงมาก


ทำให้ผู้ร่วมเดินทางหลายท่านไม่ลังเลที่จะคีบใส่จานกันอย่างมันมือ ปิดท้ายกันด้วยเทมปุระกุ้งตัวโตกันคนละตัวสองตัว อร่อยจนอยากจะวนไปซื้ออีกรอบทีเดียวแนะนำให้มาแต่เช้าหน่อยอาหารจะสดและหลากหลายละลานตากว่า

อิ่มแล้วเดินต่อไปอีกนิดใกล้ๆ ตลาดปลาจะมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Shimonoseki Marine Science Museum – Kaikyokan) ตั้งอยู่ หากเทียบกับค่าเข้าชม 2,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 900 เยน สำหรับเด็ก สำหรับฉันถือว่าคุ้มมาก

ตลอดพื้นที่พิพิธภัณฑ์ทั้ง 4 ชั้น คุณจะได้เห็นเหล่าบรรดาปลาใหญ่ น้อย ทั้งปลาปักเป้า พระเอกของเมืองในสายพันธุ์ต่างๆ โลมาแม่ลูกถึง 3 คู่ รวมไปถึง เหล่าแมวน้ำที่ร่าเริงว่ายเวียนไปมาจนเด็กจ้องมองตาไม่กะพริบ

แต่ที่เรียกรอยยิ้มจากผู้ร่วมทางคงเป็นเหล่าบรรดานกเพนกวินที่ยืนนิ่งงันราวกับเป็นตุ๊กตา
แต่พอได้ลงน้ำกลับว่ายปราดเปรียวทีเดียว

ส่วนที่ฉันต้องเงยหน้า (เกือบ) คอตั้งบ่าอ้าปากค้าง ยกให้โครงกระดูกปลาวาฬอายุกว่า 100 ปี ที่ตั้งตระหง่านอยู่โถงทางเดิน

นอกจากปลาปักเป้าที่ขึ้นชื่อแล้วจังหวัดยะมะงุชิ ยังมีธรรมชาติที่สวยงามอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมืองนะกะโตะ (Nagato) ก็มีทะเลสวย ที่เป็นฉากหลังของศาลเจ้าโมะโตะโนะสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari) ก็ส่งประกายระยิบระยับจับตา

หลายคนเดินทางมาที่นี่เพื่อขอพรในเรื่องคู่ครองและมีบุตรส่วนชาวบ้านที่นี่ขอพรเพื่อให้ได้จับปลาได้ดี ที่แปลกตาคงเป็นกล่องทำบุญ ของศาลเจ้าที่ตั้งอยู่กลางระหว่างยอดเสาโทริอิ หากอยากจะขอพร ก็ต้องโยนเหรียญให้เข้ากล่องที่อยู่ด้านบนเหนือศรีษะ

พรที่ขอจึงจะสัมฤทธิ์ผล แต่ถ้าโยนยังไงก็ไม่เข้าสักที จะเอาใส่กล่องด้านล่างที่มีรูปปั้นเทพเจ้าจิ้งจอกเฝ้าอยู่ก็ไม่ว่ากัน

หรือจะออกไปนั่งเรือชมโขดหินและสัมผัสธรรมชาติที่เกาะโอมิหรือโอมิจิมะ (Omijima) ก็ย่อมได้

ท้องทะเลกว้าง โขดหินที่เรียกได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างน่าทึ่งผ่านสายตาเราไปทีละจุด ทีละจุดก่อนจะวนกลับมาที่ฝั่ง เป็นความสวยงามที่เงียบสงบสมกับได้ฉายาว่าเป็น “แอลป์ทางทะเล” จริงๆ เสียอย่างเดียวฟ้าหม่นไปหน่อย

ที่ใจกลางของจังหวัดยะมะงุชิ อย่างที่เมืองมิเนะ (Mine) ก็มีธรรมชาติสวยงามจนคุณต้องร้องว้าว ลองนึกถึงคุณกำลังยืนอยู่บนอาคารที่ตั้งอยู่ท่ามกลางที่ราบสูงที่เกิดจากการก่อและดันตัวของหินปูน แล้วมองไป รอบด้านพบกับทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างไกลสุดสายตาทั้ง 360 องศา

ยิ่งเวลาที่ฝนตกปรอยๆ จะเห็นกลุ่มหมอกลอยละล่องอยู่เหนือพื้นหญ้าสีเขียว เป็น ความงามที่ชื่นตาและชุ่มหัวใจอย่างบอกไม่ถูก บริเวณนี้เรียกว่าอุทยานแห่งชาติอะกิโยชิได (Akiyoshidai) ทางเจ้าหน้าที่แจ้งกับเราว่าหากเดินทาง มาตอนฤดูใบไม้ร่วง ทั่วทั้งท้องทุ่งจะกลายเป็นสีเหลืองทอง ก่อนจะกลายเป็นสีขาวปกคลุมทั่วทั้งบริเวณยามที่ฤดูหนาวย่างกรายเข้ามา

ภายในอุทยาน ยังมีถ้ำหินปูนอะกิโยชิโด (Akiyoshido) ที่มีทางเข้า 3 ทางคือ จากปากถ้ำด้านล่างเดินขึ้นไปด้านบน, จากลิฟท์ที่ใกล้สถานีรถบัสและลานจอดรถมากที่สุด หรือเดินจากด้านบนลงสู่ปากถ้ำด้านล่าง

สำหรับฉันแนะนำให้เดินจากด้านบนลงด้านล่างดีกว่า

คุณจะผ่านอุโมงค์ที่มีภาพวาดเหมือนกับเรากำลังย้อนเวลากลับไปสู่อดีต

ที่สำคัญภาพตอนออกจากปากถ้ำสวยงามมาก

การเดินทางในวันต่อมาของเรายังอยู่ที่จังหวัดยะมะงุชิ สำหรับกลุ่มที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หรือเรื่องเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมคงไม่พลาดที่จะแวะมาเที่ยวชม สะพานคินไตเคียว (Kintai-kyo Bridge) ของ เมืองอิวาคุนิ (Iwakuni) อย่างแน่นอน

สะพานไม้โค้งถึง 5 โค้งอายุกว่า 300 ปี กับความงดงามที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของสะพานโค้งที่สวยงามของญี่ปุ่น สะพานไม้แห่งนี้มีการออกแบบในการนำไม้แต่ละแผ่นมาประกอบขึ้นเป็นสะพานให้เกิดความโค้งโดยไม่ได้ใช้ตะปูยึดติดเลยสักตัว แต่หลังจากที่ประสบกับภาวะน้ำท่วม ตลอดจนพายุไต้ฝุ่นจึงมีการบูรณะ โดยใช้แผ่นเหล็กและแท่งเหล็กยึดติดเอาไว้เป็นระยะๆ ยามที่แม่น้ำนิชิกิ (Nishiki River) เปี่ยมล้นตลิ่ง

คุณจะเห็นภาพความงามของสะพานที่สะท้อนกับผิวน้ำ แต่แม้น้ำจะลดไปมากในช่วงนี้ความงามของสะพานยังสร้างความประทับใจไม่ใช่น้อย หากสังเกตดีๆ คุณจะเห็นปราสาทอิวะคุนิ (Iwakuni Castle) ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำ

อีกจุดหนึ่งที่ความสวยงามของทิวทัศน์สายน้ำและเมืองอยู่รวมกันได้อย่างลงตัว คือ บริเวณท่าเรืออิบิซุกะฮะนะ (Ebisugahana Shipyard) เมืองฮะกิ (Hagi) เดิมที่นี่เป็นอู่ต่อเรือสมัยโบราณตั้งแต่ยุคเอโดะ หลงเหลือร่องรอยเพียงเสาที่ยื่นออกไปในทะเล

ทางเมืองกำลังมีการขุดค้นเพิ่มเติม ตัวของท่าเรือแห่งนี้ เตาหลอมเหล็กกล้า (Hagi Reverberatory Furnace) โรงงานหลอมเหล็ก (Ohitayama Tatara Iron Works)

ทั้งหมดนี้ได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อนยุคเมจิจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2015 ที่ผ่านมา อีกโซนที่น่าสนใจของเมืองฮะกิ คือโซนเมืองซามุไรในยุคศักดินา (Hagi Castle Town)

กว่า 250 ปี ที่ขุนนางตระกูลโมริปกครองยะมะงุชิ ภาพบ้านเรือนที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ราวกับหยุดเวลาไว้ เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยของญี่ปุ่น

ไม่ว่าจะเป็นอาคารสอนหนังสือของซามูไรและนักปรัชญาที่ชื่อโยชิดะ โชอิน (Yoshida Shoin) บ้านขุนนางในย่านฮะกิ ฉันมีโอกาสได้เข้าไปชมบ้านขุนนางหลังหนึ่ง บริเวณห้องรับแขกที่ให้รับรองแขก มีการจัดสวนอย่างสวยงามบรรยากาศร่มรื่น

และราวกับฟ้าเป็นใจ เปิดให้แสงแดดสาดส่องลงกระทบกับสวนหินและเหล่าพันธุ์ไม้ที่ตกแต่งในสไตล์สวนญี่ปุ่น ดูละลานตาและแฝงไว้ด้วยความสงบ สบายจนไม่อยากลุกเดินทางต่อกันเลย

ภูมิภาคชูโงะกุ (Chugoku) ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมาก ตามไปอ่านต่อ ที่ สัมผัสฤดูร้อน แสนสดชื่น ชูโงะกุ ตอน 2 ฮิโรชิมา (Hiroshima)

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0