ชีวิตลุยเดี่ยวของ จิรภัทร พัวพิพัฒน์

Story by Boonyaporn Buttaprom / Photo by จิรภัทร พัวพิพัฒน์

Jirapat 5

มีคำกล่าวของนักเดินทางที่ว่า “หากอยากรู้จักโลก ต้องออกไปดูโลก” อาจจะเป็นประโยคที่สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนแบกเป้แล้วก้าวออกจากโลกของตัวเอง หนึ่งในนั้นคงจะมี ‘ปั้น’ หรือ ‘คุณจิรภัทร พัวพิพัฒน์’ วัย 23 ปี ซึ่งมีดีกรีเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์จาก National University of Singapore อยู่ในนั้นด้วย หลายคน อาจจะรู้จักปั้นในฐานะแบ็กแพ็กเกอร์ที่ออกไปเที่ยวตะลุยเดี่ยวแบบค่ำไหนนอนนั่นจากเว็บไซต์ pantip.com และเพจ The Walking Backpack และแน่นอนว่าการออกไปเที่ยวของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้อีกหลายคนอยากออกไปดูโลกเหมือนกับคำกล่าวข้างต้นอีกด้วย

ผมเรียนที่สิงคโปร์มา 8 – 9 ปีแล้ว เพราะว่าสอบชิงทุนอาเซียนของรัฐบาลสิงคโปร์ได้ตั้งแต่ ม.3 พอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ทางผู้มอบทุนเขาก็ใจดีและเล็งเห็นว่ามีผลการเรียนดีก็เลยให้ทุนเรียนต่อ และตอนนี้ก็อยู่ในช่วงปีสุดท้ายแล้ว ซึ่งกำลังยุ่งกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทำให้ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยอัพเดทเรื่องราวเพจในเฟซบุ๊กเท่าไหร่ แต่ก็พยายามที่จะทักทายเพื่อนๆ แฟนเพจให้ได้มากที่สุดครับ”

ปั้นเริ่มแนะนำตัวให้เราได้รู้จัก และเล่าถึงที่มาในการได้ไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการออกเดินทางของปั้น โดยที่แรกที่ปั้นเลือกออกเดินทางแบบโซโล่เดี่ยวคือ เกาะเตียวมัน ประเทศมาเลเซีย “ตอนที่เรียนก็ไปเที่ยวกับเพื่อนตลอด แต่พอมาช่วงปี 2 ก็เริ่มยุ่งมาก เพื่อนก็ไม่มีใครว่างและผมก็อยากจะไปเที่ยวมาก ก็เลยคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาก็แนะนำว่าให้ลองไปเที่ยวคนเดียวสิ ผมก็ได้แต่บอกเขาไปว่าบ้าหรือเปล่า ใครจะไปเที่ยวคนเดียว นี่มันติสท์แตกชัดๆ ซึ่งรุ่นน้องที่เขาแนะนำก็ย้ำกับผมว่าลองไปดูเถอะ ถ้าไม่สนุกก็กลับมา เย็นวันนั้นผมเลยตัดสินใจจัดกระเป๋าแบ็กแพ็กไปคนเดียวเลย เช้าวันเดินทางก็นั่งรถไปที่เกาะเตียวมัน ประเทศมาเลเซีย ในตอนนั้นผมมีความรู้สึกว่ามันคงจะเท่มากเลย ไปเที่ยวแล้วแล้วกลับมาเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่เราได้เจอให้เพื่อนในเฟซบุ๊กได้อ่าน ให้เขาได้รู้ว่าเราไปเที่ยวด้วยกระเป๋าใบเดียวและไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย พอเราไปถึงจุดหมายมันก็คงประสบความสำเร็จ ได้จิบเครื่องดื่มที่ชอบริมชายหาด ได้ดำน้ำในเกาะสวยๆ ผมว่ามันเท่มากๆ เลย ซึ่งพอผมไปถึงเกาะเตียวมันประมาณ 6 โมงเย็น ผมสามารถเดินหาที่พักตามหน้าหาดได้เลยว่าอยากนอนแบบไหน ได้รู้จักเพื่อนใหม่ระหว่างทางและก็เกาะกลุ่มกันไป เลยได้พักบังกะโลราคาประมาณ 300 – 400 บาท และตอนเย็นมีคนดูฟุตบอลด้วยกัน เราก็เริ่มสนุกละ คือแค่คืนแรกเราก็ไม่ต้องกินข้าว
คนเดียว แค่นี้มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลย

Jirapat 2

พอวันรุ่งขึ้น ผมจองทริปดำน้ำไว้เพราะที่เตียวมัน มีช็อปดำน้ำเยอะมาก ทำให้ผมได้เจอเพื่อนร่วมดำน้ำ 2 คนชื่อ คริสกับซาร่าห์ สองคนนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทในระหว่างที่เราอยู่บนเกาะ 4 วัน พวกเราจะไปดำน้ำในตอนกลางวัน ขึ้นมาบนฝั่งก็ไปเดินป่า หาข้าวกินตอนเย็น ตกดึกก็สังสรรค์กัน ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก เพราะเราไม่ต้องรับรู้โลกภายนอก รู้แค่ตอนนี้เรามีความสุขกับการได้ติดอยู่บนเกาะกับเพื่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมหลงใหลกับการหนีไปเที่ยวคนเดียว” และการได้มารู้จักกับคริสและซาร่าห์บนเกาะเตียวมันนี่เอง ทำให้ปั้นเกิดแรงบันดาลใจในการออกไปเที่ยวแบ็กแพ็กคนเดียว ซึ่งคริสถือเป็นครูที่ช่วยเปิดโลกของปั้นให้กว้างมากขึ้นกว่าที่เคยเห็น

“คริสเขาทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง เพราะเขาไปแล้วทุกที่ๆ ผมนึกชื่อทุกอย่างบนโลกใบนี้ออก เขามักจะบอกกับผมว่ามันสามารถทำได้จริงๆ เพราะทุกสถานที่มันมีโครงสร้างทุกอย่างรองรับไว้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องออกไปดู ค่าใช้จ่าย มันก็ไม่ได้แพงเกินกว่าที่เรามี โลกรอเราให้ไปเห็นสิ่งต่างๆ มันไม่ใช่แค่การไปเห็นสถานที่ หรือไปเห็นแลนด์มาร์คแล้วถ่ายรูป แต่มันเป็นเรื่องขอประสบการณ์ชีวิตที่เราสามารถค้นพบได้ด้วยตัวเราเอง คริสเขาสอนผมเยอะแยะมาก ถือเป็น ครูที่สอนการใช้ชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจให้ผมอยากออกไปเที่ยวและทำให้ได้แบบเขา” นอกจากการได้ไปใช้ชีวิตอยู่บนเกาะและได้รู้จักเพื่อนที่เสมือนเป็นครูเปิดโลกแล้ว การเที่ยวเกาะเตียวมันในครั้งนี้สามารถตอบคำถามที่เคยค้างคาใจปั้นได้แทบหมดทุกอย่าง

ผมเคยคิดว่าพวกนักเดินทางที่เป็นแบ็กแพ็กเกอร์ เขาต้องเดินทางแบบประหยัดงบประมาณ ต้องแบกเป้ใหญ่ๆ หาที่พักราคาถูก หรือไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดหมายอะไร แต่สิ่งที่ผมได้สัมผัสจริงๆ คือ คนพวกนี้เขาเดินทางเพราะไม่ต้องการจะเห็นแค่แลนด์มาร์ค แต่เขาต้องการมาเจอเพื่อนร่วมทาง ซึ่งเพื่อนที่เจอระหว่างทางเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ถือเป็นจุดสำคัญที่หลายๆ คนเลือกออกเดินทาง เพราะพวกเขาอยากเจอคนที่มาจากต่างประเทศ มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน มาแลกประสบการณ์กันว่าไปไหนมาบ้าง ไปทำอะไรมาบ้าง และมันจะเป็นไอเดียเพื่อต่อยอดในการเดินทางไปเรื่อยๆ ผมว่ามันเป็นจุดที่ทำให้การเดินทางแบบแบ็กแพ็ก มันน่าสนใจมาก มันทำให้ผมพบว่าแท้จริงแล้วเสน่ห์ของการเดินทางแบบแบกเป้คนเดียวมันไม่ใช่เรื่องของราคาถูก แต่ว่ามันเป็นเรื่องของผู้คนที่สามารถเล่าสู่กันฟังไปได้เรื่อยๆ”

Jirapat 3

หลังกลับจากเกาะเตียวมัน ปั้นก็เริ่มวางแผนในการออกไปเที่ยวแบ็กแพ็กคนเดียว มีการซื้อกล้องถ่ายรูปเพื่อใช้บันทึกความทรงจำในแต่ละสถานที่และขาตั้งกล้องเล็กๆ โดยสถานที่ที่ไปเที่ยวจะอยู่ในแถบอาเซียนก่อน เพราะสะดวกในการเดินทาง ซึ่งเมื่อผ่านไปประมาณ 1 ปี กับการเดินทาง 6 ประเทศ ปั้นจึงแบ่งปันเรื่องราวการไปเที่ยวของตนให้กับเพื่อนๆ ในเว็บไซต์ pantip.com และได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำของห้อง BluePlanet และมีแฟนเพจติดตามที่ตอนนี้ทะลุเกือบแสน จนในที่สุดสิ่งที่ปั้นได้แชร์ออกไปมันได้ต่อยอดมาเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อ Tha Walking Backpack ออกเดินแล้ว อย่าหันหลังกลับ

หลังจากที่ผมแบ็กแพ็กได้ประมาณ 1 ปี ผมเลยไปตั้งกระทู้ในพันทิปเพื่อที่ต้องการแชร์ให้ทุกคนรู้ว่า การเที่ยวคนเดียวมันได้อะไรมากกว่าที่เราคิด เราได้เพื่อน ได้ประสบการณ์ชีวิต ได้เปิดมุมมองโลกในแบบที่เราไม่เคยเห็น และภาพถ่ายของผมที่แชร์ไปส่วนใหญ่จะเป็นรูปหันหลัง ซึ่งตอนนี้เหมือนเป็น Photo Series ของผมไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนสาเหตุที่เป็นรูปหันหลังเพราะ ผมอยากให้ตัวเองเป็นแค่องค์ประกอบเล็กๆ ของภาพ อยากให้จุดสนใจอยู่ที่สถานที่ๆ พาไป เหมือนกับผมพาทุกคนไปเที่ยว และหลังจากที่มีคนแชร์กระทู้เยอะมาก และมีแฟนเพจเฟซบุ๊กติดตามอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นแรงผลักดันในการเขียนหนังสือ จนออกมาเป็น The Walking Backpack ออกเดินแล้ว อย่าหันหลังกลับ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปีแรกที่ผมออกเดินทาง มีทั้งหมด 6 ประเทศ ซึ่งผมจะเล่าว่าผมเดินทางไปยังไง ใช้ชีวิตในแต่ละประเทศยังไง ผมได้เรียนรู้เรื่องราวของคนที่ผ่านพบเจอมาอย่างไร ผมได้คุยกับใครบ้างและเขาเหล่านั้นเล่าเรื่องราวอะไรให้ผมได้ทราบบ้าง พร้อมกับจะมีภาพถ่ายสวยๆ ที่เหมือนเป็นบันทึกความทรงจำของผมอีกด้วย” และเมื่อถามถึงสิ่งที่ได้รับจากการเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ปั้นบอกกับเราว่า การได้เรียนรู้ว่าคนเรา สามารถเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เราเป็น และไม่มีวิธีการใช้ชีวิตแบบไหนที่ถูกต้อง คือสิ่งที่ปั้นได้รับจากการท่องเที่ยว

“ทริปล่าสุดที่ผมไปคือประเทศพม่า ผมไปเจอผู้หญิงชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น วิถีชีวิตของเขาคือ เขาเลือกที่จะย้ายตัวเองจากฝรั่งเศสมาอยู่ที่ญี่ปุ่น ในหนึ่งปีเขาใช้เวลา 11 เดือนในการทำงาน และเหลืออีก 1 เดือนเขาเลือกที่จะไปเที่ยวรอบโลก ในทุกปีเขาใช้ชีวิตแบบนั้น เพราะว่าเขาเป็นครู เขาจึงมีเวลาในการเดินทางค่อนข้างน้อย และวิถีชีวิตที่น่าสนใจของเขาคือ เขาไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ เขาทำงานทุกอย่างและติดต่อทุกคนด้วยอีเมล ผมก็ได้แต่อุทานไปว่าจริงเหรอ แต่เขาก็บอกกับผมว่า เขาทำแบบนี้มา 27 ปีแล้ว ชีวิตเขามีความสุขมาก เพราะเขาได้สอนหนังสือ ได้ทำหน้าที่การเป็นครูและได้เดินทางไปเที่ยว เขาไม่เคยจะต้องมาพะวงกับการมีโทรศัพท์ หรือเมสเสจเข้าตลอดเวลา เขาจะติดต่อกับทุกคนเมื่อเวลาที่เขาอยากติดต่อ และที่สำคัญคือ เขาอายุค่อนข้างเยอะแล้วและเป็นแม่คนด้วย ลูกของเขาอายุเยอะกว่าผมด้วยซ้ำ มันทำให้ผมพบว่าตรรกะที่หลายคน มักบอกกับตัวเองเมื่ออายุ 30 ต้องมีครอบครัว ต้องพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อมริมทะเล มันไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเกิดกับทุกคนในโลก คนทุกคนบนโลกใบนี้มีสิทธิ์เลือกใช้ชีวิตต่างกัน เราแค่เอาที่เราคิดว่ามันเหมาะสมกับตัวเอง นำการใช้ชีวิตของแต่ละคนมาประยุกต์ใช้ ผมว่ามันเป็นประโยชน์และทำให้ผมดีขึ้นและเก่งขึ้น และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับจากการแบ็กแพ็กคือ มันให้อาชีพแก่ผม มันเป็นอาชีพที่ผมมีความสุขที่ได้ทำมาก ผมยังไม่รู้ว่าจะทำมันเต็มเวลาหรือเปล่า แต่ผมไม่หยุดทำแน่นอน ทั้งเรื่องการถ่ายภาพ การเล่าเรื่อง การเขียน ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของงานที่ผมทำทุกวันนี้”

Jirapat 4

นอกจากจะประสบความสำเร็จด้านการเที่ยวแบ็กแพ็กแล้ว ปั้นยังมีแพลนที่วางไว้หลังจบการศึกษาอีกด้วย ซึ่งโปรเจกต์ที่ปั้นวางไว้นั้นมีเยอะแยะมากมายเสียจนเราอดที่ติดตามไม่ได้ “หลังผมสอบเสร็จสามอาทิตย์ ผมมีโปรเจกต์จะเดินทางด้วยรถจากสิงคโปร์ไปเมืองไทย แต่ผมจะหยุดทุกชายหาดที่ผมผ่าน พักผ่อนแบบชิลๆ สักวัน แล้วค่อยไปต่อ นี่อาจจะเป็นการเดินทางกลับบ้านที่นานที่สุด แต่ว่ามันคงจะสนุกและแปลกใหม่ดี และก็มีแพลนจะไปประเทศอินเดีย คือช่วง 3 เดือนก่อนที่ผมจะเริ่มทำงานผมจะมีโปรเจกต์อีกประมาณ 4 – 5 อย่างที่อยากทำ และหลังจากนั้นประมาณเดือนสิงหาคมคงจะกลับมามาทำงานที่สิงคโปร์ เพราะผมต้องใช้ทุนทำงานที่นี่อีก 3 ปี แต่ก็ต้องดูก่อนว่าจะทำอะไร ซึ่งความตั้งใจแรกอยากทำงานเป็นวิศวกร เพราะว่าผมเรียนมาด้านนี้ และค่อนข้างมีความสุขกับงานวิศวกร ส่วนงานเสริม เช่น งานเขียน ถ่ายภาพ ก็ยังคงมีเรื่อยๆ ทั้งอัพในเพจ และเขียนหนังสือ เพราะผมมีความตั้งใจอยากเขียนเล่ม 2 ให้จบ ตอนนี้ผมเริ่มวางโครงและเขียนได้ประมาณสองบทแล้ว”

ก่อนจบการสนทนา ปั้นได้ฝากข้อคิดถึงคนที่อยากไปเที่ยวแบ็กแพ็กแต่ยังมีความกลัวกังวลในเรื่องของการเดินทาง หรือกลัวว่าจะเจออุปสรรคในการไปเที่ยว  “การเดินทางมันไม่ได้น่ากลัว เราแค่ออกไปเที่ยว ไปหาความสุขใส่ตัว พอเวลาเราเจอปัญหาก็ค่อยๆ แก้ไขไปทีละส่วน แค่เรากล้าที่จะก้าวเดินออกมาและทำมันให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องเดินทางคนเดียวหรือเดินทางไปไกล แต่ขอให้ได้ออกจากพื้นที่ที่เราเคยอยู่ ลองไปเห็นอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง เรื่องของงบประมาณหรืออุปกรณ์มันไม่ได้จำเป็น เราแค่มีเสื้อผ้าพอประมาณ หรือกล้องถ่ายรูป เพื่อบันทึกความทรงจำก็พอแล้ว เพราะไปเที่ยวที่ไหนมันก็ได้ความสุขและได้ประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากพอที่คนๆ หนึ่งจะได้รับ ” เป็นความจริงอย่างที่ปั้นได้บอก การไปเที่ยวมันได้ทั้งความสุขและประสบการณ์ที่คุ้มค่า จริงๆ แล้วมนุษย์เราอาจจะต้องการแค่นี้ก็ได้ แค่มีความสุขในการใช้ชีวิต ทำในสิ่งที่อยากทำ เป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็น เพียงแค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากที่ได้เกิดมาใช้ชีวิต … จะมัวรออะไรอยู่ล่ะ แบกเป้แล้วเดินทางออกไปดูโลกกันเลย

เคล็ดไม่ลับการเดินทาง
ทุกครั้งเวลาเดินทาง ผมจะโหลดแอพฯ Lonely Planet เวอร์ชั่นอีบุ๊กใส่ไว้ในโทรศัพท์ ในนั้นจะมีข้อมูลของประเทศหรือเมืองที่เราไป เพราะมันเหมือนเป็นแบ็กอัพสุดท้ายในชีวิต ถ้าไปเที่ยวแล้วไม่รู้ข้อมูลอะไร เราสามารถเปิดอ่านได้ เพราะใน Lonely Planet จะมีข้อมูลดีๆ เยอะมาก ทั้งที่พัก ร้านอาหาร แต่ผมมักจะใช้สิ่งนี้ในกรณีที่การหาข้อมูลของผมไม่เพียงพอ

ต้องการซื้อเล่มเดือนนี้ย้อนหลัง คลิกที่รูปปกนิตยสารได้เลย

5-VacationistMay15

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0