บุรีรัมย์เที่ยวครบรส

Story & Photo by Editorial Staff

ในทุกๆ ปี ที่ปราสาทหินพนมรุ้งหรือปราสาทพนมรุ้งโบราณสถานในศิลปะเขมรที่มีความงดงาม ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ จะมีปรากฎการณ์แสงแรกแห่งอรุณรุ่งฉายแสงผ่านศิวลึงค์ ตัวแทนแห่งพระศิวะ ตรง 15 ช่องบานประตูของปราสาทพนมรุ้งถึง 4 ครั้ง ซึ่งประชาชนทั้งคนไทยและประเทศเพื่อนบ้านจะเดินทางมาชม เพราะตามความเชื่อแล้วสิ่งนี้จะเป็นความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นดำเนินชีวิตในวันใหม่

ผมเคยเดินทางไปชมปรากฏการณ์ดังกล่าวเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว แต่ความรู้สึกประทับใจกับแสงที่เห็นตอนนั้นก็ติดใจไม่หายและสัญญากับตัวเองว่าวันหนึ่งจะกลับมาที่บุรีรัมย์ “เมืองแห่งความรื่นรมย์” ให้ได้ แล้ววันนั้นก็มาถึง ผมมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอมโบราณ ธรรมชาติ และความรุ่งเรืองของบุรีรัมย์อีกครั้ง

บอกได้เลยว่าบุรีรัมย์วันนี้มีอะไรดีๆ แบบครบรส รอให้คุณไปสัมผัสมากมาย ในวันที่ผมโตขึ้นอีกสิบปี อะไรๆ ที่บุรีรัมย์ก็เปลี่ยนไปหลายอย่าง ไปสำรวจกันว่ามีอะไรที่ยังคงอยู่และปรับเปลี่ยนไปบ้าง

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านไปของผมที่ยังเห็นคงอยู่และยั่งยืนเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของบุรีรัมย์คงหนีไม่พ้น อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง หรือปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นหนึ่งในปราสาทหินในกลุ่มราชมรรคา (เส้นทางเชื่อมโยงบ้านเมืองชั้นในของราชอาณาจักรกัมพุเทศ หรือขอมโบราณ บรรพบุรุษร่วมสายหนึ่งของชาวไทยในปัจจุบันมีหลักฐานเป็นถนน สะพาน ปราสาท จารึก ปมปริศนา)

ปราสาทหินพนมรุ้งตั้งอยู่บนยอดเขาภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วแห่งนี้ สูงประมาณ 200 เมตรจากพื้นราบ (ประมาณ 350 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ถ้าขับรถมาจากตัวเมืองบุรีรัมย์ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 77 กิโลเมตร ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มาอยู่หน้าปราสาทหินที่เดิม

ภาพบันไดขนาดใหญ่จากเชิงเขาไล่ขึ้นไปด้านบน ราวกับเชื้อเชิญให้ผมทดสอบพละกำลังที่ต่างจากเมื่อสิบปีที่แล้ว ผมค่อยๆ เดินไปตามถนนทางเดินที่ทอดไปสู่สะพานนาคราช ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนแห่งมนุษย์และสรวงสวรรค์ บันไดและทางเดินเหล่านี้สร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย ที่มีการออกแบบที่ประณีตและงดงาม

สำหรับชื่อ “พนมรุ้ง” มาจากภาษาเขมรว่า “วนํรุง” แปลว่า ภูเขาอันกว้างใหญ่ โดยคำนี้ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกอักษรขอมพบที่ปราสาทพนมรุ้ง และยังปรากฏชื่อผู้สร้างปราสาท คือ “นเรนทราทิตย์” เชื้อสายราชวงศ์มหิธรปุระ ผู้เกี่ยวข้องเป็นญาติกับพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาทนครวัด ปราสาทประธาน

ปราสาทหินเขาพนมรุ้งก่อด้วยหินทรายสีชมพู ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีปราสาทอิฐ 2 องค์ และปรางค์น้อยอยู่ พื้นที่ปราสาทกว้างขวางมาก หากจะเดินให้ทั่ว ผมว่าต้องใช้เวลาทั้งวันก็ไม่หมด เพราะแต่ละจุดก็มีเรื่องราวและ ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ในช่วงปลายปีอากาศกำลังดี เหมาะแก่การเดินเที่ยวชมมากกว่าช่วงหน้าร้อน

ประติมากรรมชื่อดังที่ทำให้ปราสาทพนมรุ้งเป็นที่รู้จักตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้วคือ ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์นั่นเอง ปัจจุบันทับหลังก็ยังเป็นที่นิยม ผมเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ ก็ยังประทับใจอยู่เช่นเดิม

จากปราสาทหินพนมรุ้งยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงอื่นๆ ได้ เช่น ปราสาทเมืองต่ำ อำเภอประโคนชัย

ที่นี่เป็นเมืองโบราณร่วมสมัยกับปราสาทเขาหินพนมรุ้ง นับเป็นปราสาทหินศิลปะขอมโบราณที่มีขนาดใหญ่มากอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด

ส่วนมากหากมาที่ปราสาทหินพนมรุ้งแล้วก็มักจะแวะชมปราสาทเมืองต่ำด้วยเช่นกัน เพราะห่างกันแค่ 8 กิโลเมตร

นอกจากมาชมนาคห้าเศียรศีรษะเกลี้ยงที่ไม่เหมือนที่ปราสาทหินแห่งใดแล้ว

อาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้ง กำแพงแก้ว, ลานปราสาทหินเมืองต่ำ และสระน้ำ, กลุ่มปราสาทอิฐ, ระเบียงคดและซุ้มประตู, บรรณาลัย และบาราย ก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน

อีกจุดที่น่าสนใจคือ วัดเขาพระอังคาร ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาพระอังคารเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วอยู่ตรงข้ามทางด้านทิศตะวันตกของเขาพนมรุ้ง ประมาณ 15 กิโลเมตรในอำเภอเฉลิมพระเกียรติ

สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยเดียวกับปราสาทหินพนมรุ้ง ตามตำนานลายแทงธาตุพนม กล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 8 มีการนำพระอังคารธาตุ (เถ้ากระดูก) ของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่นี่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 พระอาจารย์ปัญญา วุฒิโธ ได้สร้างวัดขึ้นบนยอดเขา

เป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานสวยงามแปลกตา และน่าสนใจมากมาย เช่น โบสถ์ 3 ยอด ซึ่งภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง และเรื่องราวชาดกเป็นภาษาอังกฤษ โบราณวัตถุ “ใบเสมาหินบะซอลต์” สมัยทวารวดี

สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 อายุประมาณ 1,300 ปี ซึ่งพบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย พระพิฆเนศงาเดียวพระพุทธ 109 องค์ เทวรูปเจ้าเมืองขอม เป็นต้น

จากโบราณสถานต่างๆ ที่คงอยู่คู่เมืองบุรีรัมย์แล้ว เวลาผ่านไปบุรีรัมย์ได้พัฒนาไปหลายอย่าง สิ่งก่อสร้างถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่วันนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก อย่างสนามช้างอารีนา ก็ถือเป็นที่เที่ยวที่ใหม่ (สำหรับผม) ที่นี่เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลชื่อดังของจังหวัด

เป็นสนามฟุตบอลที่ผ่านมาตรฐานฟีฟ่า เอเอฟซี เอเอฟเอฟ ผ่านมาตรฐานระดับเอคลาสสเตเดียมจากเอเอฟซี และผ่านมาตราฐานระดับเวิลด์คลาสจากฟีฟ่า ใช้เวลาก่อสร้าง 265 วัน จนได้รับบันทึกลงกินเนสบุ๊กว่าเป็นสนามฟุตบอลในระดับฟีฟ่าแห่งเดียวในโลกที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลก คุณสมบัติเพียบขนาดนี้เข้าไปดูกันเลยว่าสนามประกอบด้วยอะไรบ้าง อยู่ในตัวเมืองบุรีรัมย์

เปิดให้ผู้คนทั้งที่ชื่นชอบฟุตบอล และอยากชมสนามสวยๆ ได้เข้าชมกัน เปิดเป็นรอบ รอบละ 30 นาที เริ่มตั้งแต่เวลา 9.30 – 16.00 น. ปิดพักเที่ยงตั้งแต่เวลา12.00 – 13.00 น. เมื่อเดินขึ้นบันไดเข้ามาในสนามก็ต้องร้องว้าวกับขนาดที่กว้างมากๆ สามารถจุได้ถึง 32,600 ที่นั่ง

แบ่งเป็น 4 ชั้น มีทั้งสำนักงานห้องแถลงข่าว ห้องสื่อมวลชน ห้องนักกีฬาทีมเหย้า และเยือน ห้องพักผู้ตัดสิน ห้องปฐมพยาบาล และห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยงใหญ่ ห้องวีไอพี ห้องจัดเลี้ยง ตรงกลางพื้นสนามสีเขียวสแตนด์ฝั่งตะวันตกที่มีตัวอักษร Thunder Castle โดดเด่นเป็นสง่าสะกดสายตาผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

เราสามารถเดินชมและถ่ายภาพแต่ห้ามลงไปเหยียบสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีก็พอ ด้านข้างสนามยังมีสโตร์สำหรับขายของที่ระลึกให้แก่แฟนบอลและผู้ที่มาเยี่ยมเยือนสนามแห่งนี้ด้วย

จากสนามฟุตบอลสู่อุทยานดอกไม้ อีกแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ สาวๆ ยกกล้องกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว เพราะที่นี่ถ่ายมุมไหนก็สวยไปหมดกับอุทยานไม้ดอก เพ ลา เพลิน ห่างจากตัวเมืองประมาณ 32 กิโลเมตร เป็นอุทยานไม้ดอกแห่งแรกในเขตพื้นที่ภาคอีสานใต้อีกด้วย เพ ลา เพลิน มีพื้นที่มากกว่า 300 ไร่ จัดพื้นที่เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนอุทยานไม้ดอก (FLORA) ส่วนของบูติกรีสอร์ต แอนด์ แอดเวนเจอร์แคมป์ และส่วนที่ 3 ศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร และ ปศุสัตว์ฟาร์ม

ในส่วนของอุทยานไม้ดอกก็จะแยกเป็นโรงเรือนถึง 6 โรงเรือน ที่ตกแต่งต่างกันโรงเรือนที่ 1 จัดแสดงพรรณไม้ตามฤดูกาล โรงเรือนที่ 2 จัดแสดงพันธุ์เฟิร์นภายใต้คอนเซปต์ ป่าดึกดำบรรพ์ โซนนี้ค่อนข้างแปลกตาสำหรับผมเพราะ มีการจัดตกแต่งเฟิร์นเป็นรูปช้างแมมมอธ แบบนี้เป็นต้น โรงเรือนที่ 3 จัดแสดงสับปะรดสีและพืชกินแมลง ภายใต้คอนเซปต์ สีสันแห่งธรรมชาติ ซึ่งสีสันสดใสสมชื่อโซน

โรงเรือนที่ 4 จัดแสดงกล้วยไม้ ภายใต้คอนเซปต์ กินรี โรงเรือนที่ 5 จัดแสดงพืชทะเลทราย ภายใต้คอนเซปต์ มหาพีระมิด โรงเรือนที่ 6 จัดแสดงดอกหน้าวัว ภายใต้คอนเซปต์ ศิลปะอีสานใต้ สำหรับส่วนของบูติกรีสอร์ต แอนด์ แอดเวนเจอร์แคมป์ ก็แบ่งย่อยไปอีก สำหรับผู้ใหญ่

ส่วนหน้าอย่างโซนต้อนรับก็เหมาะกับการพักผ่อนเป็นอย่างดีหรือจะไปจับจ่ายที่โซนขายของที่ระลึกจากทุกภาคก็น่าสนใจ ก่อนจะไปย้อนอดีตผ่านของสะสมโบราณต่างๆ ในโซนกาลครั้งหนึ่งแกลเลอรี่ (Once Upon A Time Gallery) สำหรับโซนเด็ก ประกอบไปด้วย London Bus, Locomotive Train ซึ่งเด็กเล็กสามารถค้นคว้าและมีมุมให้ความรู้มากมาย น่าสนุกสนานจนอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

หรือจะออกไปให้อาหาร ม้าแคระ และแกะ ก็เป็นกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าสนใจ มีโซนแอดเวนเจอร์ แคมป์ ซึ่งมีการจำลองมรดกโลก หรือสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น กำแพงเมืองจีน, หอไอเฟล, สะพานทาวเวอร์บริดจ์, หอเอนเมืองปิซา และสโตนเฮนจ์ หรือขยับกิจกรรมเอาต์ดอร์ขึ้นหน่อยเป็น โซนขับรถ ATV ก็สนุกเพลิดเพลินมาก เวลาผ่านไปด้วยความรวดเร็ว เราสามารถมาทัศนศึกษาแบบพักแรมและแบบเช้าไป-เย็นกลับก็ย่อมได้

ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปไม่นานจังหวัดบุรีรัมย์พัฒนาขึ้นมาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายทีเดียว สำหรับของฝาก อย่าลืมซื้อผ้าภูอัคนีที่กลุ่มทอผ้าไหม-ผ้าฝ้ายหมู่บ้าน เจริญสุข (ผ้าภูอัคนี) ไปฝากคนที่คุณรักกัน เขาต้องประทับใจแน่นอน


Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0