Autumn at Kanasi – ใบไม้เปลี่ยนสีที่ คานาสือ

Story & Photo by Kanjana Hongthong

Kanasi 9380

แผ่นดินจีนช่างยิ่งใหญ่ในสายตานักเดินทางเสมอ และยิ่งเมื่อได้ย่างเท้าลงเหยียบมณฑลซินเจียง ยิ่งชวนให้เชื่อว่าจีนใหญ่จริงจัง ใครที่มีเส้นทางสายไหมเป็นเส้นทางสายฝัน คงไม่มีใครไม่รู้จักมณฑลซินเจียงอย่างแน่นอน ฉันก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น เมื่อพาตัวเองดั้นด้นไปถึงมณฑลซินเจียงเพื่อสัญจรไปบนเส้นทางสายไหม แค่เฉพาะสายไหมในจีน ถ้าจะเที่ยวให้ทั่วก็อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือน

Kanasi 5426

บังเอิญเที่ยวนี้มีโจทย์ว่าอยากเห็นสายไหมในโหมดใบไม้เปลี่ยนสี ดังนั้น คงไม่มีที่ไหนจะเหมาะเท่ามุ่งหน้าไปหาทะเลสาบคานัส ที่อยู่ในอุทยานคานาสืออีกแล้ว ไม่ว่าจะไปท่องเส้นทางสายไหมทางตอนเหนือ กลาง หรือใต้ ก็เป็นอันรู้กันว่า หากจะตามรอยสายไหม ต้องไปตั้งหลักกันที่เมืองอุรุมชี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเส้นทางสายไหม ฉันเองก็บินไปตั้งหลักที่นี่ก่อน

Kanasi 9388

ใครที่มีเวลาจำกัดจำเขี่ยและไม่อยากทรมานสังขารจนเกินไป จากอุรุมชีก็มีเที่ยวบินไปลงที่สนามบินเมืองอัลไตหรืออาเล่อไท่ทุกวัน จากนั้นก็ต้องนั่งรถต่อไปอีกราวๆ 4 ชั่วโมงกว่าก็จะถึงอุทยานคานาสือ ส่วนฉันนั่งสลีปปิ้ง บัส พูดง่ายๆ คือรถที่บรรจุเตียงนอนเอาไว้ ขึ้นไปก็สามารถนอนได้เลย ไปถึงปลายทางรุ่งเช้าพอดี จากนั้นต้องหาแท็กซี่นั่งต่อไป

Kanasi 5416

แถวด้านหน้าอุทยาน เพราะแหล่งที่พักของคานาสือจะอยู่นอกเขตอุทยาน และส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ห่างจากอุทยานประมาณกิโลกว่า มีทั้งโรงแรมหลายดาวไปจนถึงกระโจมแบบมองโกเลียที่ต้องใช้ห้องน้ำรวม การหาห้องพักในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของคานาสือนั้นไม่ง่ายนัก ถ้าไม่จับจองมาก่อน ก็อาจต้องระเห็จไปนอนกระโจม เพราะใครๆ ก็มาในช่วงนี้กัน เนื่องจากไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป ข้อสำคัญได้เห็นภูเขาทั้งลูกเป็นสีเหลืองสะพรั่ง

Kanasi 9436

หลังจากได้ที่เอนหลัง ฉันก็มองหาวิธีการเข้าสู่อุทยาน นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องทำตามกฎของที่นี่อย่างเคร่งครัด โดยต้องขึ้นรถของทางอุทยานซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติ เหมือนกับที่อุทยานจิ่วไจ้โกว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาไม่อยากให้กระทบกับสภาพสิ่งแวดล้อมโดยรวม หรือถ้าอนุญาตให้รถส่วนบุคคลเข้าไปได้ นอกจากรถราจะแน่นจนเกิดปัญหาจราจรแล้ว อาจจะเกิดมลพิษกับน้ำ ต้นไม้ และสัตว์ภายในอุทยานได้

Kanasi 0010

พอผละจากประตูอุทยานมาได้ไม่นาน รถก็วิ่งเลาะแม่น้ำปู้เออร์จิน ไปเรื่อยๆ ผ่านทั้งโตรกผา หุบเหว ป่าสน และป่าเบิร์ชหรือต้นไป๋ฮัว ยิ่งรถเคลื่อนไปนานเท่าไหร่ ยิ่งพบว่าที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อดูข้อมูลจึงพบว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ จุพื้นที่ประมาณ 2 พันตาราง กิโลเมตร ใหญ่ขนาดกินพื้นที่คลุม 4 ประเทศ นอกจากกินอาณาบริเวณ ในจีนแล้วยังคลุมไปถึงรัสเซีย มองโกเลีย และคาซัคสถานด้วย

Kanasi 9425

ที่จริงแค่เรื่องผืนป่าของที่นี่ก็น่าสนใจแล้ว ความที่ละแวกนี้มีสภาพอากาศหนาวจัด จึงเป็นป่าสนแบบไซบีเรีย ที่จะเจอเฉพาะในเขตหนาวจัดอย่างอลาสก้าและไซบีเรียเท่านั้น ส่วนพวกสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยาน ก็เป็นพวกสัตว์ที่ทนทานต่อสภาพอากาศหนาวจัดได้เกือบ 40 ชนิด

Kanasi 9474

เท่าที่ทำการบ้านมา ทำให้รู้ว่าจุดเด่นของคานาสือ อยู่ที่โค้งงามๆ ภายในอุทยาน ซึ่งก็มีอยู่ประมาณ 4 – 5 โค้ง ความจริงรถเคลื่อนมาถึงโค้งแรกที่เรียกกันว่าโค้งถวอจิ่งวาน แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะไม่ลงกันที่โค้งนี้ เพราะทางอุทยานไม่ได้ทำจุดชมวิวให้แวะ แต่พอถัดมาอีกสักระยะ รถเคลื่อนมาถึงโค้งว่อหลงวานหรือโค้งมังกรหลับ จุดนี้เองที่ฉันเคลื่อนตัวลงจากรถตามก้นนักท่องเที่ยวที่พากันแวะลงตรงนี้ มุมนี้เขาจะทำสะพานไม้เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวไต่ลงไปเรื่อยๆ ใครมีเวลาและไม่รังเกียจการเดินจะเอ้อระเหยแถวนี้ก็ท่าจะดีไม่น้อย

Kanasi 9621

ยืนอยู่มุมนี้แล้วพบว่า ฤดูกาลที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีนั้นโลกทั้งใบช่างดูสดใสและอาบไปด้วยสีสัน ยิ่งเวลาเงาของใบไม้ทอดตัวลงในผืนน้ำ ยิ่งทำให้ทะเลสาบน่ามองขึ้นอีกเป็นกอง สุดทางเป็นธารน้ำที่ไหลภายในอุทยานมีต้นน้ำมาจากธารน้ำแข็งบนเทือกเขาอัลไตที่พอช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิอากาศเริ่มร้อนก็ละลายไหลลงมาเป็นธารน้ำ สำรวจโค้งมังกรหลับเสร็จ ฉันก็หวนไปที่จุดขึ้นลงรถของอุทยานอีกรอบ จุดหมายข้างหน้าอยู่ที่โค้งถัดไป ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่าเป็นไฮไลต์ของคานาสือ นั่นคือเยว่เลี่ยงวานหรือโค้งจันทร

Kanasi 5129

ใครๆ ก็บอกว่า โค้งนี้เหมือนเป็นนางเอกของคานาสือ มีลำธารทอดตัวเป็นรูปตัวเอส มองแล้วเหมือนเสี้ยวจันทร์อยู่กลางผืนน้ำ นั่นเลยเป็นที่มาของชื่อ มองลงไปจะเห็นเป็นเกาะกลางน้ำ เขาว่าเหมือนรูปรอยเท้าคน แต่ดูแล้วเป็นเท้าที่ใหญ่เหลือเกิน ตามตำนานบอกว่านี่คือรอยเท้าของนักรบอย่างเจงกิสข่าน

Kanasi 9636

มุมนี้ไม่ได้มีวิวสวยๆ อย่างเดียว แต่มีบันไดเกือบพันขั้นให้ไต่ลงไปสำรวจ นักท่องเที่ยว ที่มีเวลาเหลือเฟือจึงพากันเดินไต่บันไดที่ทำไว้ให้เลาะเลียบทะเลสาบยาวราวๆ 3 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อเดินลงไปใกล้ทะเลสาบมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งพบว่า นั่นมันสวรรค์ชั้นย่อมชัดๆ เพราะเมื่อพอเดินลงมาถึงด้านล่าง ฉันพบว่ายิ่งพ่นหายใจอยู่ใกล้กับผืนน้ำ คานาสือ ก็ยิ่งสวยขึ้นทุกขณะ วันนั้นไม่ได้รีบร้อนไปไหนเลยเดินเนิบนาบไปบนสะพานไม้

Kanasi 9601

ชมธรรมชาติอย่างอิ่มเอม เพราะถ้าแค่เดินป้วนเปี้ยนอยู่บนจุดชมวิวด้านบน ฉันคงไม่ได้อิงแอบกับธรรมชาติได้ขนาดนี้ และเมื่อดื่มด่ำกับสายน้ำของโค้งจันทราเสร็จ ฉันกลับไปขึ้นรถของอุทยานเพื่อมุ่งหน้า ไปหาโค้งเทพเจ้าหรือเสินเซียนวาน ที่อยู่ห่างออกไปซักราวๆ 2 กิโลเมตร จากโค้งจันทรา ความจริง ใครไม่อยากเดินไต่บันไดขึ้นมา จะเดินเลาะทะเลสาบไปเรื่อยๆ ก็ได้เหมือนกัน

Kanasi 9704

และจากโค้งเทพเจ้า รถของอุทยานก็พานักท่องเที่ยวทุกคน ไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่มีทั้งมุมอาหาร เครื่องดื่มซุปเปอร์มาร์เก็ต มีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามข้อสงสัย นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยจึงมักมาเริ่มต้นจากจุดนี้ ก่อนจะกระจัดกระจายกันไปตามโค้งต่างๆ

Kanasi 9482

และเมื่อมาถึงอุทยานคานาสือแล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่ยอมพลาดคือ นั่งรถไปเที่ยวหมู่บ้านเหอมู่ หมู่บ้านคนเลี้ยงม้าที่ตอนนี้เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของคนมาเที่ยวคานาสือไปซะแล้ว

Kanasi 5376

ไม่ว่าใครจะเรียกคานาสือว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แดนมังกร หรือสวนสวรรค์แห่งสายไหมก็ตาม แต่นี่คือมุมหนึ่งของสายไหมที่อยากให้ทุกคนได้เห็นด้วยสองตาเปล่า และยิ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีด้วยแล้ว คานาสือยิ่งสวยไม่ธรรมดา เรียกว่าเป็นหนึ่งในมุมดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดของจีนเลยก็ว่าได้

– จากกรุงเทพฯ ไปเส้นทางสายไหมแห่งมณฑลซินเจียง มีสายการบินที่มีเที่ยวบินไป – กลับกรุงเทพฯ – อุรุมชีทุกวัน โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่เมืองกวางโจว เพราะศูนย์กลางการบินอยู่ที่นั่น
– ทั้งที่อุรุมชีและคานาสือมีที่พักให้เลือกหลากลายระดับ มีทั้งโรงแรมห้าดาวไปจนถึงเรือนพักดาวเดียว เลือกได้ตามความหนักเบาของกระเป๋าสตางค์
– ฤดูท่องเที่ยวของมณฑลซินเจียงอยู่ในช่วงเดือน มิ.ย. – พ.ย. พ้นจากช่วงนี้อากาศจะค่อนข้างหนาวจัด ตรวจสอบอุณหภูมิก่อนเดินทางที่ www.wunderground.com

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0