Choshi ชุมชนริมทะเล

ภาพแสงระยิบระยับของเปลวแดดต้องกระทบผิวน้ำทะเลยามมองลงไปจะเห็นภาพบ้านเรือนที่เรียงรายจากเนินสู่พื้นที่ริมท้องทะเลแห่งญี่ปุ่นเป็นภาพที่สวยแปลกตายิ่งนัก ที่นี่คือหมู่บ้านโทคาวะ (Tokawa village) ของเมืองโจชิ (Choshi) เกริ่นก่อนสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเมืองโจชิอยู่ที่ไหน เมืองโจชินั้นเป็นเมืองที่อยู่ในจังหวัดชิบะ (Chiba) จังหวัดเดียวกับที่เป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ ประตูสู่ประเทศญี่ปุ่นที่หลายคนคุ้นกันดี

การเดินทางมาโจชิถ้ามาจากโตเกียวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 47 นาที โดยรถไฟ JR Limited Express สาย Shiosai ราคาอยู่ที่ 3,610 เยน หรือจะใช้บริการรถบัสด่วนพิเศษ Keisei จากสถานีโตเกียวใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาทีราคา 2,550 เยน ก็มาถึงสถานีรถไฟโจชิ ได้เหมือนกัน หรือถ้าจะตรงมาจากสนามบินนาริตะเลยก็ให้นั่งรถเร็ว (Rapid) JR Narita Line เส้นที่จะไป Zushi/ Kuriharna ลงที่สถานีนาริตะ แล้วก็นั่ง JR สายนาริตะมาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ค่ารถอยู่ที่ 1,320 เยน มาโจชิมาทำไม…น่าจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย

อยากบอกว่าโจชินั้นเป็นเมืองที่มีท่าเรือขนาดใหญ่อันดับหนึ่งและเป็นศูนย์กลางแห่งการประมงของจังหวัดชิบะตลาดขายส่งปลาที่เชื่อมต่อกับท่าเรือประมงของโจชิ (Choshi Port Wholesale Fish Market) ที่นี่เป็นหนึ่งในสามท่าเรือหลักของเมืองโจชิ เปิดตั้งแต่ 08.00 -11.30 น. ปิดทำการเพียงในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์

นอกนั้นจะคลาคล่ำไปด้วยเหล่าพ่อค้าที่เดินทางมาประมูลปลา สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ สามารถเข้าชมการประมูลปลาได้ด้วย โดยต้องแจ้งกับทางท่าเรือก่อน แต่ถ้าไม่ได้ขออนุญาต ก็สามารถชมได้จากพื้นที่ด้านบนได้ เป็นความสนุกสนานทีเดียวยามเห็นพ่อค้าปลาแข่งขันสู้ราคากัน ปลาเหล่านี้จะถูกส่งไปยังทั่วประเทศ

ท่าเรือแห่งนี้มีสถิติว่าจับปลาได้มากที่สุดในญี่ปุ่น 6 ปี ซ้อนอีกด้วย นอกจากตลาดปลาทั่วประเทศแล้วยังส่งไปที่ตลาดปลาของเมืองที่ Wosse 21 ตลาดปลาที่แสนมหัศจรรย์ คุณสามารถเลือกสรรซื้อปลาและอาหารทะเลแสนอร่อย ที่ทั้งสดใหม่ ซึ่งถูกส่งตรงจากท่าเรือมาที่นี่ รวมไปถึงของฝากของที่ระลึกสินค้าจากท้องทะเลราคาย่อมเยาได้จากที่นี่

นอกจากอาหารสด ของฝาก สินค้าต่างๆ แล้วยังมีร้านอาหารทะเลหลากหลายชนิดที่หายากแต่ราคาถูกอย่างเช่น ปลามากุโระให้เลือกลิ้มลองกันได้ ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่ 08.30- 17.00 น.

ใกล้ๆ กันกับ Wosse 21 เป็น หอคอยท่าเรือโจชิ (Choshi Port Tower) หอคอยสูง 58 เมตรสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1991 โดยมีจุดชมวิวสูง 46 เมตร (สูงจากระดับน้ำทะเล 60 เมตร) ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง เราจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของมหาสมุทรแปซิฟิกและทั่วทั้งเมืองโจชิเลย

สถานที่ท่องเที่ยวริมชายฝั่งทะเลถือได้ว่าเป็นที่ท่องเที่ยวหลักอีกอย่างของโจชิ ไม่ว่าจะเป็นโขดหินอินุยวะ (Inuiwa Rock) หินรูปร่างคล้ายสุนัข หรือบิโอบุเการะ (Byobugaura) ชายหาดและแนวโขดหินโบราณอายุกว่า 3 ล้านปี อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านโทคาวะ (Tokawa village) ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งปลาคินเมะได (Kinmedai) หรือปลากะพงแดงตาโต โดยเฉพาะยิ่งช่วง ฤดูหนาว ตั้งแต่สิ้นเดือนธันวาคมจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่เนื้อขาวๆ รสจัดจ้านของมันจะอุดมด้วย ไขมัน เหมาะสำหรับการปรุงอาหารทุกประเภท

ซึ่งก่อนจะไปชมหมู่บ้านแห่งนี้เราอยากแนะนำให้แวะกินอาหาร ที่ร้านอาหารชื่อ Jiroya Sushi Restaurant เป็นร้านที่อยู่ในบ้านส่วนตัว เดินจากสถานีโทคาวะ (Tokawa)เพียง 2 นาทีเท่านั้น ที่ร้านมีที่นั่งไม่กี่ที่เป็นที่นั่งแบบเคาท์เตอร์ กับนั่งบนเสื่อตาตามิ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องซูชิ โดยเฉพาะซูชิปลาคินเมะไดที่ใหม่สดส่งตรงจากท้องทะเล นอกจากนั้นคุณ ยังจะได้กินดาเตมากิ (datemaki) ที่หน้าตาคล้ายแยมโรลหนึ่งในอาหารที่คนญี่ปุ่นมักกิน ช่วงปีใหม่ แต่จริงๆ มันเป็นไข่ม้วน ดาเตมากิ ที่ร้านนี้เนื้อละเอียด มีรสหวานและเนื้อสัมผัส ที่นุ่มนวล จนได้รับสมญานามว่า “พุดดิ้งของชาวประมง” ราคาซูชิ 8 ชิ้นอยู่ที่ 2,700 เยน 10 ชิ้นอยู่ที่ 3,300 เยน และ 12 ชิ้น อยู่ที่ 3,800 เยน ซึ่งถือว่าราคาสมเหตุสมผลถ้า เทียบกับรสชาติที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

หมู่บ้านโทคาวะ เป็นหมู่บ้านขนาดย่อมไม่ใหญ่มากนัก เราสามารถกินซูชิแล้วออกมาเดินเล่นชมเมืองได้ เดิมที่นี่เคยเป็นท่าเรือเก่าที่รุ่งเรืองเป็นอย่างมาก

นอกจากบ้านเรือนหลังเล็กหลังน้อยที่เรียงราย ไปตามเนินเขาที่เป็นสโลปลงสู่ทะเลแล้วที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอย่างเช่น โขดหินอินุอิวะ (Inuiwa Rock) หรือหินรูปร่างคล้ายสุนัข (Dog Rock) หินที่มีส่วนงอกออกมาเหมือนหูของสุนัข โดยบริเวณที่ตั้งของหินนั้นตั้งชื่อตาม Wakamaru ซึ่งเป็น สุนัขที่ซื่อสัตย์ของ มินาโมโตะ โยชิสึเนะ (Minamoto Yoshitsune) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

ตามตำนานเล่าว่า นักรบโยชิสึเนะถูกบังคับให้ทิ้งสุนัขไว้ข้างหลังเมื่อตอนมีการสู้รบกันสุนัขนั้นได้โหยหวนเป็นเวลา 7 วันและ 7 คืนกลายเป็นหินในวันที่ 8 เสียงโหยหวนของเขาถูกได้ยินมาจากปลายสุดทางทิศตะวันออกของคาบสมุทรโจชิ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้บริเวณนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Inubo หรือแหลม “Howling Dog” นั่นเอง วันไหนที่ท้องฟ้าแจ่มใส คุณจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ อยู่เบื้องหลังของโขดหิน และที่นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ชมพระอาทิตย์ตกดินได้สวยอีกแห่งหนึ่ง

อีกหนึ่งประติมากรรมทางธรรมชาติถ้าคุณได้มาโซนนี้คือเบียวบุงุอุระ (Byobugaura Creek) ภาพของภูผาที่สูงชันเลาะไปตามคาบสมุทรแปซิฟิก เป็นจุดแลนด์มาร์ก สำคัญในเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ความยิ่งใหญ่ของผาหินนี้สามารถมองเห็นได้ไกลจากภูเขาอะตาโกยามะกันเลย ด้วยความสูงกว่า 20- 60 เมตร ยาวกว่า 10 กิโลเมตร จากเมืองโจชิไปถึงแหลมเงียวบุแห่งเมืองอาซาฮิ เป็นหน้าผาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ปี 1603 – 1868 และเป็นจุดสำหรับการถ่ายทำละคร ภาพยนตร์ นิตยสาร และโฆษณาหลายชิ้น

ความสวยงามแห่งนี้คล้ายคลึงกับหน้าผาสีขาวแห่งโดเวอร์ในประเทศอังกฤษจนได้รับสมญานามว่าเป็นโดเวอร์แห่งตะวันออก ส่วนในแง่ของทางธรณีวิทยา ชั้นหินจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย รวมไปถึงชั้นหินที่ย้อนกลับไปเมื่อประมาณกว่า 1-3 ล้านปี ยังมีอีกชั้นหินที่ย้อนเวลากลับไปประมาณกว่า 100,000 ปี ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ว่ากันว่าถ้ามองมุมสูงจะคล้ายกับรูปมือกำปั้นยื่นออกมาจากแขนเสื้อของชุดญี่ปุ่นโบราณทีเดียว ทำให้ที่นี่ได้รับเลือกจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้เป็นสถานที่แสนพิเศษ แห่งความงดงามทางทัศนียภาพและอนุสาวรีย์ทางธรรมชาติอีกด้วย

ประภาคารอินุโบซะกิ (Inubosaki Lighthouse) เป็นประภาคารที่เรียกได้ว่าเป็นที่เที่ยวยอดฮิตของเมืองก็ว่าได้ เป็นประภาคารแรกที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกที่สร้างตามการออกแบบของชาวอังกฤษนามว่า “Richard Henry Brunton” ในปีเมจิที่ 7 (ปี 1874)ตั้งอยู่แหลมอินุโบ ซึ่งรายล้อมไปด้วยทะเลทั้งสามด้าน เดิมที่นี่เป็นประภาคารที่ช่วยนำทางของ ชาวประมงและช่วยในการระบุจุดอันตรายต่างๆ ให้คนเดินเรือ ด้วยระบบไฟและเลนส์เฟรสเนล (Fresnel Lens) ขนาดใหญ่

พอเวลาผ่านไปด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น ประภาคารเช่นนี้ก็ลดน้อยถอยลง มีเพียงไม่กี่ประภาคารที่ยังคงใช้อยู่ แต่ประภาคารเหล่านั้น ก็ค่อนข้างเข้าถึงได้ยาก ไม่ค่อยได้เปิด สาธารณะให้เข้าไปเยี่ยมชมได้สักเท่าไร ส่วนสำหรับประภาคารสีขาวแห่งนี้เข้าถึงได้ง่าย ด้านบนมีพิพิธภัณฑ์ที่สามารถลองส่งกล้องผ่านเลนส์เพื่อดูวิวมหาสมุทรแปซิฟิกในมุมสูง นอกจากนั้นยังสามารถชมประวัติความเป็นมาและความสำคัญของประภาคาร ส่วนวิวทิวทัศน์รอบๆ ของประภาคารก็สวยงามคิดเอาว่าภาพประภาคารขาว โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีครามและท้องทะเลสีฟ้าใส จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและคนญี่ปุ่นเองออกมาเที่ยวชมที่นี่ในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกเคียงข้างประภาคารทรงสูงสีขาว ที่สวยงามมากๆ

อีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม คือ หอดูดาว (Horizon Observatory) ตั้งอยู่บนภูเขาอะทาโก (Atago Mountain) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมืองและสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ 360 องศา

ในวันที่อากาศแจ่มใสเราสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลขึ้น จากอ่าวคาชิมะและภูเขาทาเคกุบะทางเหนือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ไปจนถึง หน้าผาเบียวบุงุอุระ และอ่าวคุจิกุริทางตะวันตก

และถ้าหากเราโชคดีเราสามารถเห็นภูเขาไฟ ฟูจิได้ด้วย ค่าเข้าชมอยู่ที่ 380 เยน นอกจากสถานที่เหล่านี้แล้วเมืองโจชิยังมี ที่เที่ยวอีกมาก อย่างเช่น โรงงานโชยุ เพราะโชยุของเมืองโจชิมีรสชาติกลมกล่อม เป็นเอกลักษณ์มาก และห้ามพลาดลองกินนูเระเซมเบ้ (NureSembei) เซมเบ้แผ่นหนา ที่เกิดจากการผสมระหว่างข้าวกับโชยุขึ้นชื่อของเมือง รสชาติกลมกล่อมมาก

โจชินับได้ว่าเมืองนี้ถือเป็นอีกหนึ่ง เมืองที่น่าสนใจสำหรับคนต้องการความสงบเรียบง่าย ในช่วงวันพักผ่อน

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0