Around Danang – ท่องเที่ยวรอบดานัง เวียดนาม

Story & Photo by Editorial staff

สายลมของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาวเริ่มพัดผ่าน ปลายปีเช่นนี้หลายเมืองท่องเที่ยวคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น ใช้เวลาในวันหยุดพักร้อนกันอย่างเต็มที่เฉกเช่นเดียวกันกับเมืองดานังของประเทศเวียดนาม เมืองท่าติดทะเลที่มีหาดทรายสวยธรรมชาติงดงามมีการผสมผสานกันของสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวเวียดนามได้อย่างลงตัว ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกดานังเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเดินทางเสมอ

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นด้วยสายการบินไทยเวียตเจ็ทเช่นทุกครั้ง ด้วยเพราะมีเที่ยวบินตรงจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ สู่ท่าอากาศยานนานาชาติดานัง ของเวียดนามทุกวัน จะเลือกไปช่วงเช้า 10.50 น. หรือช่วงบ่าย 13.35 น. ก็ย่อมได้ ด้วยเครื่องบิน Airbus A320 ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น ขากลับยิ่งสะดวกมีรอบ 13.15 น. เช็กเอาต์สายๆ แล้วลากกระเป๋าไปสนามบินได้ หรือ 18.10 น.

สำหรับคนที่อยากช้อปปิ้งหรือเที่ยวต่ออีกนิดมาดานังทั้งทีที่ท่องเที่ยวหลักๆ อย่างสะพานมังกร (Dragon bridge) สะพานที่ข้ามผ่านแม่น้ำฮาน (Han River) แม่น้ำสายหลักสำคัญของดานัง ทุกวันศุกร์ และวันเสาร์ในเวลา 3 ทุ่ม จะมีการแสดงแสง สี อย่าได้พลาดทีเดียว

หรือโบสถ์คริสต์ดานัง (Danang Cathedral) โบสถ์คริสต์สีชมพูอ่อนทั้งหลังใจกลางเมืองดานัง ก็เป็นจุดถ่ายรูปที่น่าสนใจและเมืองท่าชายทะเลเช่นนี้ สถานที่ยอดฮิตของหาดหมีเคว (My Khe Beach) ที่มีทรายนุ่มขาวละเอียด

ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสไตล์ยุโรปบนยอดเขาอย่าง บานาฮิลล์ (BaNa Hills) แลนด์มาร์กหลักเหล่านี้อย่าพลาดลืมแวะเวียนไปเป็นอันขาด แต่สำหรับคนที่เดินทางมาดานังหลายครั้งต้องการหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ หรือต้องการหลบหลีกผู้คนแล้วละก็ เดินทางออกไปนอกเมืองสักนิด คุณจะได้พบสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่อย่างแน่นอน ตามเรามาเลย

หาดทรายแสนงาม ทะเลสาบ แสนสวย เทือกเขาแสนรื่นรมย์

ภูเขาแห่งเมฆหมอก เป็นความหมายของภูเขาหายเวิน (Hai Van) มีที่มาจากสายหมอกที่ลอยขึ้นมาจากท้องทะเลเบื้องล่างปกคลุมไปทั่วเส้นทางบนเขา โดยขุนเขานี้ได้ทอดตัว เชื่อมระหว่างเมืองดานังกับเมืองเว้ (Hue) ของประเทศเวียดนาม หากเราขับรถจากตัวเมืองดานังมุ่งหน้าสู่เมืองเว้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะมาเจอกับขุนเขาแห่งนี้

ถนนที่เชื่อมระหว่างดานังกับเมืองเว้แบ่งเป็น 2 เส้นทางหลัก เส้นทางหนึ่งคือ เส้นทางอุโมงค์ที่ลอดขุนเขาแห่งนี้ มีความยาวของอุโมงค์ 6.3 กิโลเมตร ยาวที่สุดในเอเชียใต้ ใช้เวลาลอดอุโมงค์ประมาณ 20 นาทีเท่านั้น โดยกำหนดความเร็วไม่เกิน 60 กม. อุโมงค์แห่งนี้ก่อสร้างโดยเอกชนจากญี่ปุ่น ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นผู้ลงทุนด้านงบประมาณ

อีกหนึ่งเส้นทางคือเส้นทางที่ขับขึ้นไปตามขุนเขา ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงตามสภาพอากาศครั้งนี้เราเลือกที่จะเดินทางขึ้นไปตามถนนบนขุนเขาและกลับทางอุโมงค์ เหตุที่เลือกเดินทางขุนเขาเพราะถนนสายนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยงามเส้นทางหนึ่งของเวียดนาม ภาพของทิวทัศน์ที่ฝั่งหนึ่งเป็นภูเขาที่เขียวขจี ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นท้องทะเลสีคราม สวยงามจับใจมาก ยิ่งวิวมุมสูงของด้านบนของขุนเขาที่เห็นวิวแบบพานอรามานั้นสวยงามจับใจมาก

ลงจากขุนเขาไปเราก็มุ่งหน้าสู่เมืองลังโก (Lang Co) เมืองริมทะเลที่เป็นเหมือนเมืองทางผ่านที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยแวะมากนัก แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสวยงามของภูเขาสีเขียว ป่าเขตร้อนท้องทะเลสีฟ้าคราม หาดทรายเนื้อขาวเนียนภูเขาสูงและแผ่นน้ำนิ่งสงบ สะท้อนะเลสาบที่มีวิถีชีวิตของผู้คน อ่าวลังโกมีลักษณะเป็นอ่าวโค้งกลมเหมือนทะเลสาบน้ำเค็มแยกออกจากทะเลด้วยสันดอนทรายแต่ก็ยังมีทางออกเล็กๆ สู่ทะเล เรียกลากูนอ่าวยาวกว่า 8 กิโลเมตร เกลียวคลื่นขนาดใหญ่

สำหรับคนที่ชื่นชอบกิจกรรมทางทะเล และมีชายหาดที่เงียบสงบสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อน มีโรงแรมตั้งแต่ระดับ 5 ดาว จนถึงโรงแรมสำหรับเหล่าแบ็กแพ็กเกอร์ ไว้ให้ผู้เข้าพักได้เลือกสรร ความสวยงามของอ่าวนี้เป็นรองอ่าวฮาลองและอ่าวญาจาง นอกจากนั้นที่นี่ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 30 อ่าวที่สวยที่สุดในโลก ที่อ่าวลังโก ถัดจากอ่าวลังโกไปประมาณ 1 กิโลเมตรชายหาดชื่อ หาดชันมัย (Chan May beach) หาดทรายขาวหนึ่งในเพชรเม็ดงามของลังโกแห่งนี้ หลายคนเลือกหย่อนตัวนั่งนิ่งปล่อยให้ลมปะทะแล้ว ชมความสวยงามของท้องทะเลที่นี่ แต่บางคนเช่นพวกเราเลือกที่จะเดินทางต่อไป

ทะเลสาบหลับอัน (Lap An Lagoon) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอ่าวลังโก มีพื้นที่ประมาณ 8 ตร.กม. จุดที่พวกเราให้คำจำกัดความว่าเป็นที่ที่ขุนเขามาพบเจอกับสายน้ำ ผู้คนบริเวณทะเลสาบทำอาชีพประมงและจับสัตว์น้ำ มีกิจกรรมพายเรือกระด้งเวียดนามหรือแพไม้ไผ่บริการนักท่องเที่ยวเหมือนกัน สามารถลองสัมผัสประสบการณ์กันได้

แต่ที่เราประทับใจกันมากคือ ภาพบรรยากาศของภาพขุนเขาราวกระจกสวยงามยิ่งนักโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงสีส้มที่สะท้อนผิวน้ำให้ความรู้สึกที่อิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูกสงบแต่ในทางกลับกันกลับมีพลังอย่างประหลาด

ประวัติศาสตร์ล้ำค่า
เอาใจสายธรรมชาติไปแล้ว มาเอาใจสายประวัติศาสตร์กันบ้าง เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 7-20 มีการสันนิษฐานกันว่า จาม (Cham) หรือจัมปา (จามปา – Champa) หรือแขกจามนั้นคือ ชาวฮินดูหรือแขกพราหมณ์ที่เดินทางมาอินเดียในสมัยหลังพุทธกาล ต่อมาค้าขายกับพวกมลายูที่เป็นชนชาติอาหรับ จึงได้เปลี่ยนมานับถืออิสลามอาณาจักรจามเคยมีความรุ่งเรืองในดินแดนแถบตอนกลางของเวียดนาม ได้แก่ เมืองเว้ เมืองดานัง และเมืองใกล้เคียงอื่นๆ ก่อนจะล่มสลายไป

เราสามารถศึกษาประวัติศาสตร์ชองชาวจามได้ที่พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม (Museum of Cham Sculpture) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณวงเวียนใหญ่ใกล้กับแม่น้ำฮาน ที่มีสะพานมังกรข้ามอยู่ในพิพิธภัณฑ์สร้างโดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกทุนก่อสร้าง เมื่อปี ค.ศ. 1915 หรือ พ.ศ. 2458 (สมัยที่เวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส) มีการเก็บรวบรวมโบราณวัตถุของชาวจามไว้มากถึง 300 ชิ้นและมีอยู่เพียงแห่งเดียวในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานมากมายจากอาณาจักรจามปา บอกเล่าประวัติศาสตร์ของชาวจามและอาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในสมัยศตวรรษที่ 2 แบ่งเป็นห้องจัดแสดงต่างๆ ตามยุคสมัยทั้ง 4 ยุคตามแหล่งกำเนิดของอารยธรรมได้แก่ หมี่เซิน ตราเกียว ด่งเดือง และทาพเมิน ชั้นบนของพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงภาพประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาวจาม หากออกไปนอกะเบียงก็สามารถชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำฮานอันสวยงามได้ ถ้าพิจารณาแล้วจะพบว่างานศิลปะของ จามจะคล้ายกับศิลปะของขอม งานบางชิ้นคล้ายกับโลหะแต่จริงๆ คือหินทรายแกะสลักที่เป็นงานลวดลายประณีตและละเอียดมาก

จากพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจามซึ่งมีการจัดแสดงโบราณวัตถุ เราขับรถต่อไปนอกเมืองดานังใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งมุ่งสู่ปราสาทหมีเซิน (My Son Sanctuary) โบราณสถานที่จะทำให้เราได้เห็นภาพของอาณาจักรจามปาโบราณได้มากขึ้น ปราสาทแห่งนี้ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี พ.ศ. 2542 หมีเซินเคยเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ของอาณาจักรจามปามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 จนถึงศตวรรษที่ 15 สร้างโดยพระเจ้าภัทรวรมัน เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะตามความเชื่อในศาสนาฮินดู ทำเลที่ตั้งอยู่ ใจกลางหุบเขากว้างเป็นที่ราบต่ำ มีเนื้อที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร รายล้อมด้วยภูเขาขนาดใหญ่ ตรงกลางมีธารน้ำไหลผ่านหุบเขามีลักษณะคล้ายโยนีหรือสัญลักษณ์ของเพศหญิง ภูเขาขนาดใหญ่ คล้ายกับศิวลึงค์หรือสัญลักษณ์เพศชาย ลำธารที่ไหลผ่านก็เหมือนกับน้ำที่ไหลผ่านโยนี ธรรมชาติของที่นี่ดูเหมือนกับแท่นบูชา

แม้ว่าวันที่เดินทางอากาศจะร้อนอบอ้าวไปสักนิด แต่ว่าช่วงเวลาที่เดินไปตามหมู่ปราสาทที่หลงเหลือเพียง 20 กว่าหลังจาก 73 หลัง เรากลับมีความรู้สึกเย็นสบายอย่างประหลาด ที่สำคัญด้วยเพราะเสียงของจักจั่นและสายลมที่พัดเอื่อยเป็นระยะๆ ทำให้การเดินชมร่องรอยของปราสาทแต่ละหลังเป็นไปอย่างสบายกว่าที่คิด สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของปราสาทจามคือ ภาพแกะสลักบนผนังและอิฐที่ใช้ก่อสร้างปราสาทที่บางจุดยังสมบูรณ์ ประณีตและสวยงาม และสังเกตเห็นว่าหินแต่ละก้อน แม้ว่าผ่านเวลากว่า 1,000 ปีกลับไม่มีมอสหรือตะไคร่เขียวเกาะแต่อย่างใด สำหรับคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ หนึ่งวันเต็มสำหรับที่นี่เราว่าไม่พอแน่นอน

เราปิดท้ายการเดินทางด้วยการตามหา เมนูอาหารแนะนำของโซน ดานัง เว้ และ ฮอยอัน แห่งนี้ ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยก็คือก๋วยเตี๋ยวหมี่กว่าง (Mi Quang หรือ My Quang) หมี่กว่างเป็นเมนูที่มีชื่อเสียงในภาคกลางของเวียดนาม เป็นก๋วยเตี๋ยวที่วางบนผักสดหรือเครื่องเคียงจากนั้นก็นำเนื้อที่มีการปรุงด้วยขมิ้นและสมุนไพรราดลงไปตามด้วยถั่วลิสง มีข้าวเกรียบเวียดนามเป็นเครื่องเคียง รสชาติจะเข้มข้นและจัดจ้านเล็กน้อย เป็นเมนูที่นิยมเสิร์ฟในโอกาสต่างๆ เช่นงานเลี้ยงสังสรรค์ในครอบครัว วันครบรอบปีและเทศกาลตรุษจีน ที่ดานังมีร้านขายหมี่กว่างมากมาย

ต่อด้วยอาหารทะเล อย่างที่บอกเนื่องจากดานังเป็นเมืองแถบชายทะเล ดังนั้นอาหารทะเลที่นี่จึงสดเป็นพิเศษ เช่น ล็อบสเตอร์ตัวโต คุณอาจจะเจอในราคาเพียง 200,000 ดอง ต่อ 1 ตัว หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 270 บาทเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารทะเลจริงๆ

แม้ดานังจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่หลายคนมุ่งหน้าเดินทางไป และมีผู้คนหลากหลายแต่จากดานังคุณยังสามารถเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนของคุณ และเชื่อว่าการพักร้อนครั้งต่อไปคุณก็จะเลือกดานังเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางเช่นเคย


Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0