7 places I miss

เรื่องโดยทีมงาน Vacationist

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา วิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การเดินทางทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศทุกช่องทางหยุดชะงัก ส่งผลให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างมาก หลายคนต้องเก็บตัวอยู่บ้านเป็นเดือนๆ เชื่อว่าหลายๆ คนคิดถึงการท่องเที่ยวไม่มากก็น้อย แต่จะออกไปท่องเที่ยวตอนนี้ก็ยังไม่ปลอดภัยนัก อย่างที่รู้กันว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่สามารถควบคุมได้ เพื่อจุดประกายให้คิดถึงและกระตุ้นการท่องเที่ยว พร้อมทั้งส่งต่อความทรงจำและความประทับใจที่มีกับการเดินทาง ในช่วงครบรอบของนิตยสารปีนี้ เราขอนำสถานที่ที่หลายคนคิดถึงมาฝากเพื่อเป็นข้อมูล ถ้าสถานการณ์คลี่คลายลง เราจะได้เดินทางได้อย่างสนุกสนาน

ญี่ปุ่น ภูเขาไฟที่สวยงาม

ด้วยความสูงกว่า 3,776 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดยะมะนะชิ (Yamanashi) และชิซุโอะกะ (Shizuoka) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ภูเขาไฟฟูจิ หรือ ฟูจิซัง ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันนั้น (เพื่อยกย่องให้เกียรติแก่ชาวไอนุ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่นับถือฟูจิเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คำว่าฟูจิ ในภาษาไอนุ แปลว่า ไฟ) ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์และสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวนึกถึงหากพูดถึงคำว่า “ญี่ปุ่น” ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเราจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากโยโกฮาม่าและโตเกียว (เคยเห็นจากฝั่งโยโกฮาม่ามาแล้ว) สวยงามและสง่างามสมกับที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มิถุนายน 2556 จริงๆ

ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมเดินทางมาเที่ยวที่ภูเขาไฟนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต เนื่องจากชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกคือเทพเจ้า จึงนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่ภูเขาไฟตั้งแต่สมัยโบราณกาล ไม่ต่างอะไรกับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนที่เดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรก มักจะใส่ภูเขาไฟฟูจิไว้ในจุดหมายปลายทางเสมอ สำหรับบริเวณใกล้เคียงภูเขาไฟฟูจิ เราสามารถแวะเที่ยวทะเลสาบทั้ง 5 (Fuji-Goko) ได้แก่ ทะเลสาบคาวางุจิโกะ, ทะเลสาบยะมะนะกะโกะ, ทะเลสาบโมโตสุโกะ, ทะเลสาบโชจิโกะ, ทะเลสาบไซโกะ ได้ สำหรับตัวภูเขาไฟเอง สามารถเดินทางโดยรถยนต์ขึ้นไปได้ถึง “ชั้นที่ 5” และในช่วงฤดูร้อนของทุกปีมีการเปิดให้เดินขึ้นไปถึงยอดเขาได้

เราสามารถชื่นชมความสวยงามของภูเขาฟูจิในระยะใกล้ จากหลากหลายสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น เส้นทางเดินเล่นทางทิศเหนือริมทะเลสาบคาวางุจิโกะ ซึ่งสามารถเดินทางได้โดยการนั่งรถบัสรอบเมืองสายสีแดงที่ตรงสถานีคาวางุจิโกะ และไปลงตามจุดต่างๆ เช่น ป้ายรถประจำทางพิพิธภัณฑ์ศิลปะคาวางุจิโกะ, ป้ายรถประจำทางโรงละครลิงคาวางุจิโกะ/พิพิธภัณฑ์ศิลปะโคะโนะฮานะ, ป้ายรถประจำทางศูนย์สัมผัสธรรมชาติคาวางุจิโกะ เป็นต้น

อีกหนึ่งจุดชมวิวที่หลายคนนิยมไปกันคือ บริเวณเจดีย์แดง 5 ชั้น ชูเรโต (Chureito Pagoda) ที่มีเจดีย์สีแดง 5 ชั้นเป็นฉากหน้า ฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิแสนสวย ในเมืองฟูจิโยชิดะ จังหวัดยะมะนะชิ เจดีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะอาราคุรายามะเซ็นเก็น (Arakurayama Sengen Park) ใกล้กับทะเลสาบยะมะนะกะโกะ (Lake Yamanakako) และทะเลสาบคาวางุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) แม้จะต้องดั้นด้นเดินขึ้นบันไดร่วม 500 ขั้นก็ตาม แต่ไม่ว่าคุณเดินทางมาช่วงไหนภาพความสวยงามนี้ก็พร้อมเสิร์ฟคุณ ทั้งดอกซากุระในยามฤดูใบไม้ผลิ หรือใบไม้สีแดงในยามฤดูใบไม้เปลี่ยนสี อีกทั้งการเดินทางไปยังจุดนี้ค่อนข้างสะดวกเมื่อมาจากโตเกียว เพราะมีรถบัสวิ่งตรงจากใจกลางโตเกียวอย่างชินจุกุมาถึง โดยขึ้นสายชินจุกุ-ฟูจิโกะโก (Shinjuku-Fujigoko) ที่สถานีรถบัสชินจุกุ (Shinjuku Bus Terminal) จากนั้นลงที่ป้ายรถบัสชิโมะโยชิดะได้เลย

นอกจากนี้เรายังสามารถชมภูเขาไฟฟูจิได้จากอีกหลายมุมของจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ เชื่อว่าภูเขาไฟฟูจินั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ ที่ทุกคนคิดถึงเมื่อพูดถึงอย่างแน่นอน

ไต้หวัน สวรรค์ของนักชิม

“ชานมไข่มุก” เมนูแรกที่วิ่งรี่เข้ามาในหัว หากพูดถึงคำว่าไต้หวัน ตามด้วยเต้าหู้เหม็น หม้อไฟ หรือสุกี้ชาบู ชาบู สูตรไต้หวัน หมึกทอดตัวโต ไส้กรอกยักษ์ ไก่ทอดชิ้นยักษ์และอีกมากมาย ไต้หวันนั้นถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักชิม นักกิน (รวมไปถึงนักช้อป)

ด้วยการเดินทางที่แสนสะดวกสบาย ค่าครองชีพ อัตราแลกเปลี่ยน ก็ไม่ต่างจากเมืองไทยนัก สามารถจับจ่ายใช้สอย และกินเพลินจนลืมนึกถึงน้ำหนัก กันเลย อาหารไต้หวันเองก็มีหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีตลาดกลางคืน (Night Market) ที่สามารถสะกดสายตา และปากท้องของคนทั่วโลกเอาไว้ได้

เฉพาะเมืองท่องเที่ยวอย่างที่ไทเป (Taipei) ก็มีตลาดกลางคืนให้เหล่านักชิมไปลิ้มลองกันเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น ตลาดซื่อหลิน (Shilin Tourist Night Market) ที่มีอาหารน่าสนใจ ซาลาเปาอบโอ่ง น้ำไข่กบ มันฝรั่งชีส ไส้กรอกยักษ์ เต้าหู้เหม็น และโมจิทอด เป็นต้น นั่งรถไฟ Tamsui-Xinyi Line สายสีแดงมาลงที่สถานีรถไฟ Jiantan ทางออก 1 ข้ามถนน ก็เจอเลยกับตลาดกลางคืนไต้หวัน นั่นคือ ตลาดซีเหมินติง (Ximending Night Market) ย่านช้อปปิ้งขนาดใหญ่ในไทเป

เป็นตลาดกลางคืนอันดับหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเลยก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงแต่ร้านอาหารที่มีมากมาย ครบทุกรูปแบบ ซีเหมินติงมีร้านค้ามากมาย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นหมวก เครื่องประดับ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่สำคัญราคาถูกมาก ใครที่มองหาชานมไข่มุกไต้หวันร้านดัง มาที่นี่ได้เลย มีโรงแรมที่พักที่ตั้งอยู่ในซีเหมินติงหลายเจ้า สามารถกิน เดิน ช้อป กลับโรงแรมเอาของไปเก็บแล้วกลับมาเพลิดเพลินต่อตั้งแต่หัวค่ำยันเที่ยงคืนกันได้เลย แต่ถ้าใครพักโซนอื่นสามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Ximen ออกทางออก 6 ก็จะเจอสวรรค์ของนักกิน นักช้อปแห่งนี้ได้

อีกหนึ่งเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่างทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake) อย่างเมืองไถจง หรือไทจง (Taichung) เองก็มีตลาดกลางคืนขนาดใหญ่อย่าง ตลาดฝงเจี่ย (Fengchia Night Market) ที่พร้อมเสิร์ฟอาหารหลากหลายรูปแบบให้เรา อย่างเช่น หลู่เว่ย (Lu Wei) การต้มของที่เราเลือกจากในถาดแล้วนำมาต้มคล้ายๆ น้ำพะโล้บ้านเรา จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงรส เช่นซอสถั่วเหลือง พริกไทย ผักกาดดองสับ ถ้าชอบกินเผ็ดก็จะใส่พริกสดเข้าไปได้ หรือจะเลือกกินของหวานอย่างน้ำแข็งไส เนื้อละเอียดราวกับเกล็ดหิมะ มีทอปปิ้งอย่างถั่วแดง, โมจิ หรือผลไม้ต่างๆ ละก็แนะนำร้านนี้เลย ร้าน 幸發亭 Xing Fa Ting เป็นร้านเก่าแก่ชื่อดังของเมืองไถจงเปิดมากว่า 80 ปีเเล้ว และเนื่องจากตลาดตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยฝงเจี่ย นอกจากจะมีร้านขายอาหารมากมายนับร้อยในราคาย่อมเยาแล้วยังเป็นแหล่งช้อปปิ้ง เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง ในราคานักศึกษาอีกด้วย

ต่อไปที่เกาสง (Kaohsiung) เมืองท่าขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของไต้หวัน ที่ได้รับขนานนามกันว่า “นครแห่งการเทียบท่าของไต้หวัน” ก็มีตลาดกลางคืนที่ขึ้นชื่ออย่างตลาดหลิ่วเหอ (Liuhe Night Market) ที่มีไฮไลต์อย่างอาหารทะเลสดๆ ทั้ง ปู กุ้ง ปลาและหมึก ก้ามปูยักษ์ ล็อบสเตอร์ตัวโตๆ ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีโต๊ะที่นั่งไว้คอยบริการ และที่ห้ามพลาดหากมาตลาดนี้คือ ไส้กรอกหมูย่าง (สีแดง) ที่วางไว้บนไส้กรอกข้าว (สีขาว) นมมะละกอหรือนมผลไม้อื่นๆ นั่งรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานี Formosa Boulevard เดินมุ่งหน้าสู่ถนน Zhongshan 1st

เกาหลีใต้ โลเกชั่นซีรีส์

ต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมหนึ่งของเกาหลีที่กำลังรุกตลาดทั่วโลกได้เป็นอย่างดีคือ ซีรีส์เกาหลีและเพลงเคป๊อป ซึ่งการสื่อสารในแนวทางนี้สามารถส่งผ่านวัฒนธรรมเกาหลีไปยังผู้บริโภคทั่วโลกได้เป็นอย่างดี หลายคนรู้จักและรับรู้ความเป็นเกาหลีมากขึ้น รู้จักคำว่า “โอปป้า” “ออนนี่” รู้จัก “กิมจิ” “ต๊อกป๊อกกี” และอีกหลายอย่างผ่านทางซีรีส์เกาหลี และทำให้เกิดความชื่นชอบในความเป็นเกาหลี ส่งผลให้ติดตามการเรียนรู้ภาษา อาหาร การแต่งกายแบบเกาหลี รวมไปถึงการเดินทางท่องเที่ยวเกาหลี โดยเฉพาะสถานที่ที่เป็นที่ถ่ายทำซีรีส์ต่างๆ มากขึ้น มีหลากหลายสถานที่ที่ทำให้เรานึกถึงในสถานการณ์ที่เดินทางไปไม่ได้เช่นนี้ เช่น โซล (Seoul) เมืองหลวงของเกาหลี จุดหมายหลักที่นักท่องเที่ยวเดินทางไป สถานที่หลายสถานที่เป็นจุดถ่ายทำซีรีส์และวาไรตี้เกมโชว์ ไม่ว่าจะเป็น โซลทาวเวอร์ (Seoul Tower) หรือ N Seoul Tower ชื่อที่ได้รับการ renovate ใหม่ปี 2005 โดย N ที่เพิ่มขึ้นมานั้นย่อมาจาก new look หรือรูปแบบใหม่ หอคอยที่ไม่ว่าอยู่มุมไหนของ เมืองก็สามารถมองเห็น เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหลายคน คิดถึง หรือย่านหมู่บ้านบุกชอนฮันอก (Bukchon Hanok Village) บ้านเรือนเก่าแก่แบบเกาหลีโบราณไว้ หรือที่เรียกว่า “ฮันอก” ก็เป็นอีกจุดที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการสัมผัสกลิ่นอายของเกาหลีในยุคเก่าแก่ รวมถึงร้านกาแฟเก๋ๆ ด้วย

ข้ามไปเมืองท่าอย่างปูซาน (Busan) สำหรับคอซีรีส์คงเคยได้ยินชื่อปูซานจากภาพยนตร์เรื่อง Train to Busan แม้ในภาพยนตร์จะไม่ได้มีการอธิบายตัวเมืองมากนัก แต่ทำให้เรารู้ว่าจากเมืองหลวงโซลไปถึงปูซานนั้นไม่ยากมากนัก สถานที่ท่องเที่ยวที่เหล่าคอซีรีส์และนักท่องเที่ยวมักจะแวะไปให้ได้ ก็คงหนีไม่พ้นหมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอน (Gamcheon Culture Village) ภาพของหมู่บ้านที่มีสีพาสเทลราวกับลูกกวาดหลากสีไล่เรียงสลับไปลงมาตามเนินเป็นภาพที่สวยงามแปลกตาที่นี่นอกจากจะเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์แล้วยังเป็นที่นิยมของรายการวาไรตี้ด้วยเช่นกัน หรือที่ถ้าใครอยากได้วิวทะเลทุกคนต้องนึกถึงที่นี่ Ananti Cove โรงแรมหรูติดทะเลที่นอกจากเป็นที่พักแล้วยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมายทั้ง บ่อน้ำพุร้อน ร้านอาหาร คาเฟ่ โดยเฉพาะร้านหนังสือ Eternal Journey ที่กว้างมากราวกับเป็นห้องสมุด ใกล้ๆ นั้นก็มีสวนสาธารณะริมชายหาดอยู่ด้วย ไปเดินชมวิวถ่ายรูปชิกๆ มีฉากหลังเป็นโรงแรมสวยๆ ก็เก๋ดีไม่หยอก

อีกหนึ่งเมืองที่ได้ชื่อว่าสุดแสนโรแมนติก จนได้รับเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเกาหลีมากมายหลายเรื่อง ก็คือเมืองแดกูหรือแทกู ภาพของมหาวิทยาลัยคเย มยอง วิทยาลัยแทกู (Keimyung University – Daemyung Campus) ซึ่งเป็นอาคารทรงยุโรป พร้อมบันไดสูงทอดสู่อาคารเป็นภาพที่คุ้นตาเป็นอย่างมาก ยิ่งเวลาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่เป็นสถานที่ที่นึกถึง ยามที่พูดถึงเกาหลี เพราะบรรยากาศสวยงามมาก เช่นเดียวกับคอซีรีส์แนวโบราณ ก็ต้องนึกถึงหมู่บ้านอินฮึง (Inhueng Village) หมู่บ้านที่มีบ้านเรือนทรงโบราณที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลเก่าแก่อย่างตระกูลมุน (Mun) เป็นสถานที่ถ่ายทำละครย้อนยุคได้เป็นอย่างดี ล่าสุดที่เห็นคือละคร Moon Lovers: Scarlet Heart Ryeo ละครแนวอิงประวัติศาสตร์ โรแมนติก แฟนตาซี ที่นางเอกหลุดไปสู่โลกในอดีตก็เลือกที่นี่เป็นโลกของอดีตในละครเช่นกัน ยิ่งช่วงนี้มีเวลาดูซีรีส์เกาหลีมากขึ้นเท่าไรยิ่งคิดถึงสถานที่ถ่ายทำเหล่านี้มากขึ้น หวังว่าคงจะได้กลับไปอีกในสักวัน

สวิตเซอร์แลนด์ ขุนเขาและทะเลสาบ

ถ้าพูดถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สิ่งแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร ภาพยอดเขา Matterhorn ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ภาพวิวสีเขียวธรรมชาติสวยๆ นาฬิกาดีๆ สักเรือน หรือถ้าเป็นสายกินก็ต้องนึกถึงชีสและฟองดูเป็นแน่ ยิ่งในช่วงที่บรรยากาศครึ้มๆ ภาพของท้องฟ้าสีครามสวยของสวิตฯ ลอยขึ้นมาทีเดียว สำหรับเราพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์แล้วเมืองแรกที่นึกถึงเซอร์แมท (Zermatt) เมืองเล็กบนเทือกเขาแอลป์ในรัฐวาเล ที่สามารถเดินเที่ยวได้อย่างไม่เหนื่อยมากนัก ชิลๆ สบายๆ จนหลายคนตกหลุมรักและยกให้เป็นสถานที่สุดโปรด

เซอร์แมทมีชื่อเสียงด้านการปีนเขาและเป็นที่ตั้งของสกี รีสอร์ตที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ มาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ที่นี่ใช้รถแบตเตอรี่ จักรยาน และเดินเท่านั้น ดังนั้นรับประกันเรื่องของบรรยากาศอันแสนบริสุทธิ์ การเดินทางไปเซอร์แมทนั้น เราขอแนะนำให้นั่งรถไฟสายโรแมนติกที่สุดอย่าง กลาเซียร์เอ็กซ์เพรส (Glacier Express) ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมง คุณจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติของภูเขาสูงของเทือกเขาแอลป์ ทุ่งหญ้า บ้านทรงชาเลต์ สายน้ำธรรมชาติที่งดงามจนถึงเมืองเซอร์แมท แค่นึกถึงก็ฟินจนบอกไม่ถูก จากเซอร์แมท เราสามารถนั่งเคเบิลคาร์ Matterhorn Express Gondola จากสถานี Zermatt ZBAG-Iz ทางใต้สุดของเซอร์แมท เพื่อไปต่ออีก 2 สถานี จนถึงสถานีปลายทาง Klein Matterhorn (Matterhorn Glacier Paradise) สถานีเคเบิลคาร์ที่สูงที่สุดในยุโรปที่ระดับความสูง 3,820 เมตร และเป็นจุดสูงสุดของเขตสกี Zermatt-Cervinia ในสวิตเซอร์แลนด์ จุดที่เราจะได้ชื่นชมความสวยงามของ ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ต้นแบบของโลโก้ช็อกโกแลต Toblerone ได้อย่างเต็มตา

อีกยอดเขาที่นึกถึงเวลาพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ สถานที่ที่เรียกว่าเป็น Top of Europe กับยอดเขายุงเฟรา (Jungfraujoch) เป็นส่วนหนึ่งในเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่ในรัฐแบร์นที่มีถ้ำน้ำแข็ง ว่ากันว่าไม่เคยละลาย ความสวยงามของสองข้างทาง ระหว่างที่นั่งรถไฟขึ้นไปนั้น เหนือคำบรรยายจริงๆ เชื่อว่าหลายคนคงคิดถึงบรรยากาศ นั้นเป็นแน่ ไม่ไกลกัน เมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ทุ่งหญ้า และ 2 ทะเลสาบอย่าง ทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) และทะเลสาบทูน (Lake Thun) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่หลายคนนิยมเดินทางไปกัน อินเทอร์ลาเคนมีเอกลักษณ์อย่างบ้านแบบสวิสหรือที่เรียกกันว่าชาเลต์น้อยใหญ่อยู่ทั่วไป และแต่ละชาเลต์ก็จะมีปลูกดอกไม้ น่ารักมาก ตรงบริเวณสวนสาธารณะใจกลางเมืองมองไปก็จะเห็นทิวทัศน์ ของภูเขาไอเกอร์ (Eiger), เมิ้นส (Mönch) และยุงเฟรา (Jungfrau) ได้อย่างถนัดตา แม้ว่าปัจจุบันภาวะโลกร้อน ทำให้หลายที่ที่มีบรรยากาศดีๆ น่าอยู่ถูกทำลายไปทีละจุด แต่เมืองอินเทอร์ลาเคนแห่งนี้ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติให้เราได้คิดถึงยามที่เหนื่อยอยู่เสมอ

เยอรมนี ประเทศแห่งปราสาท

ปราสาท คือสิ่งก่อสร้างที่ใช้ในการป้องกันข้าศึกซึ่งเป็นสัญลักษณ์หลักของสมัยกลาง สิ่งก่อสร้างที่เป็นที่มาของปราสาทคือป้อมโรมัน (Roman fort) และป้อมเนิน (Hill fort) ที่สร้างกันทั่วยุโรปที่มาจากคริสต์ศตวรรษที่ 9 ในสมัยจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ปัจจุบันประเทศในแถบยุโรปมีปราสาทมากมายในหลายประเทศ ปราสาทที่มีในยุคโบราณนอกจากจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นเหมือนปราการขนาดใหญ่ที่สามารถกันภัยแก่ผู้เป็นเจ้าของได้ด้วย

ยกตัวอย่างประเทศเยอรมนี ประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ วิหาร และปราสาท พระราชวังต่างๆ ก็มีมากมาย ล้วนแล้วแต่มีประวัติความเป็นมาและความสวยงาม ปราสาทแรกที่เราคิดถึงก็ต้องเป็นปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle) ปราสาทที่แทบทุกคนน่าจะรู้จัก เพราะเป็นปราสาทต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในศตวรรษที่ 19 พระองค์ มีพระประสงค์สร้างปราสาทที่งดงามตามที่ ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) นักประพันธ์ชื่อดังแห่งยุคและเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าลุดวิก ได้บรรยายเอาไว้ในนิยาย “อัศวินหงส์” (Swan Knight) ซึ่งกลายเป็นที่มาของการเรียกปราสาทแห่งนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า “ปราสาทหงส์” (Swan Castle) ด้วยความสวยงามของปราสาททั้งภายนอก ภายในและวิวรอบๆ เป็นที่เลื่องลือและใครๆ ก็ต้องนึกถึง

อีกหนึ่งปราสาทที่นึกถึง คือปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle) ปราสาทเก่าในเมืองไฮเดลเบิร์ก ตั้งอยู่บนเชิงเขาเหนือแม่น้ำเน็กคาร์ ประเทศเยอรมนี หนึ่งในสิ่งก่อสร้างจากยุคเรเนซองส์ที่สำคัญที่สุดในตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ที่มีอายุมากกว่าพันปีแห่งนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่หากมาเมืองไฮเดลเบิร์กแล้วต้องแวะ เนื่องจากที่นี่ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่สูง ทำให้มองเห็นได้แต่ไกล บวกกับความงามแบบคลาสสิกท่ามกลางป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าฤดูกาลไหนก็สวยงามแตกต่างกันทำให้ปราสาทแห่งนี้เป็นภาพจำที่หลายคนต้องนึกถึง

ส่วนอีกปราสาทในความคิดถึงของเรา ขอเลือกปราสาทมาร์กเบิร์ก (Marksburg Castle) ที่ได้รับการเรียกว่า “ตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของยุคกลาง ป้อมอนุสาวรีย์และวัฒนธรรมที่ไม่สามารถถูกแทนที่” ปราสาทนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ (Rhine) แม้ว่าเดิมที่นี่เป็นป้อมปราการแห่งศตวรรษที่ 14 บนยอดเขาที่สามารถมองเห็นใจกลางเมืองได้ เคยใช้เป็นที่ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ อีกฟากหนึ่งก็ถูกสร้างให้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษ ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังของเมือง ส่วนที่ปราสาทเอลทส์ (Eltz Castle) ถือได้ว่าเป็นปราสาทที่ค่อนข้างสมบูรณ์ปราสาทหนึ่งเนื่องจาก ปราสาทแห่งนี้มีคนอยู่อาศัยมาตลอดกว่า 850 ปี โดยคนของตระกูล “เอลทส์” ซึ่งสืบทอดต่อกันมายาวนานถึง 33 รุ่น มีการปรับปรุง ต่อเติม และดูแลรักษาตลอดมา ปัจจุบันตระกูล “เอลทส์” ก็ยังดูแลอยู่ แต่ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมความสวยงามของปราสาทบางส่วนได้ ซึ่งมีทั้งภาพเขียนและข้าวของเครื่องใช้โบราณ ทำจากเงิน ทอง รวมถึงอาวุธโบราณ ซึ่งล้วนเป็นของมีคุณค่าแทบทั้งนั้น

แอฟริกาใต้ ท่องซาฟารี

ถ้าพูดถึงประเทศแอฟริกาใต้แล้วละก็ สิ่งแรกที่คุณนึกถึงนอกจาก “ภูเขารูปโต๊ะ” (Table Mountain) ของเมืองเคปทาวน์แล้ว การท่องซาฟารี หรือการทำกิจกรรม Game Drive ซึ่งคือการที่นักท่องเที่ยวขับรถไปตามเส้นทางภายในอุทยาน แล้วตามหาสัตว์ชนิดต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ไปสัมผัสชีวิตของสัตว์ป่ากันอย่างใกล้ชิดเหมือนเรากำลังท่องเที่ยวเยี่ยมชมบ้านหลังใหญ่ของเหล่าสัตว์นานาชนิด แต่คุณไม่สามารถเดาได้ว่าเจ้าบ้านชนิดไหนที่จะออกมาต้อนรับถือเป็นกิจกรรมที่ได้ลุ้นและเป็นหนึ่งสิ่งที่ทุกคนนึกถึงหากพูดถึงประเทศแอฟริกาใต้

สำหรับกิจกรรม Game Drive นั้นมีจัดอยู่หลายพื้นที่อุทยานของทวีปแอฟริกาใต้ หนึ่งในอุทยานที่เรียกได้ว่าเป็นเสมือนปฐมบทการท่องเที่ยวซาฟารีในทวีปแอฟริกาของนักเดินทางคือ “อุทยานแห่งชาติครูเกอร์” (Kruger National Park) หนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แม้อุทยานแห่งนี้จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมสัตว์ได้เพียงคนละไม่เกิน 3 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้รบกวนสัตว์มากจนเกินไป แต่ก็มีถนนหนทางที่ไม่ยากลำบากเกินไป ถนนสำหรับการขับรถเที่ยวเอง มีจุดเติมน้ำมันให้บริการที่สถานที่พักแรม จุดตั้งแคมป์ก็มีห้องน้ำ ร้านค้า ร้านอาหารครบครัน ทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะได้เจอกับ Big 5 สัตว์ใหญ่ดาราดังประจำผืนป่าแอฟริกัน ได้แก่ ช้าง ควายป่า แรด สิงโต และเสือดาว

ส่วนที่จังหวัด ควาซูลู-นาตัล (KwaZulu-Natal) ซึ่งมีเมืองใหญ่อย่างเมืองเดอร์บัน (Durban) ก็มีที่ให้ทำกิจกรรม Game Drive หลายที่ไม่ว่าจะเป็นที่ Phezulu Safari Park หรือที่ Thanda Safari ก็เป็นสถานที่ที่คุณจะได้เห็นภาพของสิงโตคำราม ยีราฟเล็มยอดไม้ เสียงโขลงช้างที่เคลื่อนไหว ม้าลายวิ่งเหยาะๆ ไปมา และเหล่าสัตว์ทั้งหลายที่เดินไปมาอย่างสบายท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ คือ ภาพที่ทำให้หลายคนอยากเดินทางไปท่องเที่ยวแอฟริกาใต้

เวลาที่เหมาะสำหรับกิจกรรม Game Drive คือเวลาช่วงเช้าตั้งแต่ 6 โมงเช้าเป็นต้นไปถึงสายๆ สัก 9-10 โมง หรือตอนกลางคืนเพราะสัตว์จะออกมาหาอาหาร แต่เราแนะนำว่าถ้ามีโอกาสให้ลองค้างสักคืนสองคืนที่ซาฟารี แล้วเลือกชมทั้งช่วงเย็นและช่วงเช้าเลยคุ้มสุดๆ แต่ถ้าเวลาไม่พอเลือกช่วงเช้าดีกว่า เพราะปกติหลังพระอาทิตย์ตกดิน นอกจากจะไม่เห็นอะไรแล้ว อันตรายก็มากตามไปด้วย

ไทย สวรรค์ของนักเดินทาง

หนึ่งประเทศที่หลายคนไม่เฉพาะชาวไทยเอง ชาวต่างชาติก็คงต้องนึกถึงคือ ประเทศไทยของเรา ความสวยงามของธรรมชาติทั้งภูเขา ป่าไม้ วัฒนธรรม ประเพณี อาหารการกิน และท้องทะเลที่เลื่องชื่อ

ไล่เรียงตั้งแต่ภาคเหนือของประเทศไทย ภูเขาหลายแห่งเป็นจุดหมายการเดินทางที่หลายคนคิดถึง ภาพทะเลหมอกที่ลอยละล่องอยู่เหนือภูเขาหลายลูกของภาคเหนือ เป็นภาพที่หลายคนอยากกลับมาสัมผัสอีกครั้ง เช่นที่ภูชี้ฟ้าและดอยผาตั้ง เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ยอดภูชี้ฟ้ามีลักษณะเป็นผาที่มีแหลมยื่นขึ้นไปบนฟ้าจึงเรียกว่า ภูชี้ฟ้า โดยมองเห็นภูเขาชี้ขึ้นไปบนฟ้าที่มีลักษณะเป็นภูเขาสูงทำมุม 45 องศา ไฮไลต์สำคัญของการมาเที่ยวภูชี้ฟ้า คือ มาเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามอลังการ หรือจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดที่แทบทุกคนรู้จักหากพูดถึงประเทศไทย ดอยอินทนนท์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นสถานที่ที่สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี กับพื้นป่าสีเขียวที่อุดมสมบูรณ์ หากได้พักที่อินทนนท์ ช่วงเช้าแนะนำให้ไปชมทะเลหมอกที่กิ่วแม่ปาน เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้นชื่อดังตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 2,000 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้มีอากาศเย็นสบายตลอด จุดชมวิวที่ 9 ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของกิ่วแม่ปาน ในช่วงฤดูหนาวที่สันเขาคุณจะเห็น “ต้นกุหลาบพันปี” สีแดงสด ออกดอกให้ได้ชื่นชมกัน

ส่วนทะเลของเมืองไทย ไม่ว่าทางภาคใต้ ภาคตะวันออก หรือตะวันตก ทั้งที่เกาะสมุย กระบี่ ภูเก็ตก็ล้วนแล้วแต่ขึ่้นชื่อในความสวยงาม ด้วยบรรยากาศที่ดูเป็นธรรมชาติแบบไม่ปรุงแต่ง น้ำทะเลก็เขียวใส มองเห็นเหล่าปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เหมาะสุดๆ กับการเดินทางมาพักผ่อน ทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายหลังจากที่เหนื่อยล้าในหน้าที่การงานกันมาแทบทั้งปี อันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี ของจังหวัดกระบี่ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ครอบคลุมบริเวณทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ เอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่โดดเด่น คือ ภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้นๆ มีถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดทอดยาวขาวสะอาด ส่วนฝั่งอันดามัน อุทยานแห่งชาติตะรุเตา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ก็เรียกว่าเป็นศูนย์รวมความงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ทั้งบนเกาะและในน้ำ มีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์เป็นที่อาศัยของสัตว์นานาชนิด อีกทั้งใต้สมุทรก็ยังอุดมไปด้วยหมู่ปะการังที่มีสีสันสวยสดจนเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก

แม้ว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังอยู่ในสถานการณ์ ที่หลายประเทศยังเฝ้าระวังและเข้มงวดทำให้ไม่สามารถเดินทางข้ามประเทศไปมาได้เหมือนเมื่อก่อน แต่หลายสถานที่ก็เปิดให้เข้าชมได้ผ่านทางออนไลน์บ้าง บางประเทศอย่างเช่นประเทศในแถบยุโรปที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกันและสถานการณ์ไม่ได้เข้มข้นเหมือนหลายเดือนก่อน ก็เริ่มเปิดให้เดินทางไปมาได้ ประเทศไทยเองแม้เราจะยังไม่ได้เปิดให้เดินทางบินเข้าและออกนอกประเทศได้อย่างสะดวก แต่การได้เดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทย ประเทศที่มีความสมบูรณ์ในเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ ความหลากหลายของวัฒนธรรมและอาหารการกิน ก็ทำให้คลายความคิดถึงการเดินทางไปได้บ้าง หวังว่าสถานการณ์ของโลกโดยรวมจะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะได้กลับไปเดินทางไปยังที่ที่เราคิดถึงอีกครั้ง

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0