Swiss Riviera in the Memory สวิสริเวียร่า…ในความทรงจำ

Story & Photo by เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง

Lausanne 0072

วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 หลังทราบข่าวจากสำนักพระราชวังประกาศว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉันรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มหาราชผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ เหมือนเช่นเดียวกับพสกนิกรคนอื่นๆ ของพระองค์ แต่ในฐานะคนที่อยู่ไกลบ้านยังไม่มีโอกาสได้กลับประเทศไทยไปร่วมแสดงความเคารพพระบรมศพ ทำได้เพียงขอร่วมถวายความอาลัยและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณจากแดนไกล

Lausanne 0292

ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ฉันได้มีโอกาสไปทำงานและใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใกล้กับเมืองโลซานน์ (Lausanne) สถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประทับเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ความทรงจำเก่าๆ ของฉันก็พรั่งพรูหลั่งไหลออกมา นึกถึงช่วงเวลาที่ฉันได้ตามรอยที่ประทับและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระประวัติของพระองค์ท่านในครั้งนั้น

Chillon 1366

เขตสวิสริเวียร่า (Swiss Riviera) เป็นดินแดนทางตะวันตกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบเจนีวา (Geneva lake หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า Lac Leman) ชื่อดังมากมาย ได้แก่ เมืองโลซานน์ (Lausanne) เมืองเจนีวา (Geneva) และมองเทรอซ์ (Montreux) รวมทั้ง บริเวณโดยรอบก็มีวิถีชีวิตแบบชนบทที่มีความสวยงามน่าสนใจน่าชม อย่างไร่องุ่นในเขต Lavaux ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย

Lausanne 0500

ตามรอยพระยุคลบาท ณ เมืองโลซานน์
เมืองโลซานน์ เมืองเล็กๆ น่ารักริมทะเลสาบเจนีวาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่คนไทยน่าจะคุ้นหูกับชื่อของเมืองนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นเมืองที่พระมหากษัตริย์ไทยทั้ง 2 พระองค์ คือพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงประทับอยู่เมื่อยังทรงพระเยาว์ ในช่วงปี พ.ศ. 2476 – 2494 เป็นเวลาถึง 18 ปี ก่อนเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวร

Lausanne 0503

การเดินตามรอยเท้าพ่อหลวงของแผ่นดินในครั้งนั้น ฉันเริ่มต้นเดินเท้าจากสถานีรถไฟเมืองโลซานน์ไปยังอพาร์ทเมนท์เลขที่ 16 ถนน Aveneu Tissot ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก

Lausanne 0504

จากนั้นฉันเดินทางต่อไปยังวิลล่าวัฒนา (Villa Vadhana) ซึ่งเคยเป็นพระตำหนัก ที่ประทับของทั้ง 4 พระองค์ ภายหลังการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัฐบาลได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดลเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 51 Chamblandes

Lausanne 0501

โดยทรงย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2478 และทรงประทับที่นี่เป็นเวลาสิบกว่าปี สิ่งที่น่าเสียดายคือปัจจุบันนี้ได้มีการรื้อถอนวิลล่าหลังนี้ไปแล้วเนื่องจากเป็นบ้านเช่า เมื่อมีสภาพทรุดโทรมลง เจ้าของบ้านชาวสวิสก็ได้รื้อถอนบ้านหลังนี้และสร้างอพาร์ทเมนท์ใหม่ขึ้นมาแทนที่

Lausanne 0395

จากนั้นฉันก็เดินทางต่อไปยังโรงเรียนที่ทรงศึกษาในชั้นประถมชื่อว่า โรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทรงเข้าเรียนชั้น 2 และพระอนุชาทรงเข้าเรียนชั้นอนุบาล ทั้ง 2 พระองค์เลือกเรียนสายศิลป์ ภาษาละติน และภาษาอังกฤษ มีภาษาเยอรมันเป็นภาคบังคับ ฉันมั่นใจว่ามาไม่ผิดที่แน่นอนเมื่อเห็นรถโรงเรียนที่มีชื่อโรงเรียนจอดอยู่และมีลู่วิ่ง เพียงแต่ไม่สามารถเข้าไปเดินเล่นได้ทั่วเพราะเป็นช่วงวันหยุด จากนั้นฉันกลับไปที่สถานีรถไฟเพื่อเดินต่อไปยัง Palais de Rumine ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาวิทยาลัยโลซานน์ (Lausanne University)

Lausanne 0505

ปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยโลซานน์ย้ายออกไปนอกเมืองแล้วและพื้นที่ตรงนี้ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แทน ในขณะนั้นที่นี่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของทุกพระองค์ สมเด็จพระพี่นางทรงศึกษาทางด้านวิชาเคมี พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ทรงศึกษาวิชานิติศาสตร์ ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเลือกเรียนแขนงวิชาวิทยาศาสตร์ (ต่อมาเมื่อหลังทรงครองราชสมบัติแล้ว ได้เปลี่ยนเป็นสาขาวิชากฎหมาย รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์แทน เพื่อความเหมาะสมกับพระราชภารกิจแห่งพระมหากษัตริย์)

Lausanne 0068

การเที่ยวชมเมืองโลซานน์สามารถแบ่งได้เป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นเขตเมืองเก่า (Old town) และเขต Ouchy ริมทะเลสาบเจนีวา เขตเมืองเก่าของโลซานน์ทอดตัวอยู่บนเนินเขา โดยมีมหาวิหาร Notre-Dame (หรือ Lausanne Catherdral) ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบนสุด สองข้างทางที่เดินขึ้นไปจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งสำคัญที่มีทั้งร้านค้าแบรนด์เนมและร้านค้าทั่วไปมากมาย

Lausanne 0133

มหาวิหาร Notre-Dame สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระแม่มารี (Virgin Mary) ถือเป็นหนึ่งในงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์

Lausanne 0129

ประตูทางเข้าเป็นงานแกะสลักหินอันงดงาม ประตูมหาวิหารเป็น 2 ชั้น เมื่อเปิดบานประตูไม้ชั้นที่ 2 เข้าไปจะพบโถงสูงดูสง่างามตามสไตล์โกธิค

Lausanne 0116

หน้าต่างรอบโบสถ์ทั้ง 105 บานประดับด้วยกระจกสี บานที่สวยที่สุดคือกระจกทรงกลมใหญ่ตกแต่งด้วยกระจกสีน้ำเงินที่เรียกว่า Rose window

Geneva 0068

ออกจากมหาวิหารให้เลี้ยวซ้ายไปจะพบกับพิพิธภัณฑ์ Musée historique (Historical museum) อยู่ด้านข้าง พิพิธภัณฑ์นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของบิชอป (Episcopal Palace) ภายในจะเก็บรักษาสิ่งของต่างๆ จากที่พำนักของบิชอป โบราณวัตถุที่พบในบริเวณนี้ รวมทั้งแบบจำลองเมืองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1638

Lausanne 0273

ในส่วนของเขต Ouchy ริมทะเลสาบเจนีวาเป็นบริเวณที่มีชีวิตชีวามาก ในวันที่อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสผู้คนจะมาทำกิจกรรมต่างๆ บ้างก็ล่องเรือ ถีบเรือเล่น ครอบครัวก็พาเด็กๆ ออกมาเล่นในลานกิจกรรม

Lausanne 0502

โลซานน์ยังเป็นเมืองที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการ โอลิมปิกสากล (International Olympic Committe) หรือ IOC และมีพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวาด้วย จึงทำให้เมืองโลซานน์ได้รับการขนานนามว่า “เมืองหลวงแห่งโอลิมปิก” หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกแล้ว ฉันก็เดินต่อไปยังสวนสาธารณะเดอน็องตู (Parc du Denantou) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยและเทศบาลเมืองโลซานน์ สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เฉลิมฉลองวาระสำคัญในปี พ.ศ. 2549 สองวาระ คือวโรกาสที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสมาพันธรัฐสวิสครบ 75 ปี ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

Montreux 200

ไม่ไกลจากสวนสาธารณะเดอน็องตู เป็นที่ตั้งของโรงแรมโบริวาจ (Beau-Rivage Palace) โรงแรมที่ดีและหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ซึ่งพระบรมราชชนกทรงเลือกที่นี่เป็นที่พักหลังอภิเษกสมรสกับหม่อมสังวาลย์ในปี พ.ศ. 2463 ฉันเดินกลับไปนั่งเล่นริมทะเลสาบอีกครั้ง ทอดกายปล่อยใจไปกับธรรมชาติสวยงามตรงหน้า ภาพเรือใบในทะเลสาบทำให้ฉันนึกถึงภาพที่เคยเห็นจากโทรทัศน์ เป็นภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงเรือใบและกรรเชียงเรือเล่นในทะเลสาบแห่งนี้ ภาพที่พระองค์ทรงพระเกษมสำราญผุดขึ้นมาในใจทำให้ฉันมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าและรู้สึกอิ่มเอมใจที่ครั้งนึงในชีวิตได้มีโอกาสมาตามรอยพระบาทพระองค์ที่นี่

Geneva 0148

เจนีวา เมืองสุนทรีย์แห่งสวิตเซอร์แลนด์
เจนีวาเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถึงแม้จะทันสมัยสู้เมืองใหญ่อื่นๆ ในยุโรปไม่ได้ แต่เจนีวาก็มีชื่อเสียงเพราะมีองค์กรสำคัญมาตั้งศูนย์บัญชาการหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์การสหประชาชาติ องค์การสันนิบาตชาติ องค์การกาชาดสากล องค์การอนามัยโลก องค์การการค้าโลก และสหภาพแรงงานโลก นับว่าเมืองเจนีวามีบทบาทและได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลกทีเดียว

Geneva 0086

เดินออกจากสถานีรถไฟ Gare de Cornavin ฉันเดินมาบนถนนมงบล็อง (Mont-Blanc) มีร้านและบริษัทนาฬิกาตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด สมกับเป็นเมืองนาฬิกาจริงๆ จากนั้นข้ามสะพานมงบล็องไปยังเขตเมืองเก่า สะพานที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์งามๆ ของเจนีวาได้แจ่มชัดมาก เจนีวามีกลิ่นอายของความเป็นฝรั่งเศสลอยฟุ้งอยู่ทั่วเมือง วิถีชีวิตที่นี่ดูคล้ายไปทางเมืองน้ำหอมมากกว่าสวิตเซอร์แลนด์เสียอีก

Geneva 0024

ผู้คนแถวนี้ก็ข้ามชายแดนข้ามทะเลสาบไปมาหากันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะชาวสวิสที่ชอบข้ามไปช้อปปิ้งในฝั่งฝรั่งเศสเพราะค่าครองชีพที่ถูกกว่า ทะเลสาบเจนีวาเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมือง บริเวณโดยรอบทะเสสาบเต็มไปด้วยสวนสาธารณะและสวนหย่อมที่สวยงาม เจนีวายังมีพื้นที่เขตเมืองเก่าที่มีตรอกซอกซอยที่มีความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ รวมถึงวิหารเซนต์ปิแอร์ (St. Peter’s Cathedral) ซึ่งมีอายุมากกว่า 850 ปี มีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ต่างๆ ให้เที่ยวชม

Geneva 0085

ฉันเดินเตร็ดเตร่ไปตามทางเดินเลียบทะเลสาบ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เมืองใกล้น้ำมักจะมีบุคลิกสวยหวาน อ่อนโยน นุ่มนวล ทำให้ผู้คนรู้สึกเบิกบานใจ ผู้คนที่นี่มีอิริยาบถสบายๆ ออกมาเดินเล่นให้แดดกอดช่วยผ่อนคลายความหนาว ดูหงส์และเป็ดน้อยที่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ในบริเวณนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่าน้ำพุเจ็ทโด (Jet d’Eau) น้ำพุชื่อดังที่สูงถึง 140 เมตร อัตราของน้ำพุ่งออกมาคือ 500 ลิตรต่อวินาที มีความแรงประมาณ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Geneva 0016

ประวัติของน้ำพุเจ็ทโดก็น่าสนใจ โดยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมืองเจนีวาได้สร้างเขื่อนเก็บน้ำ และสร้างน้ำพุเพื่อลดแรงกดดันของกระแสน้ำ แต่ปรากฏว่าน้ำพุได้รับความนิยม จากผู้คนที่ผ่านไปมา จนทางเมืองได้สร้างน้ำพุที่ถาวรขึ้นเป็นน้ำพุเจ็ทโด ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเจนีวาไปแล้ว ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ น้ำพุ จนละอองน้ำสาดส่งลงมาจนตัวเริ่มเปียกปอน เด็กน้อยผมทองข้างๆ หัวเราะอย่างมีความสุขที่เห็นฉันตัวเปียกเหมือนเขา บางครั้งชีวิตคนเราก็หาความสุขได้ง่ายๆ อย่างนี้เอง

Montreux 201

มองเทรอซ์ เมืองแห่งปราสาทสวยริมทะเลสาบเจนีวา
เมืองมองเทรอซ์ เมืองเล็กแสนน่ารักที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวาที่เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มีเสน่ห์ของธรรมชาติขุนเขาและท้องทะเลสาบใส มองเทรอซ์นั้นยังมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวที่หลงใหลเสียงดนตรีด้วยเพราะที่นี่ มีเทศกาลระดับโลกอย่าง Montreux Jazz Festival ซึ่งจัดในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคมของทุกปี

Chillon 1382

จุดหมายหลักที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมเมืองนี้คือ ปราสาทชิยง (Castle of Chillon หรือ Château de Chillon) ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นปราสาทโบราณที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในสวิตเซอร์เเลนด์เลย

Chillon 1390

ฉันนั่งรถเมล์สาย 1 จากตัวเมืองมองเทรอซ์ เพียง 20 นาที ก็มาถึงหน้าปราสาทชิยง ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทหินที่อยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่รายรอบแต่อย่างใด โดยตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้ถือเป็นที่ตั้งชั้นเยี่ยม เพราะเป็นที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ในการควบคุมเส้นทางการเดินทาง ระหว่างยุโรปทางเหนือและทางใต้

Chillon 1378

ในสมัยอดีตปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดควบคุมการเดินทางของนักเดินทางและขบวนสินค้าที่จะสัญจรผ่านไปมา โดยสร้างขึ้นในช่วงสมัยของราชวงศ์ซาวอย (SAVOY) ปราสาทชิยงนับว่าเป็นปราสาทยุคกลางที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปีเลยทีเดียว ซึ่งถือได้ว่าเป็นอัญมณีทางประวัติศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์ก็ว่าได้

Chillon 1362

เมื่อเข้าไปในตัวปราสาท ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปสู่อดีตเหมือนได้ย้อนยุคไปในหลายศตวรรษก่อนเลยทีเดียว หากต้องการเจาะลึกรายละเอียดและเรียนรู้ประวัติของปราสาทแห่งนี้ ขอแนะนำให้เช่า Audio guide ซึ่งจะช่วยให้เราได้รับอรรถรสในการเข้าชมปราสาทมากขึ้น ในปราสาทแบ่งเป็นหลายส่วนด้วยกัน

Chillon 1372

ส่วนแรกคือป้อมปราการ ที่ยังคงอยู่ในสภาพพร้อมที่จะป้องกันการโจมตีได้ตลอดเวลา ส่วนถัดมาเป็นห้องโถงใหญ่ ในห้องนี้เราสามารถเห็นความงดงามของภูมิทัศน์อันแสนมหัศจรรย์ของทะเลสาบเจนีวาผ่านกระจกของห้อง ในอดีตห้องนี้ถูกใช้ในการจัดงานเลี้ยงอันหรูหราของราชวงศ์ซาวอย จากนั้นเข้าไปชมห้องนอนที่ภายในห้องมีเตียง 4 เสา ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง อีกด้านเป็นห้องน้ำส่วนตัว จากนั้นไปชมห้องอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของตัวปราสาท นั่นคือหอสวดมนต์ ซึ่งอยู่ในวิหารหลังเล็กที่เป็นอาคารทางศาสนาที่นับว่าหาดูได้ยากมากในปัจจุบัน ภายในถูกตกแต่งด้วยภาพเขียนในยุคศตวรรษที่ 14

Chillon 1320

สุดท้ายเดินลงไปในส่วนของห้องใต้ดิน มีการเล่าขานกันว่าห้องใต้ดินแห่งนี้มีตำนานต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย บรรยากาศในห้องดูลึกลับช่วยกระตุ้นจินตนาการของผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

MINOLTA DIGITAL CAMERA

โดยตำนานที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ก็คือเรื่องราวการจำคุกของฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด (François Bonivard) ซึ่งเป็นที่มาของบทกวีที่มีชื่อเสียงอย่าง “นักโทษแห่งชิยง” (The Prisoner of Chillon) ผลงานชิ้นเอกของยอดกวีแห่งอังกฤษลอร์ดไบรอน

Chillon 1360

ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเพ้อฝันและการแสวงหาเสรีภาพของยุคโรแมนติก ในศตวรรษที่ 19 ยุคโรแมนติกกำลังเฟื่องฟู มีกวีหลายคนได้เยี่ยมเยียนปราสาทชิยงแห่งนี้ โดยแต่ละคนกลับออกไปพรรณนาเป็นทั้งข้อเขียนและบทกวีต่างๆ มากมาย

Chillon 1346

เรื่องราวของโบนิวาร์ดผู้ที่เป็นทั้งนักบวชและนักการเมืองเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ให้เจนีวาเป็นอิสระจากซาวอย เขาจึงถูกจับล่ามโซ่ตรึงเข้ากับเสาต้นที่ 5 ในคุกใต้ดินแห่งนี้ โบนิวาร์ดได้เป็นอิสระหลังจากที่กองทัพสวิสได้มายึดอำนาจจากซาวอยและกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความรักชาติยิ่งชีพ

Chillon 1323

ที่เจนีวา เรื่องราวของโบนิวาร์ดช่างจับใจลอร์ดไบรอนหลังจากได้เห็นสภาพคุกที่เคยขังฮีโร่ของเขา จนนำไปแต่งบทกวีชื่อดังนี้ ลอร์ดไบรอนยังสลักชื่อของเขาเองลงบนเสาต้นที่ 3 ในคุกจนกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ลงไปผจญภัยในคุกใต้ดินที่ทั้งเย็นและมืดสลัว ซึ่งทางปราสาทจัดแสดงติดกรอบรอบชื่อไว้เป็นอย่างดี

RocherDeNaye 173

นั่งรถไฟไต่เขา ชมวิวสวยของสวิสริเวียร่า
นอกจากบรรยากาศแสนสวยริมทะเลสาบแล้ว สวิสริเวียร่ายังเป็นดินแดนแห่งขุนเขาที่เราสามารถเดินทางไปชมภาพความสวยงามของธรรมชาติได้หลายจุด ฉันได้แรงบันดาลใจมาจากภาพถ่ายที่ติดอยู่บนโต๊ะทำงานของเพื่อนร่วมงานชาวมองเทรอซ์คนหนึ่ง เป็นภาพถ่ายใบใหญ่ที่เห็นบรรยากาศเมืองต่างๆ ริมทะเลสาบจากมุมสูงมาจากยอดเขาโรเชอเดอเนย์ (Rocher de Naye) สามารถนั่งรถไฟ Golden Pass Panorama สาย Montreux – Rochers de Naye ที่จะไต่ขึ้นยอดเขาสูง 2,042 เมตร ใช้เวลาเดินทางถึงยอดเขา 45 นาทีจากสถานีรถไฟมองเทรอซ์ รถไฟเส้นนี้เป็น Cog railway หรือรถไฟรางเฟืองแบบโบราณ

Chillon 1363

ตลอดเส้นทางสูงชันเราจะได้เห็นวิวทะเลสาบเจนีวาและยอดเขาแอลป์แสนสวย ไม่ว่าจะนั่งฝั่งไหนก็จะเห็นวิวสวยทั้งสองด้าน พอรถแล่นสูงขึ้นวิวก็ยิ่งสวย เมื่อถึงยอดเขาโรเชอเดอเนย์เหมือนได้หลุดออกไปอีกโลกหนึ่ง อากาศบริสุทธิ์ ลมหนาว และแดดอุ่นให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ ฉันออกเดินเล่นไปตามเส้นทางเทรคกิ้งบนเขา ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงยังได้เห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยต้นไม้และทุ่งหญ้าสีเขียว ดอกหญ้าบนยอดเขายังพอมีให้ได้ชมอยู่บ้าง หากเป็นช่วงฤดูหนาวที่นี่จะกลายเป็นภูเขาหิมะขาวโพลน เปลี่ยนจากบรรยากาศชวนเทรคกิ้งเป็นอยากสวมชุดสกีออกไปลุยหิมะ บนยอดเขานี้ยังมีที่พักในบรรยากาศแบบมองโกเลียสำหรับคนที่ต้องการลองประสบการณ์ใหม่ๆ อีกด้วย

RocherDeNaye 137

ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาบนยอดเขาที่มีการแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์และพืชพรรณในพื้นที่ ฉันเดินไปทักทายหนูพันธุ์มาร์ม็อท (Marmot) ซึ่งที่นี่มีมากมายหลายสปีชีส์ ฉันเดินฝ่าลมหนาวที่พัดปะทะหน้าให้รู้สึกชาเบาๆ เพื่อได้ชมวิวเมืองและทะเลสาบแสนสวยด้านล่าง ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หลากหลาย เส้นทางเทรคกิ้งบนยอดเขานี้ก็เดินง่ายและสะดวกสบาย เหมาะสำหรับคนที่ชอบชมวิวสวยจากมุมสูงโดยที่ไม่ต้องผจญภัยมากนัก

RocherDeNaye 179

ความประทับใจของฉันที่มีต่อรถไฟสาย Rochers de Naye นี้ คือเป็นเส้นทางที่เดินทางง่าย สะดวกสบาย ใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่วิวที่ได้เห็นสวยงามและคุ้มค่ามากๆ นับเป็น Unseen Switzerland ซึ่งเชื่อว่าคนไทยน้อยคนนักที่จะรู้จักสถานที่แห่งนี้

Lavoux 004

ลงมาจากยอดเขาโรเชอเดอเนย์ ฉันกลับลงมาเดินเล่นริมทะเลสาบในตัวเมืองมองเทรอซ์ บรรยากาศในวันหยุดพักผ่อนชวนให้ผ่อนคลาย ก่อนเดินทางกลับไปยังที่พักที่เมืองเวเวย์ (Vevey) เมืองเล็กริมทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลจากมองเทรอซ์โดยการนั่งเรือเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศชมวิวสวิสริเวียร่าในมุมจากทะเลสาบบ้าง จนถึงวันนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่า เพราะสีครามของท้องน้ำ สีขาวของหิมะ หรือสีเขียวของต้นหญ้าที่แซมด้วยสีสันมากมายจากดอกไม้นานาพันธุ์ ที่ทำให้ภาพของ “สวิตเซอร์แลนด์” กลายเป็นดินแดนแห่งความฝันของผู้คนเกือบค่อนโลก

Montreux 056

แต่สำหรับคนไทยตัวเล็กๆ อย่างฉัน สถานที่นี้เป็นดินแดนที่ใฝ่ฝัน เพราะเชื่อว่าคนไทยเราต่างอยากมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเมืองที่ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จประทับเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ฉันรู้สึกภาคภูมิใจที่ทำความฝันให้เป็นจริงได้ และนับเป็นบุญยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยได้มีโอกาสได้ตามรอยพระบาทของในหลวง

Lavoux 002

แม้วันนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงในดวงใจของฉันจะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ฉันจะขอน้อมนำพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่านมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไป มีคำสอนหนึ่งที่ฉันใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเดินทางตลอดมา นั่นก็คือ “ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องรู้ให้จริง ลงมือทำด้วยตัวเองหรือเดินทางไปเห็นด้วยตาของตัวเอง” คำสอนนี้ทำให้ทุกครั้งที่ฉันเดินทาง ฉันรู้จักเปิดใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ และนำความรู้นั้นมาเปลี่ยนมุมมอง พัฒนาความคิดและทัศนคติในการดำเนินชีวิต

ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ทุกการเดินทางและบนเส้นทางของชีวิต

ธ สถิตย์ในดวงใจตลอดกาล

ข้อมูลเพิ่มเติม
– ดินแดนสวิสริเวียร่าก็เหมือนเมืองต่างๆ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีทั้งรถเมล์ รถราง รถไฟและเรือให้บริการอย่าง  สะดวกสบาย คลิกดูตารางการเดินทางได้ที่ www.rail.ch และ www.sbb.ch
– ข้อมูลเพิ่มเติมเมืองโลซานน์ www.lausanne-tourisme.ch
– ข้อมูลเพิ่มเติมเมืองเจนีวา www.geneva-tourism.ch หรือ www.geneva.info
– เส้นทางรถไฟสวยๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ www.goldenpass.ch
– อยากอยากเปลี่ยนบรรยากาศล่องเรือชมวิวเมืองต่างๆรอบทะเลสาบเจนีวา ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและเส้นทางเดินเรือ ที่ www.lake-geneva-switzerland.com
– นอกจากนี้สวิสริเวียร่ายังมีชื่อเสียงด้านไร่องุ่นริมทะเลสาบที่เป็นมรดกโลก ข้อมูลเพิ่มเติมที่
www.myswitzerland.com/en/lavaux-vineyard-terraces-the-swiss-wine-route.html

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0