24 Hours in Sendai

Story & Photo by Orawan

“เซนไดเป็นเมืองไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก การเดินทางก็ง่าย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน”

นี่น่าจะเป็นนิยามที่ตรงที่สุดสำหรับเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งต้นไม้ อย่างเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ

เช้าวันหยุด หลังจากที่ฉันใช้บริการสายการบินไทยที่มีเที่ยวบินบินตรงจากกรุงเทพฯ ในช่วงค่ำ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงเท่านั้นก็เดินทางมาถึงเมืองเซนไดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเที่ยวบินขามานี้ จะทำการบินทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ เป็นเที่ยวบินที่ TG 626 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 23.59 น. เดินทางถึงเซนได เวลา 07.40 น. ของวันรุ่งขึ้น (เวลาท้องถิ่น) ส่วนขากลับเส้นทางเซนได – กรุงเทพฯ เที่ยวบินที่ TG 627 ทำการบินทุกวันพุธ ศุกร์ และอาทิตย์ ออกเดินทางจากเมืองเซนได เวลา 11.15 น. (เวลาท้องถิ่น) เดินทางถึงกรุงเทพฯ เวลา 16.05 น. จากสนามบินเซนไดมีรถไฟวิ่งเข้าตัวเมืองเซนได หรือมีรถบัส (คันสีม่วง) ที่สามารถพาไปเที่ยวในเมืองอื่นๆ ได้อย่างสะดวก

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมืองเซนได แบบคนที่มีเวลาจำกัดแล้วละก็ใช้บริการรถ Sendai loople bus จะเป็นรถเมล์แบบโบราณเก๋มาก สามารถขึ้นลงตามสถานีต่างๆ ในเส้นทางได้ไม่จำกัด ราคาตั๋ววันผู้ใหญ่คือ 600 เยน ถ้าเราไม่ลงสถานีไหนเลยจาก 16 สถานี รถคันนี้จะวิ่งวนมาที่จุดตั้งต้นคือตรงสถานีเซนได (Sendai Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

โดยทั้ง 16 สถานี ได้แก่ Sendai Station > Aoba-dori Ichibancho Subway Station > Bansuisodo > Zuihoden Mausoleum > Sendai City Museum & Sendai International Center > Site of Sendai Castle > Tohoku University Botanical Gardens Aobayama Subway Station> Tohoku University Museum of Natural History > International Center Subway Station/ Miyagi Museum of Art > Traffic Park & Sankyozawa Water Power Plant > Osaki Hachimangu Shrine > Miyagi Museum of Art> Sendai Mediatheque > Jozenji-dori Ave. & Sendai City Hall > Hirose-dori Subway Station และจบที่สถานีเซนไดเช่นเดิม

หลังจากที่ฉันซื้อตั๋วตรงบริเวณท่ารถบัส ตรงสถานีเซนได ป้ายแรกที่ฉันเลือกแวะชมคือ สุสานซุยโฮเด็ง (Zuihoden Mausoleum) เป็นสถานที่ฝังศพของท่านดาเตะมาสะมุเนะ (Date Masamune) ผู้สถาปนาเมืองเซนได ถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของทั้งเซนไดและประเทศญี่ปุ่น อาคารสุสานออกแบบได้หรูหรางดงาม แบบโมโมะยามะ
(Momoyama) คือโครงสร้างเป็นงานไม้สีดำลงรักปิดทอง และแต่งแต้มลวดลายสีสันสดใสลงไป บริเวณรอบๆ เป็นทางเดินที่มีต้นสนซีดาร์เต็มไปหมด ที่นี่เสียค่าเข้าชม 550 เยน (ถ้ามีตั๋ว sendai loople bus เสีย 450 เยน)

หลังจากเดินลงมา เราก็ไปต่อกันที่ที่ตั้งปราสาทเซนได (Site of Sendai Castle) จุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวแวะลงกันมากเป็นพิเศษ เดินขึ้นบันไดไปนิดเดียวก็จะเห็นซากปราสาท Aoba หรือที่ทุกคนรู้จักว่าเป็นปราสาทเซนไดอยู่บนยอดเนินเขา Aoba

และจะมองเห็นอนุสาวรีย์ท่านดาเตะมาสะมุเนะผู้สร้างปราสาทตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ จากบริเวณนี้เราจะสามารถมองเห็นเมืองเซนไดในมุมสูงได้อย่างชัดเจนทีเดียว

ใกล้กันนั้นมีศาลเจ้าชินโตอยู่ด้วย ชื่อว่า ศาลเจ้าโกโคขุ (Gokoku Jinja) เข้าไปไหว้พระขอพรกันได้ ออกจากพื้นที่ปราสาทเดิม

เราไปต่อกันที่ ศาลเจ้าโอซากิ ฮะจิมัง (Osaki Hachimangu Shrine) สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพฮาจิมัง (Hachiman) ซึ่งเป็นเทพแห่งสงครามของชินโต เป็นเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเมือง โดยท่านดาเตะมาสะมุเนะได้สร้างขึ้นเป็นผลงานจากช่างที่มีฝีมือเยี่ยมในสมัยนั้นจะสังเกตเห็นประติมากรรมและจิตรกรรมที่สวยงามเช่น จิตรกรรมสิงโตบนประตูบานเลื่อน

ศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งก่อสร้างสงวนพิเศษในปี 1903 และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สมบัติแห่งชาติในปี 1952 การขึ้นไปชมศาลเจ้าต้องเดินบันไดขึ้นไปตามทางเดินที่มีต้นสนซีดาร์ล้อมรอบเช่นกัน อากาศดี เดินไม่เหนื่อยมากนักก็ถึง กลับลงมาใช้เวลายืนรอประมาณ 15 นาทีรถบัสก็มา

สถานที่ต่อไปที่เราเลือกแวะคือ เซนได มีเดียเทค (Sendai Mediatheque) หรืออาคารอเนกประสงค์ของเมือง ที่นี่มีทั้งหมดด้วยกัน 7 ชั้น ชั้น 1 เป็นลานกิจกรรมมีร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ชั้น 2-4 เป็นห้องสมุด ชั้น 5-6 เป็นห้องแสดงศิลปะ ส่วนชั้น 7 เป็นโรงหนัง

อาคารนี้ออกแบบโดย โทโยโอะ อิโต (Toyo Ito) เป็นอาคารไร้เสาซึ่งได้รับรางวัลต่างๆมากมาย รวมทั้ง “World Architecture Awards 2002 Best Building in East” จากจุดนี้ถ้าไม่เหนื่อยเกินไป เราสามารถเดินเรื่อยๆ ชมอาคารต่างๆ ตลอดจนแวะกิน

แป๊บเดียวก็ถึงป้ายต่อไปคือ ที่ว่าการเมืองและถนนโจเซ็นจิ โดริ (Jozenjidori Ave. & Sendai City Hall) บริเวณนี้เป็นบริเวณที่หลายคนคุ้นตากันมาก เพราะถนนโจเซ็นจิเป็นถนนที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของเซนได ภาพประติมากรรมหลากหลายชิ้นงานที่ตั้งอยู่ระหว่างแนวต้นเคะยากิ ให้ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะได้ชื่นชมกัน

และสำหรับคนที่ชื่นชอบการจับจ่ายใช้สอย ไม่ต้องกังวลบริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านค้าขายของฝาก ของที่ระลึก เสื้อผ้า เครื่องประดับ ตลอดจนร้านอาหาร ร้านกาแฟให้เลือกเยอะมาก หรือถ้าใครอยากดื่มด่ำกับสวนสวยๆ ใกล้กันคือ สวนสาธารณะ โคโทได สามารถไปนั่งพักผ่อนและชมงานประติมากรรมที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งบริเวณสวนฯ ได้

หลังจากนั้นใกล้เวลา 16.00 น. เราก็นั่งรถกลับมาที่สถานีเซนได ที่สถานีเซนไดเองก็เป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่อีกแห่งมีห้างสรรพสินค้าเยอะมากๆ อย่างห้างสรรพสินค้า “S-PAL Sendai” ที่อยู่ตรงสถานีเซนได ก็มีสินค้าหลากหลายให้เลือก หรือที่ Nakakecho Shopping Arcade ก็มีสินค้ามากมายไม่ต่างกัน

เสื้อผ้า ของฝาก ร้านอาหาร มีทั้ง bookoff ร้านมือสองที่เราเคยได้ยินชื่อ ห้าง aeon สำหรับซื้อสินค้าอุปโภค Donki ห้างที่คนไทยรู้จักกันดีและอื่นๆ อีกมากมาย

ส่งท้าย 1 วันในเมืองเซนได สิ่งที่คุณห้ามพลาดสำหรับการมาเซนได คือ ลองกินลิ้นวัวย่าง (Gyuton) เราได้ลองกินที่ร้าน Rikyu ซึ่งมีลิ้นวัวย่าง ทั้งแบบหนาแบบบาง อะไรแทบทุกอย่าง หรือจะเป็นขนมอย่างซุนดะ โมจิ (Zunda Mochi) อาหารเฉพาะขึ้นชื่อที่นี่ซุนดะ (Zunda) การนำถั่วเหลือง ที่ยังไม่สุกดีเป็นสีเขียวมาบดให้ละเอียด กินกับโมจิอร่อยใช้ได้ หรือจะเป็น ซุนดะเชค (Zunda Shake) ของร้าน Zunda Saryo อันนี้แนะนำว่าควรต้องลองเลย เป็นมิลก์เชกที่มีกลิ่นวานิลลาอ่อน เนื้อมิลก์เชกเนียนนุ่ม แต่ได้สัมผัสของเนื้อซุนดะผสมอยู่ บอกได้คำเดียวว่าอร่อยมาก ท้ายสุดนอกจากเซนไดจะเป็นเมืองไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก การเดินทางง่าย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แล้วขอเติมต่อไปว่าผู้คนยังเป็นมิตร และอาหารอร่อยมากอีกด้วย

sendai loople bus : ช่วงเวลาให้บริการ 09.00-16.00 น.
ราคาตั๋ว one-day pass (ตั๋ว 1 วัน) (สำหรับบัตรรถรอบเมืองเท่านั้น)
ขึ้นได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในวันเดียวกัน ผู้ใหญ่ (อายุ 12 ปีขึ้นไป) : 630 เยน /
เด็ก (อายุต่ำกว่า 12 ปี) : 320 เยน
ฟรีพาส 1 วัน สำหรับการโดยสารรถลูปเปิลเซนได และรถไฟใต้ดินแบบไม่อั้น
ผู้ใหญ่ : 920 เยน / เด็ก : 460 เยน
ตั๋วครั้งเดียวผู้ใหญ่ : 260 เยน / เด็ก : 130 เยน
รายละเอียดเพิ่มเติม http://loople-sendai.jp/en/about/

Share This Post:Share on Facebook0Share on Google+0Tweet about this on TwitterShare on LinkedIn0